หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 591
บทที่ 591
หลีเจี่ยวคุกเข่าเหยียดแผ่นหลังตรง แต่มือที่สอดอยู่ใต้แขนเสื้อกลับสั่นเทาน้อยๆ
นางยอมแลกทุกอย่างแล้ว หากยังไม่สำเร็จท่านย่าคงไม่หลงเหลือความสงสารเห็นใจให้นางอีก และจะต้องกำหนดเรื่องแต่งงานของนางอย่างรวดเร็ว ลงท้ายนางก็หนีชะตากรรมที่ต้องเป็นภรรยาของชาวนาผู้หนึ่งไม่พ้น
ปีนี้นางย่างวัยสิบเจ็ดแล้ว ใช้ชีวิตอย่างคับอกคับใจมานานสิบเจ็ดปี หรือว่าต้องคับอกคับใจไปชั่วชีวิตใช่หรือไม่ วันหน้าตอนกลับมาเยี่ยมสกุลเดิมในวันที่สองเดือนหนึ่งพร้อมกัน หลีซานคือฮูหยินท่านโหวมีคนล้อมหน้าล้อมหลังประหนึ่งดาวล้อมเดือน ส่วนนางซึ่งเป็นพี่สาวคนโตกลับเป็นภรรยาชาวนาที่ไม่มีใครให้ความสำคัญกระนั้นหรือ
นางไม่ยอมมีชีวิตเยี่ยงนั้นเด็ดขาด!
คนของวังอ๋องมองดูหลีเจี่ยวที่คุกเข่าตัวตรงอยู่บนพื้น ในดวงตามีรอยเยาะหยันผุดขึ้นวูบหนึ่ง
สตรีที่รีบเสนอตัวให้เองเช่นนี้เขาเพิ่งพบเจอเป็นคราครั้งแรก แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาทำตามหน้าที่ที่ท่านอ๋องมอบหมายให้ลุล่วงแล้ว ไม่เช่นนั้นยังต้องเปลืองน้ำลายยกใหญ่กับคนมุทะลุอย่างอาลักษณ์หลี
“ฮูหยินผู้เฒ่า ใต้เท้าหลี เห็นหรือไม่ว่าคุณหนูของจวนท่านรับของแทนใจจากท่านอ๋องของข้าไว้แล้ว พวกท่านก็อย่าเอาไม้กระบองตีนกยวนยางให้แยกคู่กันเลยนะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฝืนสะกดไฟโทสะไว้ จ้องมองหลานสาวที่คุกเข่ากับพื้นด้วยสายตาแข็งกร้าว “หลานเจี่ยว ท่านย่าขอถามเจ้าอีกครั้งเป็นคำสุดท้าย เจ้าตรองดูดีแล้วหรือ”
หลีเจี่ยวทำสีหน้าแน่วแน่ “ข้าหวังว่าท่านย่าจะส่งเสริมเจ้าค่ะ”
หญิงชราหลับตาลง นางรู้สึกอ่อนล้าไปทั้งกายสุดจะเปรียบ “ดีๆ ในเมื่อเจ้าเลือกเส้นทางนี้เอง ข้าก็ไม่ขอเป็นคนใจร้ายขัดขวางทางใครล่ะ”
หลีเจี่ยวโล่งอกเต็มที่ ใบหน้านางฉายแววปีติยินดี “ขอบคุณท่านย่ามากเจ้าค่ะ”
คนของวังอ๋องล้วงเทียบใบหนึ่งจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งด้วยสองมือ “นี่เป็นวันฤกษ์ดีที่ท่านอ๋องของเราขอให้คนเลือกหาให้ หากท่านไม่ขัดข้อง พอถึงวันมงคลทางวังอ๋องก็จะมารับตัวไปนะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกวาดตามองผ่านๆ อย่างเฉยเมย ฤกษ์ที่เขียนอยู่บนแผ่นเทียบเคลือบสีทองเป็นวันที่ยี่สิบสองเดือนหนึ่ง ซึ่งก็คืออีกไม่วันให้หลัง
