หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 6
บทที่ 6
สวนซิ่งจื่อมิใช่ชื่อของคฤหาสน์นอกเมืองอันใด แต่เพราะด้านหลังสวนซิ่งจื่อผืนนั้นเป็นเรือนหลังใหญ่ของสกุลเฉียว ที่พำนักของจอมปราชญ์นามกระเดื่องทั่วหล้า นานวันเข้าถึงถูกชาวบ้านบริเวณรอบๆ เรียกว่า ‘สวนซิ่งจื่อ’ แทนเรือนสกุลเฉียว
อยากไปสวนซิ่งจื่อก็ต้องผ่านหมู่บ้านไป๋อวิ๋น
ขณะใกล้ถึงยามโพล้เพล้ เสียงฝีเท้าม้าก็ดังทำลายความสงบเงียบของที่นี่
คนในหมู่บ้านยืนจับตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ จับจ้องผู้มาเยือน
พวกเขานิ่งเงียบมาก แต่คนทั้งสี่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศชอบกลบางอย่างในความเงียบที่ชวนให้อึดอัดนี้ได้
ไม่มีชาวบ้านพูดคุยหัวเราะกันเสียงดัง ไม่มีเด็กเล็กๆ ล้อมวงมุงดูคนแปลกหน้า ทุกคนที่นี่สวมชุดสีขาวทั้งๆ ที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว เมื่อมีแสงสีทองทั่วท้องนภาเป็นพื้นหลังกลับทำให้หนาวยะเยือกในอก
สือซี ไฉนข้ารู้สึกว่าชาวบ้านเหล่านี้แปลกๆ จะลงม้าถามไถ่ดูสักหน่อยหรือไม่ หยางเอ้อร์ชักม้าไปหาฉือชั่นแล้วเอ่ยถาม
เฉียวเจาซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าตัวฉือชั่นมองดูทุกๆ อย่างที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา นางกวาดสายตามองดวงหน้าเฉยชาแกมเศร้าหมองของชาวบ้านไปทีละคน ในใจพลันหนักอึ้ง ลมหายใจก็เริ่มติดขัด
นางบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร คลับคล้ายตรงกลางอกถูกหินก้อนมหึมากดทับไว้ เสียงฝีเท้าม้านั่นราวกับไม่ได้ย่ำกับพื้น หากแต่เหยียบลงบนหัวใจนาง
รีบไปเถอะ… เฉียวเจาพยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็นความผิดปกติของตนอย่างสุดกำลัง นางเปล่งเสียงพูดคำนี้อย่างยากเย็น
ฉือชั่นรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นเดียวกัน เขาบอกกับหยางเอ้อร์ ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้าจำทางได้
เขาใช้สองเท้ากระทุ้งท้องม้าแรงๆ มันก็ออกวิ่งเร็วขึ้น จูเยี่ยนกับหยางเอ้อร์รีบไล่ตามไป
อาชาพ่วงพีสามตัวห้อฝีเท้าเต็มเหยียดจากไปจนฝุ่นตลบตลอดทาง พวกชาวบ้านสบตากันแล้วส่ายหน้าทอดถอนใจ จากนั้นแยกย้ายกันไปเงียบๆ
พอข้ามหมู่บ้านนี้ไป แลเห็นสวนซิ่งจื่อผืนนั้นอยู่ลิบๆ
ยามนี้ดอกซิ่งผลิบานแล้ว มองจากไกลๆ ดุจดั่งปุยเมฆย้อมแสงสนธยางดงามผืนใหญ่ ส่องสะท้อนกับแสงทองสุดท้ายของวันตรงปลายฟ้าทอประกายเรืองรองละลานตา
ขอบตาของเฉียวเจาแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว
ท่านปู่เคยบอกว่าดอกซิ่งทนความหนาวได้ อากาศยิ่งหนาวยิ่งผลิบานเร็วขึ้น อีกทั้งช่วงเวลาออกดอกยาวนานกว่าดอกท้อ
ท่านปู่ชื่นชอบดอกซิ่ง
บัดนี้ดอกซิ่งยังอยู่ แต่คนที่นางเคารพรักมากที่สุดกลับหลับใหลไปชั่วนิรันดร์แล้ว
ย่าห์… ฉือชั่นไม่มีแก่ใจชมความงามของทิวทัศน์อย่างเห็นได้ชัด พริบตาเดียวก็มาถึงหน้าสวนซิ่งจื่อ เขาพลิกกายลงจากหลังม้าแล้วผูกโยงมันไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง พาทุกคนเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆ ในสวน
เฉียวเจาลอบกำมือเป็นหมัด กลางอุ้งมือเต็มไปด้วยเหงื่อ
นางตื่นเต้นถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่ กระทั่งตอนเข้าพิธีมงคลใหญ่โตยังไม่เคยเป็นเช่นนี้
นี่คงเป็นดังคำกล่าวที่ว่ายิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งพรั่นใจกระมัง เป็นธรรมดาของปุถุชน เฉียวเจาปลอบใจตนเองเช่นนี้
ฉือชั่นที่เดินอยู่ข้างหน้านางจู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า
เฉียวเจาใจกระตุกวูบ เกิดอะไร…
ถ้อยคำหลังขาดหายไปกะทันหัน ภาพซากปรักหักพังเบื้องหน้าทำให้ใบหน้านางซีดเผือดทันควัน ร่างโงนเงนไปมาจนนางต้องคว้าอะไรบางอย่างใกล้ๆ ไว้แน่นถึงฝืนทรงตัวไว้ได้
ฉือชั่นไล่สายตาลงมองมือของเด็กสาวที่จับแขนเสื้อตนไว้
ฝ่ามือข้างนั้นเรียวเล็กบอบบางและขาวเนียนดุจหยก เห็นเส้นเลือดสีเขียวบนนั้นได้ชัด
เขานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะมองหยางเอ้อร์แวบหนึ่ง
หยางเอ้อร์พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วเข้าไปสำรวจดู
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาย้อนกลับมาบอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เป็นเพลิงไหม้ ดูท่าว่าจะเกิดเรื่องขึ้นไม่นาน
คนทั้งสามมองหน้ากันไปมา พลันก็กระจ่างแจ้งถึงความผิดปกติของชาวบ้านเหล่านั้น
ด้วยชื่อเสียงและคุณงามความดีของสกุลเฉียวในที่แห่งนี้ เมื่อเกิดเหตุร้ายกับคนในตระกูลนี้อย่างไม่คาดฝัน ชาวบ้านจะสวมชุดสีขาวเพื่อพวกเขาก็มิใช่เรื่องแปลก
สายลมพัดมา ดอกซิ่งร่วงพรูประหนึ่งเกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายลงมาชวนให้วังเวงหนาวเหน็บใจ
ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจา
หัวใจของเฉียวเจาเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนลูกธนูดอกนั้นเสียบทะลุอกบนกำแพงเมืองเยี่ยน
ไม่สิ นี่มิอาจยกมาเปรียบเทียบกันได้เลย
ตอนนั้นลูกธนูเสียบทะลุอก นางเจ็บแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ถึงขั้นไม่ทันได้ลิ้มรสชาติของมันให้ดีๆ ก็จมลงสู่ความมืดมิด ลืมตาขึ้นอีกทีก็กลายเป็นแม่นางน้อยหลีเจาไปแล้ว
ทว่าเสี้ยวเวลานี้ ความเจ็บปวดนี้ยังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนและคงไม่มีวันจบสิ้นตลอดไป
นางกระทำผิดอันใดเล่า ถึงต้องตายแล้วเกิดใหม่มาเผชิญกับเหตุการณ์น่าเศร้าสลดเยี่ยงนี้
เฉียวเจากำมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เจ้าทำข้าเจ็บแล้วนะ ฉือชั่นกล่าวเสียงเรียบ
หยางเอ้อร์กับจูเยี่ยนสบตากัน
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่พวกเขาในฐานะสหายรักกลับแจ่มแจ้งดีว่าขณะนี้ฉือชั่นกำลังอารมณ์เสียอย่างมาก
ดั้นด้นเดินทางมานับพันลี้กลับลงเอยเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครคงไม่มีทางอารมณ์ดีได้ ยิ่งกว่านั้นนอกจากเป้าหมายล้มเหลวแล้ว ได้เห็นสกุลเฉียวประสบเคราะห์กรรมต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ คงไม่มีผู้ใดที่รู้สึกสบายใจได้
เฉียวเจาดึงสติคืนมา เมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงหน้าเฉยเมยเย็นชาของบุรุษรูปงามหาที่เปรียบมิได้ผู้นั้นก็คลายมือออกช้าๆ
ท่านปู่สอนสั่งให้นางทะนงตนไม่พึ่งพาผู้ใด ย่อมจะรบกวนให้ผู้อื่นมาปลอบประโลมจิตใจนางไม่ได้
