หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 578
บทที่ 578
“เจ้าไม่ต้องพูด!” เสียงทรงอำนาจของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดังขึ้น
หลีกวงซูพยักหน้า ท่านแม่เริ่มกลับมาเป็นปกติบ้างเล็กน้อยแล้วในที่สุด มีอย่างที่ใดกันอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้เยาว์ยังทำกำเริบเสิบสานอย่างนี้ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งปรายตามองบุตรชายปราดหนึ่ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “พยักหน้าด้วยเหตุใด ข้าหมายถึงเจ้า”
หลีกวงซูอึ้งงัน “…” ข้าแน่ใจได้แล้วว่าข้าเป็นเด็กที่ถูกลมหอบมา!
“หลานเจา เหตุใดเจ้ากล่าวเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดึงสายตากลับมามองเฉียวเจา
นางรู้มานานแล้วว่าหลานสาวผู้นี้มีปัญญาหลักแหลม ย่อมไม่มีทางเห็นคำพูดของนางเป็นวาจาเหลวไหลของเด็กอมมือ
“เฮ่าเกอเอ๋อร์เป็นเช่นนี้มีต้นเหตุมาจากปิงอี๋เหนียงเจ้าค่ะ” ถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ คำเดียวของเฉียวเจาทำให้ทุกคนในโถงหน้าเปลี่ยนสีไปกันหมด
“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พวกท่านอบรมสั่งสอนบุตรสาวมาเยี่ยงนี้ใช่หรือไม่ เป็นสตรีมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วพูดจาส่งเดชได้อย่างไรกัน” หลีกวงซูถามไล่เลียงด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เจาเจาของพวกข้าไม่เคยพูดจาส่งเดช กลับเป็นน้องรองต่างหาก ยังไม่ถามไถ่ให้กระจ่างชัดก็ปรักปรำผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้า ทำอย่างนี้ไม่ดีนะ” เหอซื่อสะบัดผ้าเช็ดหน้าพลางกล่าว
“พี่สะใภ้ใหญ่…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระแอมกระไอทีหนึ่ง “เจ้ารอง ก็บอกแล้วเจ้าไม่ต้องพูด เกิดพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าโมโหจนกระทบกระเทือนครรภ์จะทำฉันใด”
หลีกวงซูโกรธจนมือสั่น ผู้เยาว์คนหนึ่งสาดโคลนใส่อนุคนโปรดของเขา เขายังพูดจาไม่ได้!
ข้าพูดคำเดียวก็ทำให้ครรภ์ของพี่สะใภ้ใหญ่ได้รับความกระทบกระเทือน? ไม่บอกว่าข้าพูดคำเดียวพี่สะใภ้ใหญ่ก็ตั้งครรภ์ได้ให้สิ้นเรื่องไปเลยเล่า
เสียทีที่ตอนอยู่หลิ่งหนานเขาได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอำนาจที่เจนจัดมากชั้นเชิง เชี่ยวชาญการผูกสัมพันธ์สร้างเส้นสาย แต่หลังจากกลับเรือนมาเขารู้สึกเจียนคลั่งตายเต็มทีแล้ว
เฉียวเจาเดินไปที่มุมโถงแล้วหยุดยืนตรงหน้าปิงเหนียง
“คุณหนูสาม” ปิงเหนียงกล่าวทักทายอย่างสุภาพราวกับว่าไม่ได้ยินคำกล่าวก่อนหน้านี้ของเฉียวเจากระนั้น
เฉียวเจาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของนาง
“คุณหนูสาม?” ปิงเหนียงมิได้สะบัดออก ดวงตาคู่งามแฝงรอยตระหนกยามมองเฉียวเจา
หลีกวงซูทำสีหน้าบูดบึ้ง “ท่านแม่ ท่านจะมองดูผู้เยาว์ผู้หนึ่งกระทำเหลวไหลเยี่ยงนี้อยู่เฉยๆ หรือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งขมวดคิ้ว “เจ้ารองอย่าบังสิ ข้ามองไม่เห็นแล้ว”
หลานเจาสามารถรักษาบุตรชายปัญญาอ่อนของจวนฉางชุนป๋อให้หายดีได้ ถ้านางจะพบว่าปิงเหนียงมีอะไรผิดปกติ ดูเหมือนมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด
หลีกวงซูแทบกระอักเลือดออกมารอมร่อ ริมฝีปากของเขาสั่นระริก
“ปิงลวี่ จับปิงอี๋เหนียงไว้แน่นๆ”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ขานรับเสียงกังวานใส จากนั้นวิ่งฉับๆ ไปหาปิงเหนียงแล้วยึดตัวนางไว้ทันที
เฉียวเจาล้วงเข็มเงินส่องประกายวาววับออกจากถุงผ้าปัก
ปิงเหนียงกัดริมฝีปาก “คุณหนูสามจะทำอะไรข้าเจ้าคะ”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรกับปิงอี๋เหนียง ข้าจะรักษาโรคให้เฮ่าเกอเอ๋อร์ต่างหาก” เฉียวเจาพูดพร้อมกับดึงมือปิงเหนียงมาตรงหน้าแล้วเอาเข็มเงินจิ้มลงไป
“หยุดนะ” หลีกวงซูอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป สาวเท้าก้าวยาวๆ เร็วรี่เข้าไปจับข้อมืออีกข้างหนึ่งของปิงเหนียงไว้แล้วจะฉุดตัวนางมาในอ้อมแขน
แต่เขาออกแรงฉุดอย่างไรก็ฉุดไม่มา
ปิงลวี่เชิดหน้าขึ้นอย่างลำพองใจ “นายท่านรอง อย่าเสียแรงเปล่าเลยเจ้าค่ะ ท่านแรงเยอะไม่เท่าข้า”
หลีกวงซูหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหระคนกระดากกระเดื่อง
ในเรือนนี้ล้วนเป็นพวกคนถ่อยอันธพาลมาจากที่ใดกันแน่ ข้าจะกลับหลิ่งหนานแล้ว!