นางชายตามองหลานสาวคนโตที่โยนความคิดอ่านทิ้งไปที่ใดแล้วก็สุดรู้แวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ตามนี้เถอะ”
ข่าวรุ่ยอ๋องถูกตาต้องใจคุณหนูใหญ่แพร่กระจายไปทั่วจวนตะวันตกอย่างรวดเร็ว
หลีกวงซูกำลังดื่มชาอยู่ได้ยินแล้วพ่นน้ำชาในปากออกมาทันที
ปิงเหนียงกุลีกุจอหยิบผ้าเช็ดหน้าจะเช็ดให้เขา หลีกวงซูยกมือห้าม กล่าวด้วยสีหน้าขรึมลง “พี่ใหญ่เจอบุญหล่นทับอะไรกันแน่ บุตรสาวคนหนึ่งได้เป็นฮูหยินท่านโหว บุตรสาวคนหนึ่งได้เข้าวังอ๋อง นี่เขาจะใหญ่โตคับฟ้าแล้วหรือไร”
ปิงเหนียงไม่กล่าวอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า เพียงคลี่ยิ้มอ่อนโยน
หลีกวงซูก้มหน้าไปจูบแก้มนางทีหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน “วันนี้ข้าจะไปค้างที่เรือนใหญ่ เจ้าเข้านอนแต่หัวค่ำเถอะ”
ใบหน้าของปิงเหนียงไม่มีวี่แววไม่เต็มใจสักเศษเสี้ยว นางตามไปส่งเขาถึงซุ้มประตูวงเดือนถึงย้อนกลับเข้าเรือน
แม้นหลีกวงซูจะอาลัยอาวรณ์สตรีอ่อนหวานช่างเอาใจ แต่ยังฝืนใจไปหาหลิวซื่อ
จะว่าไปแล้วบุตรสาวสองคนของเขาใกล้ถึงวัยหาคู่ครองแล้ว เขาจากเมืองหลวงไปหลายปี จะเอ่ยถึงสายสัมพันธ์ฉันพ่อลูกกับพวกบุตรสาวคงฟังดูเสแสร้ง
หลิวซื่อได้ยินคำรายงานของสาวใช้แล้วนึกว่าตนเองหูฝาดไป จวบจนหลีกวงซูเดินเข้ามาถึงแน่ใจว่าบุรุษที่หลังจากกลับเรือนมาแล้วนอนค้างในเรือนนางสองคืนตามหน้าที่สามีผู้นี้มาหานางตอนกลางวันแสกๆ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“ข้ายังนึกว่าเจ้าหลับไปแล้วเสียอีก จำได้ว่าแต่ก่อนเจ้านอนพักยามกลางวันจนเป็นนิสัย”
หลิวซื่อมองดูสีหน้าแววตาผ่อนคลายสบายอารมณ์ของเขาแล้วอึ้งงันไปเล็กน้อย
นางนึกว่าจะไม่มีวันได้พูดจากันดีๆ เฉกนี้อีกแล้ว
ทั้งคู่คุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ สองสามคำ หลีกวงซูก็หันเหหัวข้อสนทนาไปที่บุตรสาวสองคน “ทักษะในศาสตร์ทั้งสี่ ดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพของเยียนเอ๋อร์กับฉานเอ๋อร์ก้าวหน้าไปถึงที่ใด แล้วการสอนของอาจารย์ที่จวนตะวันออกเชื่อถือได้หรือไม่”
“สำนักศึกษาหญิงของจวนตะวันออกปิดไปแล้ว ตอนนี้เยียนเอ๋อร์กับฉานเอ๋อร์ฝึกเย็บปักถักร้อยกับข้า”
หลีกวงซูประหลาดใจพอดู เดิมทีเขาไม่ใคร่เอาใจใส่เรื่องพวกนี้ของสตรีมากนัก ถึงอย่างไรก็มิใช่บุตรชายที่ต้องให้บิดาอบรมสั่งสอนด้วยตนเอง
สำนักศึกษาหญิงของจวนตะวันออกปิดไปแล้วหรือนี่
