หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 584
บทที่ 584
พื้นที่ของจวนสกุลหลีไม่ใหญ่นัก มีเพียงสวนดอกไม้ด้านหลังเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนมองปราดเดียวก็เห็นเด็กสาวนั่งอยู่ในศาลาของสวนดอกไม้
นางหันหลังให้เขา อาจเพราะเป็นเทศกาลวันตรุษ นางจึงมิได้แต่งกายด้วยชุดเรียบๆ เช่นที่ผ่านมา แต่เปลี่ยนไปสวมเสื้อบุนวมตัวสั้นปักลายคทาหรูอี้สีเหลืองนวล คู่กับกระโปรงร้อยจีบสีแดงชาด งดงามสดใสเฉิดฉายชวนให้ใจสั่นหวั่นไหว
พอได้ยินเสียงฝีเท้าเฉียวเจาหมุนกายมา
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปนั่งลงอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะหิน คว้ามือของนางมากุมไว้ให้ไออุ่นตามความเคยชิน “รอนานแล้วกระมัง”
เฉียวเจาเอียงคอมองเขา “รอนานอะไรกัน ข้าชมดอกไม้อยู่นะ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราชมดอกไม้ด้วยกัน”
กิ่งล่าเหมยไม่ไกลนักไหวโอนเอนตามแรงลม
ชายหนุ่มพินิจดูครู่หนึ่งแล้วใคร่ครวญหาคำพูดก่อนเอ่ยขึ้น “เอ่อ…ดอกล่าเหมยกิ่งนี้ผลิบานได้งามจริงๆ”
เฉียวเจาหัวเราะพรืด “พอแล้ว ขืนท่านฝืนพูดต่อไป ดอกล่าเหมยยังต้องกระดากอายแล้ว”
อาณาบริเวณของจวนตะวันตกก็มีอยู่เท่านี้ ในเมืองหลวงซึ่งที่ดินแพงลิบประหนึ่งทองคำยังมีสวนดอกไม้ขนาดย่อมๆ ได้ก็ไม่ง่ายดายแล้ว
“หลายวันมานี้เจ้าสบายดีกระมัง” เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างไม่ละสายตา
เขามักรู้สึกเสมอว่าเวลาที่ไม่ได้พบหน้ากันนั้นช่างยืดยาวปานนั้น แต่หยั่งท่าทีของท่านพ่อตาแล้ว ปีนี้หมายจะแต่งเจาเจาเข้าเรือนยังต้องทุ่มความพยายามมากยิ่งขึ้น
“เป็นวันตรุษย่อมต้องดีอยู่แล้ว”
ผู้บงการสังหารชาวสกุลเฉียวได้รับโทษทัณฑ์ตามอาญาบ้านเมืองแล้ว แผลไฟไหม้บนใบหน้าของพี่ชายมีความหวังที่จะรักษาให้หายได้ ญาติพี่น้องสกุลหลีให้ความรักเอ็นดูต่อนางอย่างมาก อีกทั้งเรื่องการแต่งงานก็เป็นที่แน่นอนแล้ว นี่คงจะเป็นช่วงเวลาที่จิตใจของนางผ่อนคลายมากที่สุดนับแต่ฟื้นคืนชีพเป็นต้นมา
“ท่านเล่า งานฉลองวันตรุษยุ่งมากใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “พอไหว ฉลองคนเดียวไม่พิถีพิถันอะไรนัก เพียงเงียบเหงาไปบ้าง”
“คนเดียว?” เฉียวเจาอึ้งงันไปเล็กน้อย นางมองเขาด้วยสายตาแฝงความงุนงงหลายส่วน
เขายิ้มอย่างเปิดเผย “ใช่ คนเดียว”
ความคิดในหัวของเฉียวเจาแล่นกลับไปกลับมาหลายตลบ สุดท้ายนางเค้นเสียงพูดออกมาได้คำเดียว “ฮูหยินท่านโหว…”
เซ่าหมิงยวนกระชับมือกุมมือนางแน่นขึ้น กล่าวกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ “ฮูหยินท่านโหวของข้าอยู่ตรงนี้มิใช่หรือ”
“ท่านก็รู้ว่าข้าหมายถึงฮูหยินของจิ้งอันโหว”
บุรุษฝั่งตรงข้ามคล้ายคิดถึงปัญหานี้ไว้แต่แรก เขาได้ยินวาจานี้แล้วก็นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “นางมิใช่มารดาแท้ๆ ของข้า”
แพขนตาของเฉียวเจาสั่นระริก หากในใจกลับบังเกิดความคิดว่า เป็นเช่นนี้ดังคาด
สุ้มเสียงเรียบเฉยของชายหนุ่มดังขึ้นริมใบหู “ท่านพ่อบอกว่าข้าคือบุตรชายของอนุลับๆ ซึ่งอายุเท่ากับบุตรชายคนรองของท่านแม่ใหญ่พอดี แต่เขาป่วยตายไปหลังจากคลอดออกมาได้ไม่นาน ท่านพ่อเลยอุ้มข้ากลับจวนแล้วเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ในฐานะบุตรชายคนรองของท่านแม่ใหญ่…”
“นี่แสดงว่าฮูหยินท่านโหวทราบแล้ว?”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าพลางเอ่ย “อื้อ”
เฉียวเจานิ่งเงียบไปชั่วครู่ หากเป็นเช่นนี้ข้อกังขาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ชวนให้หายใจไม่ออกเมื่อครั้งอยู่ในจวนจิ้งอันโหวก็ได้คำตอบแล้ว
“เจาเจา”
“หือ?”
