หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 592
บทที่ 592
ไปนอนที่ห้องติดกัน?
รอยยิ้มตรงมุมปากของหลีเจี่ยวชะงักไปเล็กน้อย นางแทบไม่อยากเชื่อหูตนเอง
นี่เป็นคืนเข้าหอของนาง ท่านอ๋องกลับไม่ร่วมหอกับนางหรือ
รุ่ยอ๋องกระดากใจอยู่บ้างเช่นกัน ไม่ว่าพูดอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ถึงมีศักดิ์ฐานะสูงส่งปานใด ในวันพิเศษเยี่ยงนี้กลับมิได้กระทำในสิ่งที่พึงกระทำล้วนต้องรู้สึกกระอักกระอ่วน
รุ่ยอ๋องเร่งฝีเท้าเดินออกไป
“ท่านอ๋อง…” หลีเจี่ยวลุกขึ้นยืนส่งเสียงเรียกคำหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่าเบื้องหน้านางมีเพียงม่านลูกปัดสีชมพูที่แกว่งไกวไปมาเบาๆ เสียงลูกปัดแก้วกระทบกันดังแกรกๆ ยิ่งทำให้ห้องหอแลดูกว้างโล่งมากขึ้น
หลีเจี่ยวงงงันไปในชั่วขณะ นางนั่งลงอย่างเหม่อลอย
เหตุใดท่านอ๋องต้องทำกับนางอย่างนี้ หรือจะบอกว่าท่านอ๋องไม่ได้ถูกตาต้องใจนาง แต่จะเอาคืนที่นางดึงสายรัดเอวของเขาจนหลุด
เหตุผลนี้ไร้สาระเกินไป หลีเจี่ยวไม่อาจฝืนใจตนเองให้เชื่อได้
ต้องมีเหตุผลที่นางไม่ล่วงรู้เป็นแน่ แต่ยามนี้นางจะแตกตื่นไม่ได้ ในเมื่อนางเข้าสู่วังอ๋องแล้ว วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกล ไม่ว่าเป็นเหตุผลใด ขอเพียงมีความอดทนมากพอ ช้าเร็วก็ต้องได้รู้
ข่าวหลีเจี่ยวเข้าไปอยู่ในวังรุ่ยอ๋องแพร่กระจายไปในเมืองหลวงอย่างว่องไว
ฮูหยินผู้เฒ่าของกู้ชางป๋อได้ยินแล้วอึ้งงันไปเป็นนานก่อนกล่าวทอดถอนใจ “เจี่ยวเอ๋อร์กับมารดาของนางมีนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง”
กู้ชางป๋อผู้เฒ่าจิบน้ำชาคำหนึ่ง “นิสัยใจคอต่างกันก็ไม่มีอะไรไม่ดี มารดาของนางเป็นคนเงียบขรึมเรียบร้อย น่าเสียดายที่อาภัพ หวังว่าหลานสาวผู้นี้ของพวกเราจะมีวาสนาดี จึงไม่เสียทีที่พวกเรารักเอ็นดูนางมา”
บุตรชายในตระกูลผู้สูงศักดิ์เช่นพวกเขาส่วนใหญ่มักไม่เอาถ่าน ทว่าสตรีมีสกุลกลับมีอยู่ดาษดื่น แล้วจะมีซื่อจื่อที่ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ให้เป็นคู่ครองของพวกนางได้มากมายถึงเพียงนั้นที่ใดกัน พวกที่ออกเรือนไปกับบุตรชายคนรองหรือบุตรชายคนเล็กในตระกูลขุนนางชั้นสูงอาจฟังดูน่าเกรงขาม หากแท้ที่จริงพอพวกนายท่านผู้เฒ่าและฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นบุญแล้วแยกเรือนกันก็กลายเป็นครอบครัวสามัญชนทันที
อันที่จริงจะว่าไปแล้วสตรีถูกรับตัวเข้าวังอ๋องอย่างถูกต้องตามธรรมเนียมนับว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก จะมีก็แต่พวกที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเกินไปจำนวนน้อยนิดถึงคิดไม่ตก
ด้านเวินซื่อฮูหยินของไท่หนิงโหวได้ยินเรื่องนี้กลับคิดไปอีกทางหนึ่ง
“คิดไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่สกุลหลีจะเป็นคนมีชั้นเชิงผู้หนึ่ง เทศกาลหยวนเซียวคราวเดียวก็เข้าสู่วังรุ่ยอ๋องได้แล้ว”
สาวใช้คนสนิทพูดพร้อมรอยยิ้มประจบประแจง “อันว่าข้าวหม้อเดียวเลี้ยงดูคนร้อยจำพวก มิใช่หญิงสาวทุกคนจะเป็นกุลสตรีอย่างคุณหนูเจ็ดของเรานะเจ้าคะ”
พอเอ่ยถึงจูเหยียนบุตรสาวของนาง ดวงตาของเวินซื่ออ่อนแสงลง แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวก็ถูกแทนที่ด้วยแววขุ่นมัว “ลี่มามา ทางคุณหนูตู้นั่นเจ้าต้องจับตาดูไว้ให้ดีๆ นางกับคุณหนูใหญ่สกุลหลีสนิทชิดเชื้อประหนึ่งเป็นเงาตามตัวกัน พวกนางไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเหยียนเอ๋อร์”