“ให้ฝึกเย็บปักถักร้อยอย่างเดียวจะไม่เป็นการถ่วงอนาคตของบุตรสาวเราหรือไร ไว้ข้าเชิญอาจารย์สักคนมาสอนพวกนางสองคนเถอะ”
อันว่าสตรีไร้สามารถก็คือคุณธรรมนั้นเป็นคำกล่าวหลอกลวงทั้งสิ้น หากไม่รู้หนังสือจริงๆ พวกบุรุษพูดอะไรก็ฟังไม่รู้เรื่องได้แต่ยืนนิ่งเหมือนท่อนไม้ ผู้ใดเล่าจะให้ความสำคัญ
“ยามคุณหนูสามอยู่ว่างๆ พวกนางสองคนจะไปอ่านหนังสือคัดลายมือกับนาง” พอเห็นหลีกวงซูสนใจการเล่าเรียนของบุตรสาว สีหน้าของหลิวซื่ออ่อนละมุนลงโดยไม่รู้ตัว
หลีกวงซูตาเป็นประกาย “พวกเยียนเอ๋อร์สนิทสนมกับหลานเจามากหรือ”
เมื่อนึกถึงเด็กสาวหน้าตาเฉยเมยผู้นั้น หลีกวงซูอาจไม่ชมชอบอยู่ในใจ แต่เขาเป็นขุนนางมาหลายปี รู้แต่แรกแล้วว่าเรื่องความรู้สึกส่วนตนนั้นหาใช่เรื่องสลักสำคัญที่สุดไม่
บุตรสาวสองคนใกล้ชิดกับว่าที่ฮูหยินของกวนจวินโหวเป็นสิ่งที่เขายินดีจะได้เห็นได้ฟัง
จิตใจของหลิวซื่อกลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เพราะสายตาลุกวาวฉับพลันคู่นั้นของสามี นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปึ่งชาขึ้น “เป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน พวกนางสนิทสนมกับคุณหนูสามเป็นเรื่องธรรมดามากมิใช่หรือ”
“ใช่ๆ พี่น้องตระกูลเดียวกันสมควรสนิทสนมกันไว้มากๆ ไม่เพียงแค่หลานเจา คุณหนูใหญ่เป็นพี่สาวคนโต จะห่างเหินไม่ได้ดุจเดียวกัน”
หลิวซื่อแค่นหัวเราะ “ท่านพี่กล่าวล้อเล่นแล้ว ข้าไม่อยากให้บุตรสาวเข้าไปใกล้ชิดกับคนที่อยากเป็นอนุจนตัวสั่นหรอกนะ”
หลีกวงซูทำหน้าขรึมลง “นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้า คุณหนูใหญ่ได้เข้าไปเป็นคนของวังอ๋อง จะยกมาเทียบกับอนุทั่วไปได้อย่างไรกัน”
“เป็นอนุของวังอ๋องก็มิใช่อนุแล้วหรือไร” หลิวซื่อย้อนถาม
“เหลวไหล! หากเป็นเช่นที่เจ้าพูด เหล่าพระสนมในวังหลวงจะมิใช่อนุรึ นายหญิงตราตั้งเช่นพวกเจ้าได้พบแล้วจะกล้าไม่ถวายคำนับหรือ”
“ผู้ใดเต็มอกเต็มใจอยากไปพบนักเล่า!”
“ไร้เหตุผลสิ้นดี!” หลีกวงซูสะบัดแขนเสื้อจากไป
หลิวซื่อนิ่งเงียบไปนานครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งเสียงหัวร่ออย่างเย้ยหยัน
เสียทีที่นางนึกว่าบุรุษผู้นี้เปลี่ยนนิสัยแล้ว ใครจะรู้ว่าเห็นคุณหนูใหญ่ได้ไต่เต้าขึ้นไปเป็นนางหงส์ เขาก็เริ่มพุ่งเป้ามาที่บุตรสาวสองคนของนางแล้ว
หากเขากล้าขายบุตรสาวเพื่อลาภยศ ข้าก็จะแลกชีวิตกับเขา!
