หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 568
บทที่ 568
มือของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสั่นกระตุกทีหนึ่งจนน้ำชาเกือบหกกระฉอกออกมา
ถึงอย่างไรหญิงชราก็ประสบคลื่นลมมรสุมมาจนคุ้นชิน นางวางถ้วยน้ำชาลงอย่างมั่นคงแล้วเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
บ่าวรับใช้ลูบหน้าทีหนึ่งด้วยสีหน้าชอบกล “นายหญิงรองกับนายท่านรองลงไม้ลงมือกันแล้วขอรับ”
“อะไรนะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนึกว่าตนเองหูฝาด นางข่มอารมณ์ชั่ววูบที่อยากจะแคะหูไว้
นับแต่รู้ว่าเจ้ารองจะกลับเมืองหลวงรายงานตัว ภรรยาของเขาก็ยิ้มย่องผ่องใสทั้งวัน วันนี้ยังออกไปรอข้างนอกแต่เช้าตรู่ ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ ครั้นคนที่เฝ้ารอคอยมานานกลับมาถึง ไฉนสองสามีภรรยากลับลงไม้ลงมือกันเสียแล้ว
“นายท่านใหญ่ไม่ห้ามไว้หรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไต่ถามพลางเดินไปทางข้างนอก
บ่าวรับใช้ทำสีหน้าชอบกลมากขึ้น “นายท่านใหญ่ห้ามแล้วแต่ห้ามไม่อยู่ ซ้ำยังโดนนายหญิงรองพลั้งมือทำร้ายด้วยขอรับ นายท่านใหญ่โมโหขึ้นมาก็ร่วมมือกับนายหญิงรองรุมทุบตีนายท่านรอง ตอนนี้ทั้งสามคนสู้กันอุตลุดอยู่หน้าประตู…”
“อะไรนะ! นายท่านใหญ่ได้รับบาดเจ็บหรือ” เหอซื่อลุกพรวดขึ้นยืน ก้าวขาจะเดินออกไป “ไม่ได้ ข้าต้องไปดูสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำสีหน้าถมึงทึง “สะใภ้ใหญ่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ข้างนอกหิมะตกอยู่ ถ้าเจ้าลื่นล้มอีกจะทำอย่างไร”
เหอซื่อชะลอฝีเท้า
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสบช่องขยิบตาให้เฉียวเจา “หลานเจา นั่งอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่เจ้าในนี้นะ” ว่าแล้วนางก็สาวเท้าเดินไปตรงหน้าประตูทันที
เหอซื่อเอามือพยุงท้องพลางเริ่มคิดมาก “เจาเจาเอ๊ย เหตุใดท่านอาสะใภ้รองของเจ้าถึงลงไม้ลงมือกับท่านอารองนะ พวกเขาจะทะเลาะกันก็ช่างปะไร ยังพลั้งมือทำร้ายท่านพ่อของเจ้าอีก น่าหงุดหงิดใจเสียจริง”
เฉียวเจาได้ยินว่าสตรีตั้งครรภ์มักอารมณ์แปรปรวนอยู่บ้าง นางจึงพูดเออออตามมารดา “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ จะอย่างไรท่านอาสะใภ้รองก็เป็นสตรี จะมีเรี่ยวแรงมากสักเพียงใดกันเชียว”
เหอซื่อขยุ้มผ้าเช็ดหน้า “ท่านพ่อเจ้าก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงปล่อยให้คนอื่นทำร้ายได้เล่า ถ้าข้าอยู่ด้วยก็คงดี…”
สีหน้าของมารดาที่ฉายแววเสียดายทำให้เฉียวเจาไม่รู้จะหัวร่อหรือร่ำไห้ดี
มันเรื่องอะไรกัน ท่านแม่ที่เคารพถึงมีสีหน้าเสียดายที่ไม่ได้เข้าร่วมวงวิวาท?
เฉียวเจาพูดปลอบมารดาไปพลางชะเง้อมองทางหน้าประตูไปพลาง ผ่านไปชั่วประเดี๋ยวก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
คนที่เดินนำหน้าคือฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
หญิงชราสาวเท้าฉับๆ อย่างคล่องแคล่วว่องไว มือหนึ่งดึงหูของหลีกวงเหวินบุตรชายคนโต อีกมือหนึ่งดึงหูของหลีกวงซูบุตรชายคนรอง
เฉียวเจาประคองเหอซื่อลุกขึ้นพร้อมกับตวัดสายตามองหลีกวงซูแวบหนึ่ง
เทียบกับท่านพ่อผู้ใสบริสุทธิ์ดุจหยก ท่านอารองซึ่งแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของแม่นางน้อยหลีเจาผู้นี้ดูกร้านโลกกว่ามาก คิ้วหนาดกดำ รูปปากเหยียดเป็นเส้นตรง และปลายคางไว้หนวดสั้นๆ ล้วนทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่และสุขุมลุ่มลึกกว่าผู้เป็นพี่ชาย
นางเลื่อนสายตาต่อไปทางด้านหลัง เป็นนายหญิงรองหลิวซื่อที่ผมเผ้ารุ่ยร่ายยุ่งเหยิง
คนที่ยืนขนาบซ้ายขวาของนางคือคุณหนูสี่หลีเยียนกับคุณหนูหกหลีฉาน เด็กสาวสองคนตกใจเสียขวัญอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของพวกนางฉายแววตื่นกลัวและมีน้ำตาไหลเป็นทาง
ถัดไปทางด้านหลังอีก…
รูม่านตาของเฉียวเจาหดแคบลง
คนที่อยู่ถัดไปทางด้านหลังอีกนั้นก็ชวนให้ขบคิดเสียแล้ว
หญิงสาวที่สางผมเป็นทรงของสตรีออกเรือนแล้วอุ้มเด็กน้อยวัยราวสามขวบไว้ในอ้อมแขน เจ้าหนูน้อยหน้าตาน่ารัก ดวงตากลมโตเหมือนผลองุ่นดำมองสำรวจไปรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
รูปโฉมของหญิงสาวงดงามจนเฉียวเจายังนึกทึ่งในใจ
องค์หญิงเจินเจินก็ว่างามล้ำเหลือแล้ว คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้กลับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มิหนำซ้ำยังเป็นเพราะกำลังอยู่ในวัยสาวสะพรั่งจึงมีเสน่ห์เย้ายวนเฉกหญิงสาวเต็มตัว เหนือกว่าองค์หญิงเจินเจินที่ยังไม่สลัดคราบเด็กสาวไร้เดียงสาออกไปจนหมด
เฉียวเจารู้สึกหนักอึ้งในใจชอบกล
สตรีโฉมงามชั้นนี้เกรงว่าหลังจากนี้จวนตะวันตกคงไม่สงบสุขแล้ว
เฉียวเจาจับสังเกตนางอยู่ด้านข้าง พบว่านางเข้ามาในสถานที่อย่างจวนสกุลหลีเป็นคราแรกกลับไม่มีท่าทางประหม่าลุกลนแม้สักน้อยนิด นางอุ้มเด็กยืนอยู่ด้านหลังอย่างเรียบร้อยอ่อนน้อมปานนั้น เป็นความสวยงามเจริญใจเฉกเช่นกุลสตรีผู้เรียบร้อยเยือกเย็น
“คุกเข่าลงให้หมด!” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ ตวาดเสียงห้วนขัดจังหวะความคิดของเฉียวเจา
บนพื้นมีคนคุกเข่าเรียงกันเป็นพรืด ส่งผลให้เฉียวเจาซึ่งยืนอยู่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดไปในพริบตา แม้แต่นายท่านรองหลีกวงซูยังหันมามองนางอย่างอดใจไม่อยู่
เฉียวเจาปล่อยมือจากแขนของเหอซื่อแล้วคุกเข่าลงด้วยอย่างเงียบๆ
“หลานเจา เจ้าไม่ได้ทำให้ท่านย่าโมโหเหมือนคนบัดซบไม่ได้เรื่องพวกนี้สักหน่อย จะคุกเข่าด้วยเหตุใด ลุกขึ้น!”
น้ำเสียงของหญิงชราเคร่งขรึมน้อยๆ แฝงรอยโทสะ เฉียวเจาลุกขึ้นยืนอย่างรู้จังหวะและถอยไปยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างหลังมารดา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำหน้าเคร่งมองบุตรชายสองคน “เจ้าลูกเนรคุณ อยู่ในช่วงวันตรุษก็ทะเลาะวิวาทลงไม้ลงมือกันอยู่หน้าประตูเรือน ไม่กลัวขายหน้าผู้คนใช่หรือไม่”
หลีกวงเหวินทำท่าฮึดฮัดกล่าวอย่างคับข้องใจ “ท่านแม่ ข้าแค่ช่วยห้ามทัพนะขอรับ!”