เฉียวเจาไม่ชักช้ารีรอแม้ชั่วอึดใจ เอาเข็มเงินจิ้มลงตรงปลายนิ้วชี้ที่มือซ้ายของปิงเหนียงอย่างแม่นยำ
ปิงเหนียงเริ่มดิ้นขัดขืนในที่สุด กระนั้นสีหน้าแววตาปราศจากวี่แววเฉกคนจนตรอกสักนิด “คุณหนูสาม ท่านจะรักษาโรคให้เฮ่าเกอเอ๋อร์แล้วจิ้มนิ้วของข้าด้วยเหตุใด อันว่าสิบนิ้วเชื่อมใจ ถึงแม้ข้ามีฐานะต้อยต่ำแต่ก็รู้สึกเจ็บ…”
นางเริ่มสะอื้นไห้เสียงแผ่วเบา
ยกเว้นนายท่านรองหลีกวงซูที่อารมณ์ขุ่นมัวเต็มทีแล้ว คนทั่วทั้งโถงล้วนจ้องมองจนตาไม่กะพริบด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น แม้กระทั่งพวกสาวใช้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีใครแสดงท่าทางตื่นตกใจกับการกระทำของเฉียวเจาราวกับว่าคุณหนูสามทำอะไรก็ไม่ผิดปกติ
เสียงร่ำไห้ของปิงเหนียงหยุดลงอึดใจหนึ่ง นางมองไปทางหลีกวงซู ดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอแฝงรอยวิงวอนแกมหวาดกลัว
หัวใจของเขาคล้ายโดนกระชากอย่างแรงเมื่ออนุอันเป็นที่รักมองมาด้วยสายตาเช่นนี้ เขาเงื้อเท้าถีบใส่ปิงลวี่
ปิงลวี่มือไวตาไวเบี่ยงหลบไปด้านข้างทั้งที่กุมตัวปิงเหนียงไว้ พร้อมกับตวัดเท้าเตะข้อพับเข่าของหลีกวงซู
นายท่านรองสกุลหลีล้มหน้าคว่ำกับพื้นดังตึง
เขาทำอะไรกับหลานสาวไม่ได้ แล้วยังเล่นงานสาวใช้น้อยคนหนึ่งไม่ได้อีกหรือ
ปิงลวี่ทำหน้าตื่นตระหนก “นายท่านรอง ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าทำไปตามสัญชาตญาณแต่เพียงเท่านั้น ลืมบอกท่านไปว่าข้าเคยฝึกวิชากับองครักษ์ประจำตัวกวนจวินโหว ใครให้ท่านลงไม้ลงมือกับข้าเล่า…”
แย่แล้ว ข้าเตะเจ้านายในจวน คงไม่โดนโบยกระมัง สาวใช้น้อยคิดคำนึงพลางลอบมองไปทางคุณหนูของตน
เฉียวเจาพยักหน้าโดยไม่ส่อพิรุธ
ปิงลวี่ถึงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ค่อยยังชั่วๆ ขอเพียงคุณหนูไม่ตำหนิ ข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
ขณะที่ทุกคนหันเหความสนใจไปที่นายท่านรองสกุลหลีซึ่งล้มลงกับพื้น เฉียวเจาสบช่องล้วงลูกตุ้มเงินฉลุลายสำหรับใส่เครื่องหอมขนาดเล็กกะทัดรัดฝีมือประณีตวิจิตรออกมาจากถุงผ้าปัก นางใช้มือบิดฝาลูกตุ้มให้เปิดอ้าออกเป็นช่องเล็กๆ กลิ่นหอมประหลาดก็กำจายออกมาระลอกหนึ่ง
เฉียวเจาถือลูกตุ้มเงินไปจ่อปลายนิ้วชี้ที่มีเม็ดเลือดผุดออกมาของปิงเหนียง
ปิงเหนียงหน้าถอดสีไปถนัดตาในที่สุด นางเริ่มดิ้นรนสุดแรง “ท่านพี่ๆ…”
นางไม่ได้กล่าวคำใดอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เพียงเสียงเรียกท่านพี่ซ้ำๆ นี้ก็ทำให้คนที่ถูกเรียกรู้สึกใจจะขาด
หลีกวงซูรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น
เฉียวเจาบอกด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ตีให้สลบ”
ปิงลวี่สับสันมือใส่หลีกวงซูซึ่งเพิ่งลุกขึ้นจากพื้น แต่ยังไม่ทันยืนทรงตัวได้จนสิ้นสติไป