ในเรือนหยาเหอ
เฉียวเจาที่ได้รู้เรื่องนี้แล้วเพียงยิ้มขื่นๆ นางไม่รู้ว่าพี่สาวคนโตผู้นี้ฉลาดหรือว่าเลอะเลือน
หากบอกว่าเลอะเลือน นางสามารถไขว่คว้าทุกๆ โอกาสเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา แต่ถ้าบอกว่าฉลาด…
รุ่ยอ๋องย่างวัยสามสิบแล้ว จะถูกตาต้องใจสตรีวัยเยาว์ผู้หนึ่งเพียงเพราะนางตกน้ำครั้งเดียวจริงๆ หรือ
ยามนี้เฉียวเจาหวังก็เพียงให้นางได้มั่งมีศรีสุขด้วยกำลังความสามารถของตน อย่าก่อปัญหาให้จวนสกุลหลีเท่านั้นเป็นพอ
วันที่ยี่สิบสองเดือนหนึ่งมาถึงอย่างว่องไว หลีเจี่ยวถูกรับตัวเข้าวังอ๋องไปแล้ว มาตรว่าจะไม่ได้เข้าทางประตูหน้าเพราะมิได้แต่งเข้าไปเป็นพระชายาของท่านอ๋อง แต่ทั่วทั้งวังอ๋องก็ประดับประดาไปด้วยโคมไฟและผ้าแพรหลากสีแลดูใหม่เอี่ยมอ่องไปทุกมุม นับว่าให้เกียรติคุณหนูใหญ่สกุลหลีอย่างเต็มที่
ย่ำค่ำอย่างรวดเร็ว เทียนไขลายมังกรคู่หงส์ในเรือนหอเปล่งแสงอ่อนละมุน ส่องสะท้อนแผ่นตัวอักษรคำว่า ‘มงคล’ สีแดงเข้มบนหน้าต่างแผ่ประกายระยับจับตา
หลีเจี่ยวก้มศีรษะเพ่งมองเสื้อเจ้าสาวสีชมพูบนตัว ความคับข้องหมองใจผุดขึ้นกลางอกจางๆ ในบางชั่วขณะ แต่มันก็อันตรธานไปทันทีหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง
บัดนี้ถึงนางเป็นเพียงอนุผู้หนึ่งในวังอ๋อง แต่มีโอกาสได้เป็นผู้สูงศักดิ์เหนือใครๆ แล้ว ยังจะมีอะไรน่าคับข้องหมองใจเล่า
ถึงออกเรือนให้กับบุรุษยาจกไม่เป็นโล้เป็นพายจะได้สวมเสื้อเจ้าสาวสีแดง แต่นั่นจะมีอันใด
เมื่อหลีเจี่ยวเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานหยาดเยิ้มให้รุ่ยอ๋องที่ก้าวเข้ามา
เขาเห็นรอยยิ้มนี้แล้วใจสั่นวาบหวิว นึกอยากกกกอดภรรยาคนใหม่เริงรักให้สุขสมอารมณ์หมาย จนใจที่เขาจดจำคำกำชับของหมอเทวดาที่ไม่ให้ใกล้ชิดสตรีเพศภายในหนึ่งปีได้ขึ้นใจ
แต่สาวงามอยู่ข้างกายนี่เอง เขาหวั่นเกรงว่าจะอดใจไม่อยู่ จึงหยุดฝีเท้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “วุ่นวายมาทั้งวันเจ้าคงเหนื่อยแล้ว ผลัดอาภรณ์เข้านอนโดยเร็วเถอะ ข้าจะไปนอนที่ห้องติดกัน”