คุณหนูใหญ่สกุลหลีอาศัยโอกาสไปเที่ยวงานโคมไฟเป็นเพื่อนตู้เฟยเสวี่ยก็สามารถสานสัมพันธ์กับรุ่ยอ๋องได้ ทำให้นางไม่อาจไม่ระแวดระวังเด็กสาวผู้นี้จริงๆ เผอิญว่าหลานสาวนอกสกุลที่พำนักอยู่ในจวนของพวกนางผู้นี้มักเชิญอีกฝ่ายมาเป็นแขกอยู่บ่อยๆ ถ้าเกิดคุณหนูหลีผู้นี้ออกอุบายอะไรให้ตู้เฟยเสวี่ยเล่นงานบุตรชายบุตรสาวของนาง เช่นนั้นนางคงต้องกระอักเลือดตายแล้ว
“ฮูหยินวางใจได้เจ้าค่ะ ข้ามองดูอยู่ด้านข้างเห็นคุณหนูเจ็ดของเรามิได้เต็มใจใกล้ชิดคุณหนูตู้เลย คงไม่พลาดท่าให้นางหรอกเจ้าค่ะ”
เวินซื่อส่ายหน้า “ข้ากลัวเยี่ยนเอ๋อร์จะเสียรู้น่ะสิ”
หากบุตรชายที่นางอบรมเลี้ยงดูมาอย่างพิถีพิถันต้องไปพัวพันกับสตรีอย่างตู้เฟยเสวี่ย อนาคตคงดับวูบไปตลอดชาติแล้วจริงๆ
“คุณหนูตู้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์มิใช่หรือเจ้าคะ”
เวินซื่อยิ้มเยาะ “นางยังไว้ทุกข์อยู่ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าคะยั้นคะยอคำเดียวก็ไปเที่ยวงานโคมไฟแล้ว เจ้ายังนึกว่านางเป็นคนรักษาธรรมเนียมและมีความกตัญญูอีกหรือ”
ทว่าถ้อยคำนี้นางพูดกับสาวใช้คนสนิทได้เท่านั้น จะเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าและท่านโหวไม่ได้แม้สักครึ่งคำ
พวกเขาคนหนึ่งเป็นท่านยาย คนหนึ่งเป็นท่านลุง กำลังสงสารที่ตู้เฟยเสวี่ยสูญเสียมารดาไป ถ้านางพูดออกมาก็กลายเป็นคนใจร้าย
“ไปเชิญคุณหนูเจ็ดมาที่นี่”
ไม่นานนักจูเหยียนก็ย่างเท้าเข้ามา “ท่านแม่อยากพบข้าด้วยเรื่องใดเจ้าคะ”
เมื่อเห็นบุตรสาวคนโปรด เวินซื่อเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “หลายวันนี้มีออกไปเที่ยวสนุกบ้างหรือไม่”
จูเหยียนเม้มปากยิ้ม “นอกจากวันเทศกาลหยวนเซียวแล้ว แค่ไปเดินหมากกับพี่ซูที่จวนเสนาบดีเมื่อวานเจ้าค่ะ”
“ตอนนี้แม่หนูลั่วอีผู้นั้นยังชอบเดินหมากมากถึงเพียงนี้อีกหรือนี่”
“ใช่เจ้าค่ะ พี่ซูโปรดปรานการเดินหมากเป็นที่สุด ทุกคราวล้วนปราบข้าเสียราบคาบ เกรงว่าคงมีแต่พี่ห้าที่ล้างแค้นให้ข้าได้แล้ว” ชื่อของเฉียวเจามาจ่อรอที่ปลายลิ้นแต่จูเหยียนกลืนกลับลงคอไปเงียบๆ
เวินซื่อเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ “อ้อ พี่ห้าของเจ้าเคยเดินหมากกับคุณหนูซูหรือ”
“ไม่เคยเจ้าค่ะ สองคนนั้นจะมีโอกาสดวลหมากกันได้ที่ใดกัน อีกอย่างก็ไม่เหมาะสม”
พอเห็นจูเหยียนมีสีหน้าเป็นปกติ เวินซื่อก็รู้ว่าบุตรสาวมิได้ปิดบัง บันดาลให้นางลอบพึงใจในตัวซูลั่วอีมากขึ้นหลายส่วนอย่างช่วยไม่ได้
“ข้าแค่อยากรู้ยิ่งนักว่าหากพี่ห้ากับพี่ซูดวลหมากกัน ใครจะเหนือชั้นกว่าเจ้าค่ะ”
เวินซื่อคลี่ยิ้ม “มีโอกาสแน่”
จูเหยียนอึ้งงันไปเล็กน้อย เดิมทีนางก็เป็นเด็กสาวที่ความคิดเฉียบไว จึงเข้าใจความหมายของมารดาได้อย่างรวดเร็ว นางเผยรอยยิ้มจากใจจริงออกมาทันใด
พี่ห้ากับพี่ซูหรือ ข้าชักตั้งตารอคอยจริงๆ แล้วสิ
เมื่อจูเหยียนออกไปแล้ว เวินซื่อถึงเอ่ยสั่งสาวใช้คนสนิท “เอาข่าวเรื่องที่ข้าเตรียมดูตัวหญิงสาวให้ซื่อจื่อไปแพร่ให้ถึงหูคุณหนูตู้”
สาวใช้งุนงง “ฮูหยิน คุณหนูตู้รู้เข้าจะก่อความวุ่นวายขึ้นได้นะเจ้าคะ”
เวินซื่อยิ้มเยาะ “กลัวก็แต่นางจะไม่ก่อความวุ่นวายน่ะสิ!”