“เจ้าดูแคลนชาติกำเนิดของข้าหรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งงันไปทันใด
ชายหนุ่มจับมือของเด็กสาวไว้ เขาตีหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร “ในสายตาผู้คนใต้หล้า บุตรชายของอนุลับๆ ยังเทียบมิได้กับบุตรชายที่เกิดจากสาวใช้ห้องข้าง ไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ แม้สักนิด ข้ารู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรกับเจ้า”
มุมปากของเฉียวเจาสั่นระริก ถ้ามิใช่สีหน้าทุกข์ใจของคนบางคนไม่เหมือนแสร้งทำ นางต้องกลอกตาขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่แล้ว
ไม่มีศักดิ์ฐานะใดๆ แม้สักนิดคืออะไรกัน นั่นหมายถึงบุตรชายของอนุลับๆ โดยทั่วไป กวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ด้วยหรือ
“ท่านอย่าคิดเหลวไหล...”
ชายหนุ่มก้มหน้าเอาแก้มถูกับอุ้งมือของนาง “แต่ถ้าเรื่องเล่าลือออกไปเล่า ท่านพ่อตาเป็นวิญญูชนที่อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงาม น่าจะรังเกียจผู้มีชาติกำเนิดเช่นข้านี้มากที่สุด ถึงเวลาจะไม่ให้เจ้าออกเรือนกับข้ากระมัง”
อื้อ ถ้าเจาเจาเกิดใจอ่อนขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจผนึกกำลังสองทางพิชิตใจท่านพ่อตาได้
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เรื่องการแต่งงานของพวกเราก็ตกลงแน่นอนไปแล้ว”
“ในสายตาของท่านพ่อตา คนที่หมั้นหมายกับเจ้าคือคุณชายรองเชื้อสายภรรยาเอกของจวนจิ้งอันโหว ไม่ใช่บุตรชายของอนุลับๆ ที่ไม่รู้ฐานะมารดาบังเกิดเกล้าของตนผู้หนึ่ง”
เฉียวเจาอ้าปากออก “ถิงเฉวียน ท่านอย่ากังวลใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้เลย”
แม่ทัพหนุ่มถูหน้าอย่างกลัดกลุ้ม “มันสุดปัญญาที่ข้าจะไม่กังวลใจ จะอย่างไรท่านพ่อตาก็เป็นคนซื่อสัตย์เถรตรงเฉกนี้ เจาเจา เจ้าว่าข้าซูบลงอีกใช่หรือไม่”
เฉียวเจาอดพิศดูบุรุษเบื้องหน้าอย่างละเอียดไม่ได้
อืม สีหน้ายังพอไหว แต่ดูเหมือนร่างกายจะผ่ายผอมกว่าตอนพบหน้ากันเมื่อหลายวันก่อนจริงๆ
ฝ่ายเซ่าหมิงยวนพยักหน้ากับตนเอง
อื้อ ดูท่าวันนี้สวมอาภรณ์ด้านในน้อยลงชั้นหนึ่งได้ผลไม่เลวเลย
เฉียวเจายกมือขึ้นจับคอเสื้อเขาให้เข้าที่แล้วกล่าวเสียงนุ่ม “วันๆ ท่านก็อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่านเลย เห็นทีว่าจู่ๆ ฮูหยินท่านโหวหันหน้าเข้าทางธรรมไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก เพราะท่านโหวพูดเปิดอกกับนางแล้วได้ผลลัพธ์ที่เห็นพ้องต้องกันกระมัง ดังนั้นท่านโหวต้องเป็นคนแรกที่ไม่อยากให้ความลับนี้เปิดเผยออกไป”
“เจาเจา…” ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มวางทาบหลังมือของเด็กสาว “เจ้าแต่งเข้าจวนข้าโดยไวเถอะ มีเพียงเจ้าออกเรือนมาเร็วๆ ข้าถึงสบายใจได้”
“เรื่องวันงานมงคลมิใช่ต้องหารือกับท่านพ่อท่านแม่ข้าหรือ”
“ข้าเห็นท่านพ่อตาท่านแม่ยายล้วนรักใคร่เจ้ามาก พวกท่านต้องรับฟังความเห็นของเจ้าเป็นแน่”
มือของเด็กสาวที่อยู่บนคอเสื้อเซ่าหมิงยวนชะงักไป นางเอานิ้วชี้จิ้มๆ หัวไหล่เขา กล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ผอมลง?”
เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ
“ผอมลงจริงๆ หรือ” เฉียวเจาใช้ปลายนิ้วสองนิ้วหนีบเสื้อตัวนอกของเขาแล้วดึงขึ้น
สารภาพได้ลดหย่อนผ่อนโทษ!
