หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 60
ซูลั่วเฟิง หนึ่งในรองแม่ทัพของกองทหารเป่ยเจิง แม้นไม่นับว่าขึ้นตรงต่อท่านแม่ทัพ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาติดตามท่านแม่ทัพสู้รบกับข้าศึกอย่างกล้าหาญ กลายเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเขามานานแล้ว
จนบัดนี้เซ่าเหลียงยังขบไม่แตกว่าเหตุใดวันนั้นซูลั่วเฟิงถึงเอาตราคำสั่งประจำตัวท่านแม่ทัพมาหลอกเขากลับไป จากนั้นยังนำทางขบวนอารักขาฮูหยินของท่านแม่ทัพไปอีกเส้นทางหนึ่ง ทำให้ชาวเป่ยฉีซึ่งมารอดักซุ่มล่วงหน้าลักพาตัวฮูหยินไป
เขาทำเช่นนี้เป็นการทรยศต่อแผ่นดิน! เซ่าเหลียงยกมือตบหน้าตนเอง เขาไม่กล้าสบตาเซ่าหมิงยวน ท่านแม่ทัพ เพราะความโง่เขลาของข้าคนเดียว ถ้ามิใช่ข้าหลงกล ฮูหยินคงไม่…
คนอื่นเพียงเห็นเกียรติยศจากการได้รับบรรดาศักดิ์หลังชนะศึกครั้งใหญ่ของท่านแม่ทัพ แต่คนใกล้ชิดที่สุดอย่างพวกเขาต่างหากถึงเห็นความทุกข์ทรมานใจของท่านแม่ทัพ
แท้จริงแล้วท่านแม่ทัพคงวาดหวังให้สงครามสิ้นสุดอย่างมาก และใช้ชีวิตเฉกสามัญชนกับฮูหยินกระมัง
เขาไม่มีวันลืมว่าทุกครายามว่างในช่วงที่สถานการณ์ศึกผ่อนเบาลงบ้าง ท่านแม่ทัพจะนั่งลงเขียนสารถึงครอบครัวอย่างตั้งอกตั้งใจ มีน้ำแข็งย้อยห้อยตามริมชายคากับพื้นหิมะขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตานอกหน้าต่างเป็นเพื่อน
น่าเสียดายที่ท่านส่งสารกลับเรือนไปฉบับแล้วฉบับเล่า แต่ไม่เคยได้รับสารตอบกลับ
ในใจฮูหยินจะต้องตัดพ้อต่อว่าท่านแม่ทัพอยู่เป็นแน่แท้
ดังนั้นเมื่อจู่ๆ ได้รับข่าวว่าฮูหยินของท่านแม่ทัพเดินทางขึ้นเหนือกำลังจะมาถึงแล้ว เขาถึงเป็นฝ่ายขันอาสาไปรับเอง
เขาอยากพูดเรื่องดีๆ ของท่านแม่ทัพต่อหน้าฮูหยินให้มากๆ หวังว่านางจะยกโทษให้ท่านแม่ทัพที่ไม่ได้กลับไปหลังแต่งงานกันมานานสองปี
ทว่าท้ายที่สุด…
เซ่าเหลียงคุกเข่าลงช้าๆ เสียงพูดแตกพร่า ท่านแม่ทัพ ล้วนเป็นความผิดของข้า…
เซ่าหมิงยวนโน้มตัวไปประคองเขาลุกขึ้น นานครู่ใหญ่ถึงกล่าวว่า มิใช่ความผิดของเจ้า อันว่ามีเพียงพันวันเป็นโจร ไม่มีพันวันป้องกันโจร* หลายปีมานี้ซูลั่วเฟิงไม่เคยมีพิรุธแม้แต่น้อยนิด แต่บนตัวกลับมีป้ายคำสั่งปลอม เห็นได้ว่าเขาคิดอ่านวางแผนมานานแล้ว
เซ่าหมิงยวนหลับตาลง ภาพตอนอยู่ร่วมกับซูลั่วเฟิงผุดขึ้นในห้วงความคิด
ซูลั่วเฟิงพยุงเขาที่ได้รับบาดเจ็บเดินกลางพื้นหิมะหนึ่งคืนเต็มๆ จนกลับถึงค่ายอย่างปลอดภัยในที่สุด…
ในระหว่างการต่อสู้ฆ่าฟันกันอย่างดุเดือด ซูลั่วเฟิงกระโจนกายขึ้นมาสกัดการลอบโจมตีสังหารให้สหายร่วมรบ…
ข้างกองไฟ ซูลั่วเฟิงอาศัยแสงไฟอ่านสารจากครอบครัวด้วยสีหน้าอ่อนโยน…
เซ่าหมิงยวนลืมตาพรึบ
เซ่าเหลียง พรุ่งนี้เจ้าเดินทางไปเมืองเป่ยติ้งสืบหาต่อไป ลองสืบตามหอคณิกาหรือตามเรือสำราญในเมืองนั้นว่ามีหญิงสาวที่รู้จักคุ้นเคยกับซูลั่วเฟิงหรือไม่
ท่านแม่ทัพ? เซ่าเหลียงประหลาดใจอย่างมาก
ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววเหนื่อยอ่อนอย่างปิดไม่มิด แต่แววตากลับเปล่งประกายวาววาม เขาไขความกระจ่างต่อเซ่าเหลียงด้วยสุ้มเสียงแหบต่ำ ข้าเคยเห็นซูลั่วเฟิงอ่านสาร ตอนนั้นเขาบอกว่าเป็นสารจากครอบครัว ในเมื่อเขาเป็นเด็กกำพร้าแล้วสารนั้นมาจากที่ใด มีโอกาสเก้าในสิบส่วนว่าส่งมาจากสตรีคนรัก ถึงขั้น…
เซ่าหมิงยวนชะงักเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าใช้สตรีหอคณิกาเป็นฉากบังหน้าส่งข่าวอะไรบางอย่าง
ถึงตอนนี้เขายังคงไม่เชื่อว่าเรื่องของซูลั่วเฟิงจะเป็นการคบคิดกับข้าศึกเพียงธรรมดาๆ เท่านั้น
ซูลั่วเฟิงออกศึกใต้การบังคับบัญชาของเขามานานหลายปี น่าจะรู้จักนิสัยของเขาดี
ในสถานการณ์เช่นนั้น เขาไม่มีทางเลือกอื่นสักนิดนอกจากต้องยิงธนูปลิดชีพภรรยาของตนกับมือ ประการหนึ่งเพื่อไม่ให้การข่มขู่ของทหารเป่ยฉีส่งผลต่อขวัญกำลังใจของทหารต้าเหลียง อีกประการหนึ่งเพื่อไม่ให้ภรรยาโดนย่ำยีศักดิ์ศรีจนตายอย่างน่าอนาถ
ถ้าอย่างนั้นซูลั่วเฟิงแฝงตัวแทรกซึมเป็นเวลานานเพื่อลงมือทำแค่นี้ก็ควรค่าให้ขบคิดพินิจอยู่มาก
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปหน้าโต๊ะ
บนนั้นวางแผนที่แบบหยาบๆ ไว้แผ่นหนึ่ง
พวกเจ้ามาดูนี่
เซ่าจือกับเซ่าเหลียงเข้าไปยืนล้อมโต๊ะ
เซ่าหมิงยวนชี้ที่แผนที่ เซ่าเหลียง เจ้าโดนซูลั่วเฟิงหลอกให้กลับค่ายก่อนขบวนเดินทางจวนจะมาถึงทางแยกจุดนี้ หลังจากถึงทางแยกแล้ว เขาก็นำทางขบวนเดินทางที่ไม่คุ้นเคยลักษณะพื้นที่ของแดนเหนือเลี้ยวไปทางนี้ จากนั้นก็พบกับการดักซุ่ม ชาวเป่ยฉีพวกนั้นมีเป้าหมายชัดเจน พอลักพา…ลักพาตัวฮูหยินแล้วก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว ยกเว้นซูลั่วเฟิงกับทหารที่เขาพาไปด้วยที่ได้รับบาดเจ็บล้มตายไปส่วนหนึ่ง ขณะที่คนอื่นๆ ล้วนไม่เป็นอะไรมาก
เซ่าจือกับเซ่าเหลียงพยักหน้าถี่ๆ
ครั้นได้ยินเสียงพูดของผู้เป็นนายแหบแห้งเหลือเกิน เซ่าเหลียงก็รินน้ำชายื่นให้เขา ท่านแม่ทัพ ดื่มน้ำชาก่อนเถอะขอรับ
เซ่าหมิงยวนรับมาดื่มรวดเดียวหมดแล้ววางถ้วยน้ำชาทิ้งไว้ด้านข้าง ชี้ไปทางจุดหนึ่งบนแผนที่ แต่ทหารลาดตระเวนที่ส่งไปภายหลังสำรวจพบว่าเส้นทางเดิมที่ขบวนเดินทางจำเป็นต้องผ่าน…ตรงนี้…ก็มีชาวต๋าจื่อดักซุ่มอยู่เช่นกัน
จะเป็นชาวต๋าจื่อที่ต้องการให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาดหรือไม่ขอรับ
ตอนแรกข้าก็คิดไปในทางนี้ ต่อมารู้สึกว่าไม่ค่อยชอบมาพากล ทหารลาดตระเวนพิจารณาจากรอยเท้าตรงจุดที่ดักซุ่มแล้วลงความเห็นว่าจำนวนของชาวต๋าจื่อมีน้อยกว่าทหารที่เจ้าพาไปมาก หากตอนนั้นไม่มีซูลั่วเฟิง เจ้าไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ต่อให้เจอกับชาวต๋าจื่อกลุ่มนั้นก็ไม่คณามือเจ้าแต่อย่างใด
ยามนั้นเขาได้รับสารที่ส่งมาบอกว่าท่านแม่สงสารที่เฉียวซื่อเฝ้าเรือนโดดเดี่ยวมาสองปี เลยส่งนางมาอยู่พร้อมหน้ากับเขาที่แดนเหนือ หากที่เหนือคาดยิ่งกว่าคือตอนได้รับสาร เฉียวซื่อใกล้จะมาถึงแล้ว อีกทั้งตอนนั้นเป็นช่วงเวลาวิกฤตที่สุดของการสู้รบระหว่างสองทัพ เพื่อความปลอดภัยของเฉียวซื่อ เขาสั่งให้เซ่าเหลียงซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อใจได้มากที่สุดมุ่งหน้าไปรับโดยเฉพาะ ถึงขั้นให้เขาพากององครักษ์ติดตามไปหลายร้อยคน แต่คิดไม่ถึงว่าซูลั่วเฟิงจะทรยศหักหลัง
พวกเจ้าเห็นว่าความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นคืออะไร
เซ่าเหลียงกับเซ่าจือมองหน้ากันไปมา
ข้าตรึกตรองอยู่นานสองนาน เห็นว่าการที่ชาวต๋าจื่อปรากฏตัวขึ้นสองชุดมีความเป็นไปได้ทางหนึ่งคือคนที่ส่งข่าวให้พวกเขามิใช่คนกลุ่มเดียวกัน และชาวต๋าจื่อที่ได้รับข่าวก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติหัวหน้าคนเดียวกัน
ชาวต๋าจื่อในเป่ยฉีแยกกันเป็นฝักฝ่ายมากมายเฉกเดียวกัน ดังนั้นเพื่อแย่งความดีความชอบ จึงเป็นไปได้มากที่จะเกิดสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้สถานการณ์ของกันและกัน
อะไรนะ นอกจากซูลั่วเฟิงแล้วยังมีคนอื่นอีกหรือขอรับ
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเย็นเยียบ แววตาขุ่นมัว มีเพียงเช่นนี้ถึงอธิบายได้ว่าเหตุใดชาวต๋าจื่อที่ดักซุ่มตรงเส้นทางเดิมมีจำนวนน้อยกว่ากององครักษ์ที่เซ่าเหลียงพาไป เพราะว่าคนที่ส่งข่าวอีกกลุ่มหนึ่งคะเนจำนวนคนของกององครักษ์ผิดพลาด ตอนแรกพวกเขานึกไม่ถึงว่าข้าจะส่งคนมากถึงเพียงนั้นไปรับเฉียวซื่อ ถึงขั้น…ไม่คิดว่าข้าจะส่งคนไปรับ
เวลาที่เฉียวซื่อเดินทางมาถึงแดนเหนือแฝงนัยที่น่าขบคิดจริงๆ ด้วยเป็นช่วงที่สองทัพทุ่มกำลังพลเต็มที่ แทบจะดึงกำลังทหารออกมาไม่ได้
คนที่ออกจากเมืองหลวงเดินทางขึ้นเหนือเป็นเพื่อนฮูหยินมีองครักษ์ในจวนท่านโหว ทหารหน่วยอวี่หลินส่วนหนึ่งกับคนของสำนักคุ้มภัยหย่วนเวย เซ่าจือ เจ้าลองไปซักถามคนพวกนั้นลับๆ ดูว่าหลังจากซูลั่วเฟิงรับช่วงดูแลขบวนเดินทางต่อมีพิรุธอะไรหรือไม่
เซ่าจือหนักอึ้งในใจ ความหมายของท่านแม่ทัพคือนอกจากซูลั่วเฟิงแล้ว มือมืดลับหลังยังมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นไปได้มากว่าจะมาจาก…
เซ่าหมิงยวนยกมือนวดหัวคิ้วเบาๆ เผยรอยยิ้มจางๆ อย่างอ่อนล้า พวกเจ้าแยกย้ายกันไปสืบเถอะ ก่อนจะสืบความจริงได้กระจ่าง ไม่จำเป็นต้องระแวงแคลงใจไปส่งเดช
ถึงแม้ความระแวงแคลงใจได้หยั่งรากลึกลงในใจเขา และมันกัดกินเขาให้เจ็บปวดจับขั้วหัวใจ ทว่าเขายังอยากรู้คำตอบที่แน่ชัดสักอย่าง
ขอรับ เซ่าจือกับเซ่าเหลียงประสานมือคำนับพร้อมกัน
เซ่าหมิงยวนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงครู่หนึ่ง พอลืมตาขึ้นเห็นเซ่าจือกับเซ่าเหลียงยังยืนอยู่เบื้องหน้าดังเก่าด้วยท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ก็เอ่ยถาม ยังมีเรื่องอะไรอีก
เซ่าจือขยิบตากับเซ่าเหลียง
เซ่าเหลียงส่ายหน้าบุ้ยใบ้ให้เขาเป็นคนพูด
เซ่าหมิงยวนย่นหัวคิ้วน้อยๆ กลับเมืองหลวงแล้ว พวกเจ้าสองคนก็หัดอมพะนำกันหรืออย่างไร มีเรื่องใดก็พูดมาเถอะ
มือเปื้อนโลหิตของคนมานับไม่ถ้วน มิหนำซ้ำครั้งสุดท้ายยังเป็นเลือดอุ่นจัดของภรรยา แล้วยังจะมีอะไรที่เขาทนรับไม่ได้อีก
เซ่าจือถูกผลักไปข้างหน้า เขาลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วปริปากบอกในที่สุด ท่านแม่ทัพขอรับ เกรงว่าท่านยังไม่ทราบว่าเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่เรือนสกุลเฉียวในจยาเฟิง มีเพียงคุณชายเฉียวกับน้องสาวคนเล็กที่หนีรอดออกมาได้…
เสียงแผ่วเบาดังลอยมา เป็นเซ่าหมิงยวนกดที่เท้าแขนเก้าอี้จนหักคามือ
* โจรจะคอยเฝ้าจับตาดูเป้าหมาย เมื่อสบโอกาสก็จะก่อเรื่องไม่ดี ในขณะที่เป้าหมายไม่สามารถระวังตัวได้ตลอดเวลา ย่อมมีช่องโหว่ให้โจรกระทำการ ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ‘มีเพียงพันวันเป็นโจร ไม่มีพันวันป้องกันโจร’ จึงหมายถึงมนุษย์มีขีดจำกัด ไม่มีใครสามารถป้องกันเหตุร้ายได้ตลอดเวลา