หลีกวงซูล้มตึงไปทันที แม้แต่ปิงเหนียงก็ยังลืมดิ้นขัดขืนไปชั่วขณะ
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก นางกล่าวอย่างละเหี่ยใจ “ผิดคนแล้ว”
นางชี้ที่ปิงเหนียง
“อ้อ!” ปิงลวี่แจ่มแจ้งในบัดดล เร่งรีบสับสันมือใส่ปิงเหนียงอีกทีเป็นการแก้ตัว
ภายในโถงเงียบกริบกะทันหัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกุมขมับ “เจาเจา เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”
แม้นนางเชื่อว่าหลานสาวไม่ใช่คนที่ทำอะไรส่งเดช แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าออกจะเหลวไหลเกินไปบ้างแล้ว
“ท่านย่าอย่าเพิ่งใจร้อนเจ้าค่ะ ข้าทำให้ท่านอารองฟื้นสติก่อน”
เรื่องบางเรื่องต้องให้เห็นเองกับตาจึงจะดี
เมื่อเข็มเงินจิ้มลงไป หลีกวงซูก็ลืมตาขึ้น
“เจ้าทำอะไรกับปิงเหนียง” พอเห็นปิงเหนียงล้มพับอยู่ในวงแขนของปิงลวี่เขาก็เอ่ยถามทันใด
“ท่านอารองไม่อยากรู้ว่าอาการป่วยของเฮ่าเกอเอ๋อร์กับปิงอี๋เหนียงมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาถามเสียงเอื่อยๆ
สีหน้าเยือกเย็นกับน้ำเสียงราบเรียบของเด็กสาวยิ่งทำให้เสียงถามไล่เลียงด้วยความโกรธจัดของหลีกวงซูฟังดูน่ากระอักกระอ่วนใจอย่างมาก
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไรอยู่กันแน่”
เด็กสาวยิ้มน้อยๆ “ท่านอารองไม่รู้ไม่เป็นไร คอยดูก็พอเจ้าค่ะ”
ยามช่องเล็กๆ ที่เปิดอ้าออกของลูกตุ้มเงินจ่ออยู่ใกล้ๆ ปลายนิ้วชี้เปื้อนเลือดของปิงเหนียง ทุกคนรู้สึกว่ากลิ่นหอมในโถงฉุนแรงยิ่งขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคล้ายคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว สีหน้าของนางบูดบึ้งขึ้นทีละน้อย
หลังเวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ขณะที่ความจดจ่อสนใจอย่างเต็มที่ของทุกคนกำลังจะคลายลง หยดเลือดบนนิ้วชี้ของปิงเหนียงพลันเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตก็ไม่ปาน
มันคืออะไร!
ทุกคนขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว
หยดเลือดที่คืบคลานช้าๆ หยดนั้นจู่ๆ ก็พุ่งดิ่งลงไปบนพื้น
อาจูซึ่งได้รับคำสั่งล่วงหน้าใช้ฝาครอบที่เตรียมพร้อมไว้ครอบลงไปอย่างมือไวตาไว
“นั่นคืออะไร” เสียงถามของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสั่นเทา
เฉียวเจาไขความกระจ่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “หนอนกู่* เชื่อมใจแม่ลูกเจ้าค่ะ”
นางหันไปมองหลีกวงซู เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “ท่านอารองคงรู้แล้วกระมัง”
* หนอนกู่ เป็นการนำสัตว์พิษชนิดต่าง ๆ เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ ฯลฯ ใส่ลงในภาชนะ แล้วปิดผนึกปล่อยให้พวกมันกัดกินกันเอง ตัวสุดท้ายที่รอดมาได้เชื่อว่ามีพิษร้ายแรงที่สุด มักนำมาใช้ในพิธีกรรมทางไสยศาสตร์