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวแม่ทัพหนุ่มอย่างถูกจังหวะในชั่วพริบตานี้เอง เขาไอเบาๆ ทีหนึ่งก่อนกล่าว “อาจจะเป็นเสื้อบางลง”
เฮอะ กวนจวินโหวผู้สุขุมทะนงตนในอดีตผู้นั้นหายไปที่ใดแล้ว
เฉียวเจาปรายตามองเขา “ท่านหัดใช้ประโยชน์จากความเห็นอกเห็นใจของข้าแล้วหรือ”
คนบางคนที่โดนจับโกหกได้คาหนังคาเขาทำหน้าตาเจียมเนื้อเจียมตนเหมือนสุนัขตัวโตกระทำความผิด “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องสงสารข้า”
“ใครสงสารท่านกัน อย่ามาเข้าข้างตนเอง!” เฉียวเจาปัดมือชายหนุ่มออก
หากมิใช่คนบางคนทำหางโผล่เร็วเกินไป เมื่อครู่นางยังหวุดหวิดจะหลงเชื่อไปแล้ว
เซ่าหมิงยวนทำหน้าหนาคว้ามือนางมาจับไว้อีกครั้ง นัยน์ตาสีดำสนิททอประกายหวานซึ้ง เขาอมยิ้มกล่าวว่า “เช่นนั้นคุณหนูสามก็เห็นแก่คนแซ่เซ่าที่เข้าข้างตนเองสักหน่อย ออกเรือนมาเร็วๆ เถอะนะ”
ดวงตาของอีกฝ่ายแจ่มกระจ่างเหลือเกินจนเฉียวเจาลืมคำพูดไปชั่วขณะ
ห่างไปไม่ไกลนักหลีเจี่ยวหยุดยืนมองมาทางศาลาโดยไม่กะพริบตา
“คุณหนู…” ซิ่งเอ๋อร์เอ่ยเร่งอย่างขลาดๆ
หลีเจี่ยวชายตามองสาวใช้แวบหนึ่ง แต่กลับเดินตรงไปที่ศาลา ปั้นหน้ายิ้มแย้มก่อนเปล่งเสียงเรียก “น้องเจา”
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนหันไปมอง
หลีเจี่ยวย่อเข่าคำนับชายหนุ่ม “คารวะท่านโหวเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนหุบยิ้มก่อนผงกศีรษะอย่างไว้ตัว
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากอย่างสุดระงับ
เมื่อครู่นางเห็นหลีซานกับกวนจวินโหวพลอดรักชัดๆ ชายหนุ่มท่าทางเฉยเมยถือตนในความทรงจำของนางมีรอยยิ้มบนใบหน้าประหนึ่งสายลมวสันต์เดือนสาม เห็นแล้วชวนให้จิตใจอ่อนละมุนไปด้วย เหตุใดพอนางกล่าวทักทายอย่างสุภาพมีมารยาท เขากลับวางสีหน้าเย็นชาเล่า หลีซานมีอะไรดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
“พี่เจี่ยวจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาไต่ถามเสียงเรียบ
เพราะเซ่าหมิงยวนอยู่ด้วย หลีเจี่ยวถึงเผยรอยยิ้มนุ่มนวล “อื้อ ข้าจะไปอวยพรวันตรุษท่านตาท่านยาย”
“อ้อ” เฉียวเจาพยักหน้าแล้วไม่กล่าวคำใด
หลีเจี่ยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งทว่าไม่มีคนสนใจ นางรู้สึกกระอักกระอ่วนจึงยอบกายเล็กน้อยแสดงคารวะต่อเซ่าหมิงยวนแล้วพาสาวใช้ออกเดินไป
ไม่นานนักมีสาวใช้อีกคนหนึ่งมาเชิญเซ่าหมิงยวนไปดื่มสุราที่เรือนหน้า เขาจำต้องลุกขึ้นยืน “เจาเจา ถ้าอย่างนั้นข้าออกไปก่อนนะ”
เฉียวเจาพยักหน้า นางเห็นเขากำลังจะไปก็ดึงแขนเสื้อเขาแล้วบอกเสียงค่อย “เสื้อตัวในเย็บเสร็จแล้ว ประเดี๋ยวให้คนเอาไปให้ ท่านลองสวมดูว่าพอดีตัวหรือไม่”
เสื้อตัวในเย็บเสร็จแล้ว!
เซ่าหมิงยวนพลันรู้สึกว่าเดินไม่ค่อยตรงทางเสียแล้ว
เขายังนึกว่าหากได้สวมภายในเดือนหนึ่งก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่คิดว่านี่เพิ่งเดือนหนึ่งวันที่สอง เจาเจาก็เย็บเสื้อตัวในให้เขาเสร็จแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเจาเจาของเขาเรียนรู้อะไรๆ ได้รวดเร็ว แน่นอนว่าที่สำคัญคือมันบ่งบอกว่าเจาเจาใส่ใจเขาเป็นที่สุด
เฉียวเจามองตามแผ่นหลังของเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด
เหตุไฉนท่าเดินของคนบางคนถึงแปลกพิกลเช่นนี้นะ