หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 569
บทที่ 569
ชั่วพริบตาที่หลีกวงซูโดนตบหน้านั้น สายตาของเขาเผยแววอำมหิตออกมาอย่างเผลอตัว พอฉุกใจขึ้นได้ว่าเบื้องหน้าเป็นมารดาของตนถึงเก็บงำเอาไว้ เขาก้มหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ระงับโทสะด้วยขอรับ”
“ระงับโทสะ?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเดินฉับๆ กลับไปนั่งลงตามเดิม นางกล่าวเสียงกระด้าง “เจ้าไปอยู่ที่อื่นห้าปี กลับเรือนมาพร้อมกับอนุโฉมงามสาวสะพรั่ง ยังมีหน้าบอกให้ข้าระงับโทสะอีกหรือ ข้าว่าเจ้าอยากยั่วโมโหข้าให้ตายมากกว่า”
“ท่านแม่ เฮ่าเกอเอ๋อร์เป็นหลานชายของท่านนะ…” หลีกวงซูงุนงงมาก ท่านแม่ผู้เมตตาใจดีมีอารมณ์ขันในความทรงจำดูคล้ายกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว
“เจ้าผายลมอะไร เฮ่าเกอเอ๋อร์ไม่ใช่หลานชายข้า หรือว่าเป็นบิดาข้าเล่า” หญิงชราค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างโกรธจัดจนเห็นได้ชัด
หลีกวงซูอ้าปากออกทว่ากล่าววาจาไม่ออกสักคำ
ท่านแม่พูดถึงเพียงนี้นี้แล้ว เขายังพูดอะไรได้อีก
เขานึกว่าท่านแม่เห็นเฮ่าเกอเอ๋อร์แล้วน่าจะยินดีเจียนคลั่ง อย่างไรเฮ่าเกอเอ๋อร์ก็เป็นทายาทรุ่นหลานที่เป็นสายเลือดเขาเพียงคนเดียว
“เจ้าลูกเนรคุณ ข้าขอถามเจ้า เจ้ารับอนุตอนอยู่ต่างเมือง เหตุใดไม่เขียนสารกลับมา” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถามเสียงขรึม
หลิวซื่อขยุ้มผ้าเช็ดหน้าสุดแรง นางจ้องมองบุรุษซึ่งคุกเข่ากับพื้นด้วยแววตาคมกริบดุจใบมีด
นี่คือสามีของนางที่คิดถึงคะนึงหาทุกเช้าค่ำไม่เว้นวาย ครั้นเขากลับมาสมดังรอคอยแล้วการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้
หัวใจนางคล้ายโดนมีดกรีด เจ็บปวดเจียนตาย
“ข้าคิดว่าเรื่องของอนุกับสาวใช้ห้องข้างไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง…”
“แล้วเฮ่าเกอเอ๋อร์เล่า เด็กมีอายุสามขวบแล้ว ไฉนเจ้าไม่เขียนบอกไว้ในสารถึงครอบครัวสักคำ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งซักถามต่อ
น้ำเสียงไล่เลียงคาดคั้นของมารดาเฒ่าทำให้หลีกวงซูอึดอัดใจอยู่บ้าง
เขาขมวดคิ้วหลุบตาลงกล่าวว่า “เมืองหลิ่งหนานเป็นถิ่นกันดารแห้งแล้ง เด็กเล็กๆ มักอายุสั้น ข้าหวั่นเกรงว่าบอกท่านเร็วเกินไป ถ้าเกิดมีเหตุไม่คาดฝันขึ้นจะเป็นเหตุให้เสียใจเปล่าๆ ปลี้ๆ แล้วก่อนหน้านี้ไม่นานข้าก็ได้รับคำสั่งโยกย้ายกลับเมืองหลวง เดิมทีอยากให้ท่านแม่ตื่นเต้นประหลาดใจ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ้มเยาะ “ตื่นเต้นประหลาดใจ? เจ้าทำให้ข้าโกรธเจียนตาย แล้วจะไปตื่นเต้นประหลาดใจที่ใดกัน”
หลีกวงซูก้มหน้าไม่กล่าววาจา เขาคิดไม่ถึงเช่นกันว่าพอกลับถึงเรือนที่ร้างไกลไปนานในที่สุด ยังไม่ทันดื่มชาร้อนๆ สักคำก็ต้องอับอายขายหน้าไม่เหลือหลอ
“เจ้ารอง ข้าขอถามเจ้า เจ้าตั้งใจจะอธิบายกับภรรยาของเจ้าเช่นไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งชี้ที่นายหญิงรองหลิวซื่อ
หลีกวงซูยังไม่กล่าวตอบ นางก็ชี้ไปทางหลีเยียนกับน้องสาวอีก “ตอนเจ้าจากไปบุตรสาวสองคนเพิ่งอายุเท่าไร พวกนางไม่ได้พบหน้าบิดามาห้าปีเต็มๆ เจ้ากลับมาก็พูดถึงแต่ ‘เฮ่าเกอเอ๋อร์’ ไม่หยุดปาก แล้วเอาพวกนางไปไว้ที่ใด”
คุณหนูสี่หลีเยียนกัดริมฝีปาก ใบหน้านางซีดขาวราวหิมะ
คุณหนูหกหลีฉานยังอายุน้อย เริ่มแรกนางตั้งตารอคอยบิดากลับมา ผลปรากฏว่าบิดามาถึงหน้าประตูเรือนก็ทะเลาะวิวาทกับมารดาอุตลุด อีกทั้งยังมีปัญหาที่ตามมาเรื่องแล้วเรื่องเล่า ไหนเลยจะทนรับได้ไหว นางได้ยินท่านย่ากล่าวคำนี้ก็ปิดปากสะอื้นไห้ทันควัน
“เงียบนะ ร้องไห้มีประโยชน์อะไร” หลิวซื่อขึงตาใส่หลีฉาน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งชายตามองนาง “เอาล่ะ โมโหก็อย่าไปลงที่พวกเด็ก”
สายตาของหลีกวงซูหยุดอยู่ที่ตัวบุตรสาวสองคน เผยความรักใคร่เมตตาออกมาหลายส่วน “ท่านแม่อย่ามีน้ำโหอีกเลย ข้าผิดต่อหลิวซื่อ ข้าจะขอขมาต่อนาง”
หลีกวงซูลุกขึ้นยืนประสานมือคำนับภรรยา “ข้าทำไม่ถูกเอง สมควรบอกกล่าวให้ฮูหยินรู้ล่วงหน้า หวังว่าเจ้าจะยอมอภัยให้ข้าในเรื่องนี้ด้วย”
หลิวซื่อแค่นเสียงเยาะไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
คงเห็นว่าข้าเป็นสตรีที่อดกลั้นไม่มีปากเสียงพรรค์นั้นสินะ พอสามีพูดดีด้วยก็ลืมเรื่องบัดซบที่ท่านกระทำไว้ไปอย่างสนิทใจแล้ว?
หึๆ หากคำขอขมามีประโยชน์ ข้าสวมเขาให้ท่านแล้วค่อยมาขอขมาได้หรือไม่
“ความหมายของท่านพี่คือเพียงบอกกล่าวข้าสักคำก็พอแล้วหรือ”
หลีกวงซูอึ้งงันไป เขามองหลิวซื่ออย่างไม่พึงใจปราดหนึ่งก่อนกล่าวเสียงราบเรียบ “หลิวซื่อ เจ้าก็รู้ว่าข้าอยู่ที่หลิ่งหนานหลายปี อย่างไรก็ต้องมีคนดูแลอยู่ข้างกาย”
หลิวซื่อกัดริมฝีปากจนเป็นสีขาวซีด
สองสามปีแรกที่เป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันรักใคร่กันหวานชื่น บุรุษผู้นี้เรียกชื่อก่อนออกเรือนของนางว่า ‘อิงอิง’ เสมอ แต่บัดนี้ได้ยินคำเรียกขานจากเขาว่า ‘หลิวซื่อ’ อย่างไร้เยื่อใยใดๆ
หลิวซื่อหลุบตาลง หากแต่ในใจหัวเราะเยาะหยันอย่างบ้าคลั่ง
ในสายตาเขานางจะเป็นหลิวซื่อ หลี่ซื่อ หรือหวังซื่อก็ได้ เพียงแต่มิใช่ ‘อิงอิง’ อีกสืบไป
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นส่งยวนยางกับชิงหลวนไปอยู่เป็นเพื่อนท่าน” หลิวซื่อกล่าวถ้อยคำนี้ลอดไรฟัน
ยวนยางกับชิงหลวนเป็นสาวใช้ที่ติดตามนางออกเรือนมา ครั้งที่หลีกวงซูถูกส่งไปรับราชการต่างเมือง นางข่มตานอนไม่หลับสามวันสามคืนถึงตกลงปลงใจให้สาวใช้สองคนไปพร้อมกับเขา
นางไม่อยากให้สตรีอื่นมาเกาะแกะสามีของนาง แต่ก็รู้ว่าปล่อยให้บุรุษที่ยังอายุไม่ถึงสามสิบอยู่ต่างเมืองเป็นเวลานานโดยไม่มีสตรีปรนนิบัติดูแลนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แทนที่เขาจะไปหลงเสน่ห์ดอกไม้ริมทางที่อื่นในตอนท้าย มิสู้คัดเลือกสาวใช้ที่ไว้ใจได้ให้เขาด้วยตนเอง
เพื่อมิให้มีคนโปรดคนเดียว นางถึงส่งสาวใช้ไปรวดเดียวสองคน แต่ถึงจะทำเช่นนี้นางก็มิได้พูดอย่างชัดเจนว่าให้เขารับเป็นสาวใช้ห้องข้าง
กับบุรุษอันเป็นที่รักนางพูดไม่ออกจากปาก เช่นนั้นทรมานเสียยิ่งกว่าสังหารนางเสียอีก
ในใจนางลึกๆ ถึงกับมีความคิดที่เป็นไปไม่ได้อย่างหนึ่งว่าถ้าเกิดเขาเต็มใจอดทนเพื่อนางจริงๆ เล่า ตราบเท่าที่นางไม่บอกอย่างโจ่งแจ้ง อย่างไรก็ยังมีความหวังมิใช่หรือ
ยามนั้นบุรุษผู้นี้ก็พูดกับนางจริงๆ เขาบอกนางให้วางใจ เขาไม่มีวันเอาความคิดจิตใจไปไว้ที่ตัวสาวใช้สองคน
บัดนี้คิดขึ้นมาแล้วนางทำได้เพียงหัวเราะเยาะหยันจริงๆ
เขาไม่ได้เอาความคิดจิตใจไปไว้ที่ตัวสาวใช้ แล้วก็ไม่ใช่ที่ตัวนางด้วย
สตรีรูปโฉมงามสะคราญพราวเสน่ห์อย่างนั้น นางเห็นแล้วเพียงรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย สถานะของภรรยาเอกมีบารมีน่ายำเกรงอันใดกัน ชั่วขณะนั้นนางรู้ว่าเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง สิ่งที่ทำได้เหลือเพียงแลกชีวิตกับบุรุษผู้นี้
เขาใจจืดใจดำถึงเพียงนี้ได้อย่างไรถึงพาสตรีเยี่ยงนี้กลับมา
สตรีเยี่ยงนี้สามารถทำลายความเชื่อมั่นและศักดิ์ศรีของสตรีทุกผู้ทุกนามไม่ว่าฐานะสูงหรือต่ำลงได้
“ยวนยางกับชิงหลวนไม่คุ้นชินกับลมฟ้าอากาศของหลิ่งหนาน ค่อยๆ ล้มป่วยจากไปทีละคน” หลีกวงซูบอกเสียงเรียบ
หลิวซื่อหลับตาลง ตายหมดแล้วเลยมีเหตุผลรับอนุอย่างเต็มที่ เช่นนั้นนางเฝ้าห้องหอเดียวดายมาห้าปี ไฉนไม่มีเหตุผลคบชู้สู่ชายเล่า
โลกเรานี้ช่างไม่ยุติธรรมต่อสตรี!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคว้าถ้วยน้ำชาขว้างไปที่ข้างเท้าบุตรชายคนรอง “เจ้าลูกเนรคุณ คุกเข่าต่อไป!”
หลีกวงซูคุกเข่าลงอย่างฉงนใจ เพราะอะไรต้องให้คุกเข่าอีกแล้ว นี่คือมารดาแท้ๆ ของเขาใช่หรือไม่ เขาอาจจะเข้าเรือนจวนสกุลหลีผิดหลังแล้วกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองดูหลีกวงซูคุกเข่าลงตามเดิมแล้วแค่นเสียงเยาะอย่างหัวเสีย “เจ้าให้คำอธิบายต่อภรรยาแค่นี้หรือ ขอขมาก็จบเรื่องแล้ว?”
ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า หลีกวงซูย้อนถามในใจ แต่ไม่กล้าเปล่งเสียงถามออกมา
“เฮ่าเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่พอดี นับแต่วันนี้อุ้มไปให้ภรรยาของเจ้าเลี้ยงดู ส่วนปิงเหนียงผู้นั้นหลังจากนี้ก็อยู่ในเรือนฝั่งซ้ายไป ห้ามออกมาเพ่นพ่านขวางหูขวางตา” หญิงชราตัดสินใจอย่างฉับไว
ร่างกายของหลิวซื่อได้รับความกระทบกระเทือนตอนคลอดหลานฉาน จึงยากจะตั้งครรภ์ได้อีก ถึงแม้เฮ่าเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายของอนุ แต่ดีที่ยังไม่รู้ความ ตอนนี้เลี้ยงดูให้ดีๆ วันหน้าก็ไม่ต่างจากลูกในไส้แท้ๆ
ส่วนปิงเหนียงนั้น…เป็นหญิงงามเลิศแต่กำเนิด สำหรับตระกูลเล็กๆ อย่างพวกนาง เกรงว่าจะมิใช่โชคดี
“ฮูหยินผู้เฒ่า”/ “ท่านแม่” หลิวซื่อกับหลีกวงซูร้องเรียกประสานเสียงกัน
“เหตุใดหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองไปทางลูกสะใภ้โดยไม่แยแสบุตรชายเศษสวะ
“ข้าไม่อยากเลี้ยงเจ้าค่ะ”
หลีกวงซูถอนหายใจโล่งอกอย่างชัดเจน สีหน้าเขาอ่อนละมุนลงมาก “ท่านแม่ ปิงเหนียงเป็นบุตรสาวของรองนายอำเภอ อีกทั้งเป็นอนุที่ข้ารับเข้าเรือนอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ตอนนั้นข้าให้สัญญากับนางว่าวันหน้ามีบุตรชายบุตรสาวจะให้นางอบรมเลี้ยงดูเองขอรับ”
หลิวซื่อฟังแล้วสิ้นแรงใจ นางไม่อยากเลี้ยงกับไม่ให้นางเลี้ยงนี่เป็นคนละเรื่องกันแน่นอน!
“ปิงเหนียงเป็นบุตรสาวของขุนนางหรือเจ้าคะ” สุ้มเสียงเรียบเฉยของเด็กสาวพลันดังขึ้น