ไปกันเถอะ ไปถามชาวบ้านพวกนั้นดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฉือชั่นหมุนกายย่างเท้าไปทางสวนซิ่งจื่อ
เฉียวเจาเดินโผเผตามไป สองเท้าหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยกระสอบทรายจนค่อยๆ รั้งท้ายในที่สุด
จูเยี่ยนหันหลังกลับหยุดฝีเท้าแล้วรอคอยนาง แม้ว่าแม่นางน้อยมิได้ร่ำไห้ แต่เขารู้สึกได้ว่านางโศกเศร้าอย่างสุดแสน
เหตุใดนางถึงเป็นเช่นนี้
เจ้ายังสบายดีกระมัง
เฉียวเจามองเขาพลางเหยียดมุมปากออก คงเห็นได้ชัดสินะเจ้าคะว่าข้าไม่สบายมาก
จูเยี่ยนชั่งใจเล็กน้อยก่อนล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดที่พับทบกันอย่างเรียบร้อยจากแขนเสื้อยื่นส่งให้ หากทุกข์ใจ ร้องไห้ออกมาจะดีกว่า
แม้เขาไม่รู้ว่าแม่นางน้อยเสียใจถึงเพียงนี้เพราะอะไร ในใจกลับบังเกิดความรู้สึกสงสารอยู่หลายส่วน
ที่แท้บางครั้งสตรีไม่ร้องไห้น่าปวดใจยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
น้ำใจในช่วงเวลาที่ไม่ปกติเฉกนี้ เฉียวเจาไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งไม่คิดจะปฏิเสธด้วย
นางยื่นมือรับผ้าเช็ดหน้ามาซับๆ ดวงตาแล้วก็เช็ดจมูก จากนั้นจึงกล่าวขอบคุณจากใจจริง พี่จู* ท่านช่างแสนดีจริงๆ เจ้าค่ะ
‘พี่จูผู้แสนดี’ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก …
ชั่วครู่ใหญ่ เขาถึงกล่าวตอบคำหนึ่ง เจ้าสบายขึ้นแล้วก็ดี
เมื่อเดินทะลุสวนซิ่งจื่อออกมา จูเยี่ยนมองดูฉือชั่นที่มีท่าทางห่อเหี่ยวอย่างชัดเจน เขาลังเลใจครู่หนึ่งถึงไต่ถามเฉียวเจา หรือไม่เจ้ามานั่งซ้อนกับข้า
เฉียวเจาชะงักไป
ฉือชั่นตวัดมองตาขุ่น พูดอย่างหงุดหงิด มัวยืดยาดอะไรอยู่ ยังไม่ขึ้นม้าอีก
เขายื่นมือดึงเฉียวเจาขึ้นมาบนหลังม้าแล้วควบตะบึงไปข้างหน้า
ทั้งสี่คนย้อนกลับมาที่หมู่บ้านไป๋อวิ๋นอีกครั้ง เอาก้อนเงินเล็กๆ ให้เด็กหนุ่มรุ่นกระทงผู้หนึ่งพาพวกตนไปหาผู้ใหญ่บ้าน
ท่านผู้มาเยือนคงจะมาเยี่ยมคารวะใต้เท้าเฉียวกระมัง ผู้ใหญ่บ้านถามเข้าเรื่องทันที
ฉือชั่นกำลังอารมณ์ไม่ดี จูเยี่ยนจึงอ้าปากตอบแทน ไม่ผิด พวกข้าเดินทางไกลมาเพื่อเยี่ยมคารวะใต้เท้าเฉียว คาดไม่ถึงว่าพอผ่านสวนซิ่งจื่อไปกลับได้เห็น…
ผู้ใหญ่บ้านถอนใจเฮือกหนึ่ง ท่านทั้งหลายคงไม่ล่วงรู้ว่าหลายวันก่อนเรือนสกุลเฉียวโดนไฟไหม้ครั้งใหญ่ ครอบครัวของใต้เท้าเฉียวฝังร่างกลางทะเลเพลิงกันหมดแล้ว…
เฉียวเจาสั่นเทาไปทั้งสรรพางค์กาย โชคดีที่นางนั่งอยู่ในมุม จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
จู่ๆ เหตุใดถึงไฟไหม้ได้ ฉือชั่นพูดโพล่งขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าระทมหม่นหมอง เขากล่าวทอดถอนใจ ใครจะรู้เล่า เกิดไฟไหม้ตอนพลบค่ำ กว่าพวกข้าจะเห็น ไฟก็ลุกลามโหมแรงมากจนเข้าไปไม่ได้เลย บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวไม่ฟังเสียงห้ามปรามของทุกคน เสี่ยงตายบุกเข้ากองเพลิงช่วยน้องสาวคนเล็กของเขาออกมาได้ หลังจากนั้นเรือนทั้งหลังก็พังทลาย…
บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว? เฉียวเจารับฟังด้วยหัวใจที่แหลกสลาย จวบจนได้ยินคำนี้หัวใจนางถึงเริ่มเต้นแรงขึ้น
พี่ใหญ่ของข้ายังมีชีวิตอยู่?
คุณชายเฉียวยังมีชีวิตอยู่หรือ จูเยี่ยนถามสิ่งที่เฉียวเจาอยากถามมากที่สุด
ก็ชาวสกุลเฉียวออกทุกข์แล้วมิใช่หรือ วันนั้นคุณชายเฉียวออกจากเรือนไปเยี่ยมสหายพอดีถึงพ้นเคราะห์ภัยนี้มาได้ ตอนคุณชายเฉียวกลับมาพบว่าเรือนกำลังไฟไหม้ ถึงได้ฝ่าทะเลเพลิงเข้าไปช่วยชีวิตน้องสาวคนเล็กไว้ ผู้ใหญ่บ้านพูดอธิบาย
ถ้าเช่นนั้นคุณชายเฉียวกับคุณหนูเฉียวล้วนปลอดภัยดี? เฉียวเจาเพียรเก็บงำความรู้สึกเต็มที่ นางกล่าวถามเสียงเบา
คุณหนูเฉียวตามคำเรียกขานจากปากผู้ใหญ่บ้านคือเฉียวหว่าน น้องสาวต่างมารดาของนาง
ผู้ใหญ่บ้านมองปราดไปที่เฉียวเจาก่อนเอ่ยขึ้น ดูคล้ายคุณหนูเฉียวจะไม่เป็นอะไร ส่วนคุณชายเฉียว…
เป็นอย่างไร ทั้งสี่คนร้องถามเป็นเสียงเดียวกัน
คุณชายเฉียวเสียโฉมแล้ว ผู้ใหญ่บ้านตอบแล้วถอนหายใจยาวเหยียด
เสียโฉมแล้ว?
พวกฉือชั่นสามคนต่างเคยเห็นหน้าเฉียวโม่มาก่อน รูปลักษณ์ที่โดดเด่นเลอเลิศเหนือใครในแผ่นดินของเขาผุดวาบขึ้นในหัวสมองอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อครั้งเฉียวโม่อยู่ในเมืองหลวง มีกิตติศัพท์ความหล่อเหลาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉือชั่น ยากจะนึกภาพออกว่าใบหน้านั้นเสียโฉมไปแล้วจะมีสภาพเช่นไร
ช่างน่าเสียดายจริงๆ ผู้ใหญ่บ้านพูดสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจออกมา
เฉียวเจาอ้าปากขมุบขมิบ ไม่น่าเสียดาย ขอแค่พี่ชายของข้ามีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว!
เช่นนั้นตอนนี้คุณชายเฉียวอยู่ที่ใด
เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้ว ศพของชาวสกุลเฉียวยังต้องอาศัยคนในหมู่บ้านช่วยกันจัดการฝังพร้อมกับคุณชายเฉียว พอเสร็จเรียบร้อย เขาก็พาน้องสาวจากไปโดยไม่ล่ำลา ใบหน้ายังมีบาดแผลแท้ๆ ไม่รู้ว่าไปที่ใดได้
เมืองหลวง เฉียวเจาหลุดปากพูดออกมา
ทุกคนหันมามองอย่างหลากใจ
* คำว่า จู พ้องเสียงกับคำที่มีความหมายว่า หมู ซึ่งมักใช้เป็นคำด่าในเชิงว่าไม่มีสมอง