แค่ว่าห้ามไปห้ามมาแล้วก็ลงมือเองเท่านั้น แต่น้องรองสมควรโดนสั่งสอนถึงเพียงนี้เขาก็สุดปัญญา
เส้นเอ็นตรงขมับของหญิงชราเต้นริกๆ นางทอดสายตาข้ามตัวบุตรชายคนโตไปมองหลีกวงซู
หลีกวงซูวางตัวได้สุขุมกว่าพี่ชายมาก เขาโขกศีรษะให้มารดาอย่างขึงขังจริงจังหลายทีก่อนเอ่ยปากกล่าว “ท่านแม่ ลูกอกตัญญูกลับมาแล้ว สุขภาพท่านยังแข็งแรงดีหรือไม่ขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก้มลงมองบุตรชายคนรองบนพื้นที่โดนข่วนหน้าเป็นลายพร้อยแล้วกลอกตาขึ้น นางกล่าวเสียงเย็นชาว่า “เพราะได้พึ่งใบบุญเจ้า ยายเฒ่าหนังเหนียวอย่างข้าจึงยังมีชีวิตอยู่”
“ท่านแม่…”
นางตบโต๊ะทีหนึ่ง “รู้แต่แรกว่าเจ้าเป็นคนบัดซบอย่างนี้ อย่ากลับมายังจะดีกว่า ช่วงฉลองวันตรุษแท้ๆ ยังกวนโทโสข้า! บอกมาคนด้านหลังนั่นมันเรื่องอะไรกัน”
หลีกวงซูหันหน้าไป สีหน้าและน้ำเสียงของเขาอ่อนละมุนลงโดยไม่รู้ตัว “ปิงเหนียง รีบมาคารวะทักทายฮูหยินผู้เฒ่าสิ”
ปิงเหนียงเดินเข่าไปข้างหน้าสองสามก้าวทันที นางโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทั้งๆ ที่อุ้มเด็กไว้ “ข้าขอคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
หญิงชราเม้มมุมปากแน่นพลางมองสำรวจนาง
หลีกวงซูพูดยิ้มๆ อย่างประจบประแจง “ท่านแม่ นี่คืออนุที่ข้ารับเข้าเรือนตอนอยู่หลิ่งหนาน นางชื่อว่าปิงเหนียง มาจากครอบครัวสุจริต ส่วนนี่คือเฮ่าเกอเอ๋อร์หลานชายของท่าน ปีนี้อายุสามขวบแล้ว”
หลีกวงซูเอ่ยพลางยื่นมือไปลูบศีรษะเขา บอกเสียงนุ่มว่า “เฮ่าเกอเอ๋อร์ เรียกท่านย่า…”
เฮ่าเกอเอ๋อร์ยังเยาว์วัยมาก ได้เห็นคนมากมายอย่างนี้เป็นครั้งแรกก็รู้สึกตกประหม่า เขาหันตัวไปซุกอกมารดาไม่พูดไม่จา
“หรงมามา พาปิงเหนียงกับเฮ่าเกอเอ๋อร์ออกไปพักผ่อน” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้าปากบอกเสียงเรียบ
รอเมื่อปิงเหนียงกับบุตรชายถอยออกไปแล้ว นางถึงมองไปทางนายหญิงรองหลิวซื่อ กล่าวทอดถอนใจ “สะใภ้รอง เจ้าลุกขึ้นนั่งเถอะ มีเรื่องใดจะพูดกันดีๆ ไม่ได้หรือ ต้องวิวาทตบตีกันต่อหน้าบุตรสาวสองคนกับพวกบ่าวไพร่ จะแก้ปัญหาอะไรได้หรือไม่”
ชะรอยเพราะสีหน้าของหญิงชราที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ตอนเห็นเฮ่าเกอเอ๋อร์ช่วยปลอบใจนางได้บ้าง หลิวซื่อซึ่งหน้าซีดเหมือนผีหลังจากเข้าเรือนมาถึงมิได้ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ นางลุกขึ้นเดินไปนั่งประจำที่เงียบๆ
ชั่วขณะนี้ฝีเท้าของสตรีที่เคยคล่องแคล่วว่องไวในกาลก่อนคล้ายหนักนับพันชั่ง จนดูเหมือนนางต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่ถึงจะลากสังขารออกเดินไปได้
แววสงสารจุดวาบขึ้นในดวงตาของเฉียวเจา นางมองดูนายท่านรองหลีกวงซูซ้ำอีกทีด้วยท่าทางครุ่นคิด
ท่านอารองคือผู้มีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองหลิ่งหนานหรือนี่!
นี่จะโทษว่านางไม่รู้ไม่ได้ แม่นางน้อยหลีเจาคงจะไม่สนใจเรื่องนี้ถึงไม่มีอยู่ในความทรงจำสักนิด ส่วนนางมีเรื่องที่ต้องจดจ่อสนใจมากมายเหลือเกิน เป็นธรรมดาที่จะไม่คิดสืบถามเรื่องนี้
“หลานเยียน หลานฉาน มาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ของพวกเจ้าสิ”
หลีเยียนดึงน้องสาวหลีฉานลุกขึ้นไปยืนข้างหลังหลิวซื่อตามอย่างเฉียวเจา
“เจ้าใหญ่ เจ้าก็ลุกขึ้นเถอะ”
หลีกวงเหวินตะกายตัวลุกขึ้นทันใด เขาแค่นเสียงฮึใส่น้องชายก่อนจะนั่งลงข้างกายเหอซื่อ
ชั่วอึดใจเดียวคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเหลือแค่หลีกวงซูผู้เดียว
เขารู้สึกเสียหน้ามากพอดูจึงเรียกขานคำหนึ่ง “ท่านแม่…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเดินรี่เข้าไปตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง