หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 57
ยามปะทะเข้ากับสายตานิ่งขรึมของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง หลีเจี่ยวสะท้านเยือก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ขนบธรรมเนียมของแคว้นต้าเหลียงหย่อนยานไปมาก น้อยนักที่จะได้ยินว่าสตรีจบชีวิตเพราะชื่อเสียงมีมลทิน ไม่ต้องพูดอื่นไกล อย่างเช่นคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นางผู้นี้ ถูกล่อลวงไปตั้งหลายวันกว่าจะกลับเรือนก็ยังปกติดีมิใช่หรือ
เหมือนปลาเค็มแขวนเรียงกันใต้ต้นไม้เป็นแถวๆ…
เพียงคิดไปอย่างนี้ หลีเจียวก็หนาวยะเยือก ถึงขั้นรู้สึกอยากอาเจียน
นางอดมองเฉียวเจาปราดหนึ่งไม่ได้
เฉียวเจานั่งติดกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง สายตาเฉยชา สีหน้าเครียดขรึม
หลีเจี่ยวยิ้มเยาะในใจ เพื่อประจบเอาใจท่านย่าแล้ว หลีเจาทุ่มเทสุดตัวเลยจริงๆ ทำท่าทำทางเหมือนคนหัวอกเดียวกันเช่นนี้ไม่รู้สึกน่าขันหรือไร
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดูอิ่มอกอิ่มใจมากที่เฉียวเจาเข้าอกเข้าใจตนอย่างเห็นได้ชัด นางยกมือตบตัวหลานสาวเบาๆ พลางกล่าวอย่างสะทกสะท้อนใจ “คนที่โตหน่อยจะผูกคอเอง คนที่ยังเป็นเด็กพ่อแม่ก็ผูกให้ เด็กสาววัยแรกแย้มดุจบุปผาแขวนเรียงรายกันเป็นแถว ลาลับไปฉะนี้เอง”
นางตวัดสายตามองหลีเจี่ยวที่หน้าตาซีดขาวแล้วกล่าวทอดถอนใจ “พวกเจ้าอย่าได้เห็นว่าคนในครอบครัวโหดร้ายนะ จงรู้ไว้ว่าเมื่อตกอยู่ในมือชาวเป่ยฉีที่เลวทรามยิ่งกว่าเดรัจฉานพวกนั้นต่างหากถึงเรียกว่าตายทั้งเป็น!”
“หลังจากนั้นล่ะเจ้าคะ” เฉียวเจาเอ่ยถาม
สำหรับนาง หลังจากนั้นคือลืมตาตื่นขึ้นก็อยู่ไกลถึงแดนใต้อันรุ่งเรืองสุขสงบ ทว่าคนอื่นๆ หลังจากนั้นเป็นเช่นไรเล่า
“หลังจากนั้นน่ะหรือ…หลังจากนั้นโชคดีที่เหล่าทหารของต้าเหลียงเราสละเลือดเนื้อต่อสู้อย่างกล้าหาญ ถึงขับไล่ข้าศึกพวกนั้นไปได้! ถ้าไม่เช่นนั้นหลังจากเมืองซานไห่กวนก็คืออำเภอเหออวี๋ หากปล่อยให้ชาวเป่ยฉีบุกเข้าเหออวี๋ได้ เกรงว่าตอนนี้คงไม่มีพวกเจ้าอยู่แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกวาดตามองหลานสาวสองคนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แผ่นดินทุกชุ่น* ล้วนแลกมาด้วยหยาดโลหิต พวกเจ้าจำไว้นะว่าหากปราศจากเหล่าทหารที่ห่อศพด้วยหนังม้าหวนคืนมา พวกเราก็ไม่อาจอยู่เย็นเป็นสุขได้ วันหน้าอย่าใช้ถ้อยคำพล่อยๆ กล่าวถึงพวกเขาเช่นนั้นอีกเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ หลานเข้าใจแล้ว” เสี้ยวเวลานี้หลีเจี่ยวกับเฉียวเจาขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
ต่อจากนั้นเป็นความเงียบชั่วอึดใจ
หลีเจี่ยวไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรในบรรยากาศเช่นนี้ ส่วนเฉียวเจาเอ่ยปากถาม “ท่านย่าเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าชาวเป่ยฉีสู้รบอย่างเหี้ยมหาญดุดันดุจสุนัขป่าดั่งพยัคฆ์ ตอนนั้นทหารนักรบของต้าเหลียงคงขับไล่พวกเขาออกจากซานไห่กวนได้อย่างยากเย็นเข็ญใจกระมัง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้า “มิใช่แค่ยากเย็นเข็ญใจเท่านั้น สภาพจนตรอกน่าอนาถในครั้งนั้น ข้าคงไม่เล่าให้เด็กสาวอย่างพวกเจ้าฟังโดยละเอียดล่ะ แต่โชคดีที่มีท่านเจิ้นหย่วนโหวผู้องอาจเก่งกาจมากพรสวรรค์ ถึงกู้สถานการณ์คืนมาได้”
“เจิ้นหย่วนโหว?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับหยุดพูดกะทันหัน ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มก่อนกล่าวเนิบๆ “เอาล่ะ ล้วนเป็นเรื่องเก่าแก่นมนานกาเลทั้งนั้น เอ่ยถึงไปก็เท่านั้น”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบหนึ่ง นามเจิ้นหย่วนโหวนี้คุ้นหูอยู่บ้าง นางคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินท่านปู่พูดถึง
“ท่านย่า ตอนนี้เจิ้นหย่วนโหวยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เจ้าคะ ดูเหมือนข้าไม่เคยได้ยินว่าผู้สูงศักดิ์ตระกูลใดในเมืองหลวงได้รับบรรดาศักดิ์นี้”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
วันนี้หลีเจี่ยวตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกเรื่อง นางจับน้ำเสียงและอ่านสีหน้าคนอื่นในขณะนี้แล้วเอ่ยเตือนอย่างหวังดีจากใจจริง “น้องเจา ท่านย่าไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องอดีตพวกนี้อีก เจ้าก็อย่าถามต่อไปเลย”
“อื้อ” เฉียวเจาขานตอบอย่างสงบเสงี่ยม แต่สายตาที่มองหญิงชราฉายแววเสียดายเป็นอันมาก
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งใจอ่อนยวบทันควัน นางอดกล่าวคำหนึ่งไม่ได้ “ไม่อยู่แล้ว ครอบครัวของเจิ้นหย่วนโหวต้องโทษประหารชีวิตทั้งตระกูลไปเมื่อยี่สิบปีก่อน…”
ใบหน้าของหลีเจี่ยวเผือดลง
เฉียวเจาตกใจดุจเดียวกัน
ประหารชีวิตทั้งตระกูล?!
นึกออกแล้ว!
ตอนนั้นนางยังเยาว์วัย ได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านปู่กับท่านย่าโดยไม่ตั้งใจ
ท่านย่าถามท่านปู่ว่า ‘เหตุใดถึงตัดสินใจให้เจาเจาหมั้นหมายกับจวนจิ้งอันโหว ฝ่ายหนึ่งเป็นตระกูลสุจริตชนทรงเกียรติ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นสกุลนักรบ สองครอบครัวนี้จะเป็นญาติผูกดองกันไม่เหมาะสมเลยสักนิด’
ท่านปู่ตอบว่า ‘จิ้งอันโหวเป็นคนซื่อตรงเที่ยงธรรม บุตรชายของเขาย่อมไม่ผิดไปจากบิดา เจาเจาออกเรือนไปกับเขาจะมีชีวิตคู่ที่สุขสมหวัง’
ท่านย่าพูดว่า ‘ขุนนางฝ่ายบู๊กับฝ่ายบุ๋นต่างกันนะ ขุนนางฝ่ายบุ๋นทำให้ฮ่องเต้ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ อย่างมากก็ถูกปลดเป็นสามัญชน แต่ถ้าแม่ทัพนายกองทำให้ฮ่องเต้ทรงระแวง นั่นคือลงเอยด้วยการประหารชีวิตทั้งตระกูล ดังเช่นท่านเจิ้นหย่วนโหว…’
เฉียวเจาหลับตาลงเรียบเรียงความทรงจำในหัว เรื่องต่างๆ ยิ่งกระจ่างชัดขึ้น
เจิ้นหย่วนโหว…เขาก็คือบุคคลในระดับเดียวกับเซ่าหมิงยวนตอนนี้ แล้วเขานำพาเภทภัยมาสู่ตนจนสิ้นตระกูลได้อย่างไรกันนะ
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด เมื่อคิดถึงจุดจบของเจิ้นหย่วนโหว แล้วคิดต่อไปถึงความรุ่งโรจน์ดุจตะวันกลางฟ้าของเซ่าหมิงยวน จิตใจของเฉียวเจาก็หนักอึ้งอยู่สักหน่อย
ไม่ว่าอย่างไรนางไม่อยากเห็นคนที่หลั่งเลือดชโลมกายต่อสู้กับชาวต๋าจื่ออย่างกล้าหาญต้องพบกับจุดจบเยี่ยงนั้น
เฉียวเจาเห็นท่าทางของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่เต็มใจเล่าต่อไป นางก็ไม่ถามอีกอย่างรู้กาลเทศะ ลอบตกลงใจว่า พอกลับถึงจวนแล้วค่อยไต่ถามท่านพ่อดูก็แล้วกัน
เพลานี้เอง เสียงของนายหญิงรองหลิวซื่อดังขึ้นนอกรถม้า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าขอเข้าไปได้หรือไม่ มีเรื่องสำคัญจะเรียนต่อท่านเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกำลังอยู่ในอารมณ์หดหู่หลังเอ่ยถึงเรื่องอดีต นางพูดตอบเสียงเนือยๆ “เข้ามาเถอะ”
ต่อจากนั้นเป็นเสียงความเคลื่อนไหวระลอกหนึ่ง ม่านประตูรถม้าเลิกขึ้นพร้อมสายลมพัดกรูเข้ามา หลิวซื่อกล่าวฉอดๆ “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสาม…”
พอเห็นเฉียวเจาที่นั่งอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง หลิวซื่อกลืนถ้อยคำหลังกลับลงไป นางแย้มปากเค้นรอยยิ้มออกมา “ที่แท้คุณหนูสามกลับมาแล้วหรือนี่…”
คุณหนูหกหลีฉานซึ่งเข้ามาพร้อมกับนางทำปากยื่น ขยับเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจนเบียดเฉียวเจาไปด้านข้าง “ท่านย่า พี่เจาทำเกินไปแล้ว นอกจากจะวิ่งออกไปดักหน้าท่านกวนจวินโหวที่หนุ่มแน่นหล่อเหลาท่านนั้นต่อหน้าธารกำนัลแล้ว หลังแยกกันก็ไม่กลับมาหาพวกข้า เป็นต้นเหตุให้ท่านแม่พาพวกข้าออกตามหากันให้วุ่นวายเลยเจ้าค่ะ”
“ฉานเอ๋อร์ อย่าพูดเหลวไหล” หลิวซื่อตะคอกปรามบุตรสาวแล้วมองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างว่องไว
เฉียวเจามองดูอยู่ห่างๆ รู้สึกเหนือคาดเมื่อพบว่าสายตาที่มองนางของท่านอาสะใภ้รองซึ่งขับเคี่ยวฟาดฟันกับเหอซื่อมาแต่ไหนแต่ไรถึงกับแฝงความแตกตื่นระคนกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน
นี่ช่างน่าพิศวงเสียแล้ว เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น
หลิวซื่อลุกลนดึงสายตากลับ สีหน้ายิ่งฝืดเฝื่อนลง นางแอบหยิกหลีฉานทีหนึ่ง เจ้าลูกไม่ได้ความคนนี้ ชอบทำให้เหนื่อยใจเสียจริง
นางสู้อุตส่าห์กำชับกำชาพวกนางสองพี่น้องตลอดทางว่าวันหน้าจะหาเรื่องคุณหนูสามอีกไม่ได้ แต่ฉานเอ๋อร์ของนางกลับฟังไม่เข้าหูสักคำ
นับตั้งแต่หลีซานกลับเรือนมาก็เหมือนมีเทพยดาคุ้มครองกระนั้น ผู้ใดตอแยกับนางผู้นั้นต้องเคราะห์ร้าย
ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองร่วมมือกันใส่ร้ายนางก็ถูกเปิดโปงทันทีจนหน้าม้านไป นางได้ยินบ่าวไพร่ในจวนซุบซิบนินทาคุณหนูใหญ่มิใช่ครั้งเดียวแล้ว วันนี้ยิ่งเยี่ยมยอด ท่านเซียงจวินอับอายขายหน้าต่อหน้าฮูหยินสูงศักดิ์ทั้งเมือง ด้านคุณหนูรองก็ชื่อเสียงป่นปี้หมดสิ้น
ผลลัพธ์ของการตอแยกับหลีซานร้ายแรงมากขึ้นทุกทีเชียว
หลิวซื่อเป็นผู้รู้จักเบนหางเสือตามทิศทางลมพอดู ในเมื่อคลื่นลมแรงเกินไป นางจะปล่อยให้บุตรสาวตนหาเรื่องใส่ตัวไม่ได้
“คุณหนูสาม อย่าถือสาหาความน้องฉานเลยนะ นางอายุยังน้อย ไม่รู้ความ” หลิวซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
นัยน์ตาของหลีเจี่ยวแทบถลนออกมา วันนี้ท่านอาสะใภ้รองเป็นอะไรไป
หลิวซื่อไม่แม้แต่จะเหลือบแลหลีเจี่ยว หันไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ตอนนั้นคนมากเหลือเกินเจ้าค่ะ เบียดเสียดกันน่าดู คุณหนูสามถูกเบียดออกไป ข้ายังเป็นห่วงว่าจะหลงทางไปอีก ในเมื่อกลับมาถึงก็ดีแล้ว คนเป็นอาสะใภ้อย่างข้าจะได้สบายใจเสียที”
“…” หลีเจี่ยวแทบจะมั่นใจว่าอาสะใภ้รองถูกผีเข้าแล้ว
สมควรตายจริงๆ เรื่องเสื่อมเสียที่หลีซานทอดสะพานให้กวนจวินโหวกลางถนน เดิมทีนางคิดจะหาโอกาสบอกกับท่านย่า
เฉียวเจาเหยียดมุมปาก ตอนนั้นคนที่ผลักนางออกไปเป็นใครเล่า
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดสมัยจีนโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว