หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 601
บทที่ 601
เจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินจบชีวิตลงอย่างกะทันหัน
การตายของเขาเป็นดั่งอสนีบาตสายหนึ่งฟาดเปรี้ยงลงกลางกระหม่อมคนนับไม่ถ้วน
ชั่วขณะที่ได้ข่าวการตายของเจียงถัง ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากเท่าไรที่แหงนหน้ามองฟ้าขมุกขมัวพลางพูดพึมพำ “ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสีแล้ว ดูทีว่าวันหน้าต้องออกนอกเรือนให้น้อยลง”
ทั้งที่เป็นเมืองหลวงอันรุ่งเรืองเฟื่องฟูกลับแปรเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาวังเวงในชั่วอึดใจ ร้านค้าต่างๆ ที่มีคนเข้าออกคึกคักก่อนหน้านี้ก็บางตาไร้ผู้คน
ด้านหน้าประตูจวนกวนจวินโหวมีองครักษ์จินหลินถืออาวุธครบมือยืนเรียงกันเป็นแผงประจันหน้ากับองครักษ์ของกวนจวินโหว บรรยากาศเขม็งเกลียวพร้อมปะทะกันได้ทุกเมื่อ
“เหตุใดพวกเจ้าปิดล้อมหน้าประตูจวนโหวของเรา” เซ่าจือเอ่ยถามเสียงกร้าว
ผู้ที่ยืนอยู่หัวแถวองครักษ์จินหลินคือเจียงสืออีในเสื้อคลุมสีขาวปลอด
เดิมทีเขาเป็นคนเฉยเมยเงียบขรึม ในเวลานี้ยิ่งดูเย็นชาดุจหิมะน้ำค้างแข็ง “เรียกท่านโหวของพวกเจ้าออกมา”
เซ่าจือแค่นเสียงถามกลับ “กล้าดีอย่างไร”
เสียงฝีเท้าดังลอยมา องครักษ์เบื้องหลังเซ่าจือพากันเปล่งเสียงเรียกขาน “ท่านแม่ทัพ”
เซ่าจือหันหน้าไปทันที เขาประสานมือคำนับพลางกล่าว “ท่านแม่ทัพ”
เซ่าหมิงยวนโบกมือไปมา จากนั้นสืบเท้าไปยืนตรงหน้าเจียงสืออี “ไม่ทราบว่าเรียกข้าออกมาด้วยเรื่องใด”
เจียงสืออีมองเขานิ่งๆ พลางเอ่ยเสียงเฉยชา “พวกข้าสงสัยว่าท่านโหวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของท่านผู้บัญชาการใหญ่ เชิญท่านไปกับพวกข้าเถอะ”
“บังอาจ! พวกเจ้าเห็นท่านแม่ทัพของพวกข้าเป็นใครกัน” เซ่าจือพูดตะคอกแล้วชูดาบยาวในมือขึ้นทันที “เจ้าพวกสารเลว ลองแตะต้องท่านแม่ทัพของพวกข้าดูสิจะได้เห็นดีกัน!”
องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเซ่าหมิงยวนพากันชักดาบยาวออกมา
ด้านองครักษ์จินหลินทางด้านหลังเจียงสืออีก็ยกคันธนูขึ้น
“ท่านโหวจะขัดขืนการจับกุมใช่หรือไม่ หรือว่าคิดจะก่อกบฏ” เจียงสืออีถามเสียงเย็น
เซ่าหมิงยวนเพ่งสายตามองเจียงสืออีแล้วพลันยิ้มออกมา “ในกาลก่อนมิเคยสังเกตว่าท่านสิบเอ็ดยังมีฝีปากดีด้วย”
“ข้าเพียงพูดตามข้อเท็จจริง” เจียงสืออีกล่าวเสียงเย็นเยียบ
“ได้ ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
“ท่านแม่ทัพ!” พวกองครักษ์หน้าถอดสี
เซ่าจือเข้าไปขวางหน้าผู้เป็นนายไว้ทันใด “ท่านแม่ทัพ ท่านไปกับพวกเขาไม่ได้นะขอรับ”
เซ่าหมิงยวนยื่นมือตบไหล่เขา เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ข้าไปไม่นานหรอก ห้ามผลีผลามวู่วาม”
“แต่ว่า…” เซ่าจือยังไม่ยอมถอยออก เพราะต่อให้ท่านแม่ทัพถูกปล่อยตัวออกมาในตอนท้าย แต่ความคับแค้นใจในครานี้ยากจะกล้ำกลืนไว้ได้จริงๆ!
“นี่เป็นคำสั่ง”
เซ่าจือถึงยอมถอยออก
“ไปเถอะ” เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะเล็กน้อยกับเจียงสืออี
เจียงสืออีโบกมือทีหนึ่ง เหล่าองครักษ์จินหลินทยอยกันเก็บคันธนูขึ้น เขาลอบถอนใจโล่งอก
พวกเขาได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าองครักษ์ของกวนจวินโหวแต่ละคนล้วนห้าวหาญเชี่ยวชาญการรบ หากต่อสู้กันจริงๆ เกรงว่าพวกเขาจะเสียเปรียบ
แต่ยังดีว่าที่นี่เป็นเมืองหลวงถิ่นของพวกเขาองครักษ์จินหลิน มิใช่แดนเหนือซึ่งกวนจวินโหวทำตามอำเภอใจได้
ในอาณาเขตเมืองหลวงนี้จะเป็นกวนจวินโหวหรือท่านโหวผู้มิเคยพ่ายศึกอะไรก็ช่าง ล้วนต้องฟังคำสั่งของกององครักษ์จินหลิน!
“ถิงเฉวียน…” เสียงเรียกของสตรีดังขึ้นกะทันหัน
เซ่าหมิงยวนชะงักเท้าหมุนกายขวับกลับไป
เฉียวเจายกชายกระโปรงสาวเท้าเร็วรี่เดินเข้ามา องครักษ์จินหลินสองคนยกดาบไขว้กันขวางหน้านางไว้
เซ่าหมิงยวนมองเจียงสืออีปราดหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงท่าทีใดๆ ทั้งสิ้น
เขาเหยียดยิ้มเดินก้าวยาวๆ ไปเบื้องหน้าองครักษ์จินหลินสองคนนั้น ยื่นสองมือพร้อมกันไปยึดข้อมือที่ถือดาบไว้ของพวกเขาคนละข้างแล้วบิดสุดแรง
ทั้งสองร้องโหยหวนประสานเสียงกัน ดาบยาวในมือก็ร่วงหล่นลงทันที
ทุกคนยังมองตามความเคลื่อนไหวของเซ่าหมิงยวนไม่ทัน ดาบยาวสองเล่มนั้นก็ตกอยู่ในมือเขาแล้ว
มือของเซ่าหมิงยวนออกแรงทีเดียว ดาบยาวชั้นเลิศสองเล่มก็หักเป็นสองท่อนทันใดแล้วโดนเขาขว้างทิ้งไปบนพื้น
องครักษ์จินหลินหน้าเปลี่ยนสีไปกะทันหัน พากันชักดาบยาวจ่อไปที่เขา
นั่นเป็นเครื่องมือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเขาเชียวนะ แต่กลับถูกกวนจวินโหวหักทิ้งได้สบายๆ นับเป็นความอัปยศอดสูครั้งใหญ่หลวงเลยทีเดียว!
เซ่าหมิงยวนกวาดสายตามองพวกองครักษ์จินหลินอย่างเย็นชา สุดท้ายหยุดสายตาที่หน้าเจียงสืออี “จงจำไว้ อย่าถือดาบจ่อไปที่คู่หมั้นข้า ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเรื่องใดข้าล้วนทำได้ทุกอย่าง”
“ท่านโหวข่มขู่ข้าอยู่หรือ”
“ไม่ ข้าแค่เตือนท่าน”
เจียงสืออีตวัดสายตามองเฉียวเจาก่อนเอ่ยเสียงเฉยเมย “มีเรื่องใด ท่านโหวรีบพูดโดยไว”
เซ่าหมิงยวนจูงมือเฉียวเจาเดินไปที่ใต้ต้นไม้ตรงริมกำแพง
ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เซ่าหมิงยวนส่งยิ้มให้นาง “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
ชาววอโค่วแดนใต้กับพวกต๋าจื่อแดนเหนือ หากสองเภทภัยนี้ยังไม่ถูกกำจัด สำหรับฮ่องเต้แล้ว เขาน่าจะยังมีประโยชน์อยู่
เฉียวเจาเอาถุงผ้าปักใบหนึ่งยัดใส่มือเขา “ในนี้เป็นพวกยาลูกกลอน ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกสรรพคุณของพวกมันกับท่านแล้ว ท่านเก็บถุงผ้าปักไว้ให้ดี”
“อื้อ”
เฉียวเจาจับมือเขาแน่นๆ ลดสุ้มเสียงลงแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “พินิจจากสภาพร่างกายของเจียงถังขณะนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจบชีวิตกะทันหันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย การตายของเขาต้องมีพิรุธแน่”
“เจาเจา เจ้าคิดจะ…”
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำอะไรส่งเดช ข้าจะรอท่านกลับมานะ”
เซ่าหมิงยวนยกมือลูบแก้มนาง “อื้อ ข้าจะกลับมาอย่างรวดเร็ว”
เฉียวเจายืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้มองดูเซ่าหมิงยวนเดินตามองครักษ์จินหลินจนห่างไปไกล
พวกฉือชั่นรุดมาถึงอย่างเร่งร้อน
“ถิงเฉวียนถูกองครักษ์จินหลินพาตัวไปแล้วหรือ”
เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ
“องครักษ์จินหลินสมควรตาย!” หยางโฮ่วเฉิงชกกำแพงหมัดหนึ่ง
“ตอนนี้ด่าคนไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องคิดหาหนทางกัน” ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้นพลางกล่าวอย่างพินิจพิเคราะห์ “บัดนี้กององครักษ์จินหลินเป็นดั่งมังกรไร้หัว ต้องโกลาหลอย่างยิ่ง ตามหลักแล้วถึงคาดคะเนได้ว่าฮ่องเต้ไม่มีทางแตะต้องถิงเฉวียน แต่ถ้าเกิดกององครักษ์จินหลินโยนความผิดเรื่องการตายของเจียงถังให้ถิงเฉวียน ถิงเฉวียนอาจต้องลำบากบ้างเป็นแน่”
“ข้ายังเป็นห่วงอีกจุดหนึ่ง” จูเยี่ยนมองเฉียวเจาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเตือนขึ้น “ยามนี้ใต้เท้าหลียังอยู่ในคุกของกององครักษ์จินหลิน…”
ในช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายเฉกนี้เป็นโอกาสให้คนจับปลาในน้ำขุ่นได้ง่ายดายที่สุด
“การตายของเจียงถัง ใครคือผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด” ถ้อยคำของจูเยี่ยนทำให้เฉียวเจากัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว นางไต่ถามด้วยน้ำเสียงปึ่งชา
“ต้องดูว่าเป็นคนนอกหรือคนใน” ฉือชั่นนั่งลงแล้วประสานมือสอดนิ้วมือเข้าหากัน “ว่ากันถึงคนนอก ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการตายของเจียงถังมากที่สุดคือเว่ยอู๋เสีย หัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวา!”
“ขันทีพวกนั้นหรือ” หยางโฮ่วเฉิงกะพริบตาปริบๆ
ฉือชั่นยิ้มเยาะ “คิดไม่กระจ่างหรือ ขอเพียงเจ้ารู้ว่านับแต่ต้าเหลียงมีกององครักษ์จินหลินกับกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาจนบัดนี้ แต่ไรมาล้วนเป็นกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาที่กดศีรษะกององครักษ์จินหลินไว้โดยตลอด มีเพียงหลายปีมานี้ที่เจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินพลิกกลับมาอยู่เหนือกว่าได้ ฝ่ายกองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาสะกดเก็บความขุ่นข้องหมองใจนี้ไว้มาเนิ่นนานแล้ว”
จูเยี่ยนฟังแล้วพยักหน้า เขากล่าวเสริมขึ้น “และเห็นได้ชัดว่ากององครักษ์จินหลินจะเปลี่ยนผู้นำเป็นคนใดก็ตามก็ไม่อาจมีบารมีทัดเทียมเจียงถังได้”
ฮ่องเต้ทรงมีพี่ชายบุญธรรมที่เป็นบุตรของพระนมเพียงคนนี้คนเดียว
“อีกคนก็คือสมุหราชเลขาธิการหลันซาน” ฉือชั่นพูดต่อ “ตลอดเวลาที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างหลันซานกับเจียงถังเป็นดังคำกล่าวว่าน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ทว่าเจียงถังผู้นี้จะพูดอย่างไรดีเล่า เขายังพอมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ปีที่แล้วผู้ตรวจการโอวหยางถวายฎีกาฟ้องร้องหลันซาน เดิมทียากจะหนีพ้นโทษตายได้ แต่เจียงถังยื่นมือช่วย ตระกูลของผู้ตรวจการโอวหยางถึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ แน่นอนว่าผู้ตรวจการโอวหยางเป็นเพียงหนึ่งในบรรดานั้น หลายปีมานี้คนที่ล่วงเกินหลันซานไม่น้อยรอดชีวิตเพราะได้เจียงถังคุ้มหัว มีพวกขุนนางสุจริตและแม่ทัพฝีมือดีรวมอยู่ด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ สีหน้าของฉือชั่นเย็นชามากขึ้น “หลันซานใช้มือเดียวปิดฟ้าในราชสำนักมาเกือบยี่สิบปี เขาจะไม่รู้สึกไม่พอใจเจียงถังบ้างเลยหรือ”
“แล้วคนในเล่า” หยางโฮ่วเฉิงถามขึ้น