เข้าตำราที่ว่า ‘มีเพียงพันวันเป็นโจร ไม่มีพันวันป้องกันโจร’ ในเมื่อจวนนี้มีตัวอันตรายแฝงเร้นอยู่ แทนที่จะปล่อยให้เป็นภัยในวันหน้าจนตั้งรับไม่ทัน นางมิสู้ล่อให้เผยธาตุแท้ก่อนล่วงหน้าดีกว่า
เมื่อเป็นอย่างนี้ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านโหวจะสงสารเห็นใจที่ตู้เฟยเสวี่ยกำพร้ามารดาเพียงใดก็ตาม ในใจก็น่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
และแล้วก็ไม่ผิดจากที่เวินซื่อคาดไว้ ตู้เฟยเสวี่ยแอบฟังพวกสาวใช้พูดคุยซุบซิบกันแล้วมึนงงไปหมดเหมือนโดนคนตีแสกหน้า นางก้าวขาออกวิ่งไปยังเรือนพำนักของฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหว
นับแต่จูซื่อผูกคอตาย ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ค่อยสดชื่นแจ่มใสสักเท่าไรมาโดยตลอด ทั้งยังเริ่มกินมังสวิรัติ
ส่วนเวินซื่อจะมากินเป็นเพื่อนมารดาสามีตอนอาหารกลางวันเพื่อแสดงความกตัญญู
วันนี้ไท่หนิงโหวอยู่ในจวนพอดี จึงมาอยู่เป็นเพื่อนบิดามารดาด้วยเช่นกัน
สาวใช้เพิ่งยกอาหารมาวางบนโต๊ะ ตู้เฟยเสวี่ยก็พรวดพราดเข้ามาแล้วโผเข้าไปซบอกท่านยายร้องไห้เสียงดัง
“เฟยเสวี่ยเป็นอะไรไป ฝันร้ายหรือว่าคับข้องหมองใจอะไรมา รีบบอกกับท่านยายเร็วเข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวตกใจสุดจะกล่าว นางตบหลังหลานสาวเบาๆ อย่างปลอบประโลม
เวินซื่อเหยียดมุมปากขึ้น หลานสาวต่างสกุลผู้นี้อยู่สุขสบายยิ่งกว่าคุณหนูตัวจริงของจวนนี้ด้วยซ้ำไป ใครจะทำให้นางคับข้องหมองใจได้เล่า
ตู้เฟยเสวี่ยโอบคอฮูหยินผู้เฒ่าไว้แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ กล่าวแกมสะอื้น “ท่านยาย ข้าได้ยินมาว่าจะทาบทามสู่ขอสตรีให้ญาติผู้พี่แล้ว…”
ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวอดมองไปทางเวินซื่อไม่ได้
นางยิ้มบางๆ “ปีที่แล้วเคยเอ่ยกับท่านโหวไว้เจ้าค่ะ ผ่านปีนี้ไปเยี่ยนเอ๋อร์ก็ยี่สิบเอ็ดแล้ว สมควรจัดการเรื่องแต่งงานเสียที”
ถ้ามิใช่หลังคลอดออกมาเยี่ยนเอ๋อร์สุขภาพไม่ดีอยู่ตลอด ต่อมามีนักพรตผู้หนึ่งรักษาเขาจนหายดีแล้วกำชับว่าห้ามแต่งงานก่อนถึงอายุยี่สิบปี ตอนนี้นางคงได้อุ้มหลานแล้ว ไหนเลยยังจะมีเรื่องน่ารำคาญใจพรรค์นี้
“ตอนนี้ยังเป็นเดือนหนึ่งอยู่ คุณหนูตู้อย่าร้องไห้เลย” เวินซื่อกล่าวปลอบเสียงนุ่มๆ คำหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แม้แต่คำเดียว
สีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแปรเปลี่ยนไปมา สายตาที่มองหลานสาวต่างสกุลเริ่มทอประกายเข้มขึ้น
“ท่านยาย อย่าเพิ่งสู่ขอสตรีให้ญาติผู้พี่ตอนนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ” ตู้เฟยเสวี่ยมิได้สังเกตเห็น นางยังเอ่ยขอร้องอย่างไร้เดียงสา
เวินซื่อกระดกหางคิ้วขึ้น ในดวงตามีแววยิ้มๆ จุดวาบขึ้น นางว่าแล้วเชียว คุณหนูตู้ผู้นี้ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังมาก่อน