หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 605
บทที่ 605
เมื่อได้ยินถ้อยคำของเจียงสืออี ในดวงตาของเซ่าหมิงยวนมีรอยฉงนผุดขึ้นวูบหนึ่ง
เฉียวเจาสั่นศีรษะเบาๆ กับเขาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
“คุณหนูหลีซาน บอกความจริงเรื่องการเสียชีวิตของท่านพ่อบุญธรรมให้ข้ารู้” เจียงสืออีพูดซ้ำคำเดิม
นางเหลือบตามองเขาแล้วพูดเสียงราบเรียบ “ข้าอยากเห็นสภาพศพของท่านผู้บัญชาการใหญ่”
“เป็นไปไม่ได้” องครักษ์จินหลินหลายคนพูดประสานเสียงกันขึ้น
คนทั่วหล้ารู้เพียงว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่สิ้นชีพอย่างกะทันหัน แต่ไม่ล่วงรู้ว่าท่านมีเลือดออกทางทวารทั้งเจ็ดซึ่งเป็นการตายเพราะยาพิษ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปพวกองครักษ์จินหลินคงหมดศักดิ์ศรีไม่มีที่ยืนในแผ่นดินแล้ว
ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินซึ่งมีหน้าที่สืบความลับของผู้อื่นโดยเฉพาะกลับโดนวางยาพิษจบชีวิตอยู่ในจวน นี่จะกลายเป็นเรื่องตลบขบขันที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปีโดยแท้
“ท่านสิบเอ็ดคงไม่ได้คิดว่าข้าจะบอกความจริงให้ท่านรู้อย่างปากเปล่าเลื่อนลอยกระมัง”
เจียงสืออีนิ่งเงียบไปนานถึงเบี่ยงกายออกด้านข้าง “ตามข้ามา”
“น้องสืออี!” เจียงอู่ตวาดเสียงห้วน
เจียงสืออีทำหูทวนลม ก้าวขาเดินต่อไปเรื่อยๆ
เจียงหย่วนเฉากางแขนขวางทางเจียงอู่ที่ตั้งท่าจะไปห้าม “ข้าเห็นด้วยที่จะให้คุณหนูหลีไปดูเช่นกัน ความจริงสำคัญกว่าศักดิ์ศรีเสมอ พี่อู่ ท่านว่าจริงหรือไม่”
เจียงอู่แค่นเสียงเยาะ “ความจริงย่อมสำคัญกว่าศักดิ์ศรีแน่นอน แต่คุณหนูหลีซานเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นผู้หนึ่ง นางไปดูศพของท่านพ่อบุญธรรม นอกจากจะตกใจกลัวจนร้องไห้แล้วยังจะมีประโยชน์อันใดได้”
เฉียวเจาหยุดฝีเท้าหมุนกายกลับมา กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ท่านห้าวางใจได้ ข้ามิใช่คนขี้กลัว”
โถงตั้งศพของเจียงถังอยู่ในเรือนใหญ่ ผ้าแถบสีขาวพลิ้วไหวตามแรงลมหนาว กระดาษเงินกระดาษทองปลิวว่อนอยู่ตามพื้น มีกลิ่นไหม้ของกระดาษลอยมาระลอกหนึ่งชวนให้รู้สึกอึดอัด
หีบศพไม้หนานมู่ทองชั้นดียังไม่ถูกตอกตะปูปิดโลง เจียงสืออีดันฝาโลงออกเบาๆ แล้วเบี่ยงกายออกเป็นเชิงให้เฉียวเจาเข้ามาดู
ภายในโถงเงียบเชียบวังเวง คนที่นอนอยู่ในโลงศพจบชีวิตอย่างกะทันหันทำให้บรรยากาศโดยรอบน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น
มีคนไม่น้อยมองไปที่เฉียวเจาด้วยสายตาแกมกังขา เด็กสาวเยาว์วัยผู้หนึ่งเช่นนี้จะไม่หวาดกลัวจริงๆ หรือ
ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เฉียวเจาเดินไปที่ข้างโลงศพอย่างเยือกเย็น นางเคารพศพของเจียงถังแล้วลุกขึ้น จากนั้นยื่นมือไปตลบผ้าสีขาวที่ปิดหน้าเขาขึ้นเบาๆ
ดวงหน้าใต้ผ้าขาวกลายเป็นสีม่วงคล้ำแล้ว มาตรว่าจะผ่านการชำระล้างให้สะอาดอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังมีรอยเลือดซึมออกมาตามขอบตาและมุมปาก
เฉียวเจาหยิบเข็มเงินในถุงผ้าปักบนตัวออกมาทำท่าจะจิ้มลงบนใบหน้าของเจียงถัง
“เจ้าจะทำอะไร!” คนหลายคนร้องตวาดเสียงห้วน
เจียงสืออียื่นมือออกไปอย่างว่องไวดุจสายฟ้าแลบหมายจะคว้าข้อมือเฉียวเจา
ทว่ามีคนจับข้อมือของเจียงสืออีไว้ได้เร็วกว่าก้าวหนึ่ง “ท่านสิบเอ็ด อย่าลืมถ้อยคำที่ข้าเคยพูดไว้ อย่าแตะต้องคู่หมั้นข้า”
ใบหน้าของเจียงสืออีคล้ายฉาบด้วยน้ำแข็ง “บังอาจเสียมารยาทต่อท่านพ่อบุญธรรมข้า ฆ่าไม่เว้น!”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้มเอื่อยๆ “แต่ท่านสู้ข้าไม่ได้”
เจียงสืออีโกรธจนแทบกระอัก
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นชำเลืองมองเจียงสืออีแวบหนึ่งก่อนเอ่ยอย่างรำคาญใจ “ท่านพูดให้น้อยๆ หน่อย ข้าจะได้บอกความจริงให้ท่านรู้ได้เร็วขึ้น”
เจียงสืออีอึ้งงัน “…” ทั้งที่ใครๆ ล้วนติงว่าข้าพูดน้อยเกินไป นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนติว่าข้าพูดมาก!
เฉียวเจาเพียงใช้เข็มเงินเขี่ยเอาคราบเลือดตรงมุมปากเจียงถังมาพินิจดูครู่หนึ่งแล้วใช้ผ้าห่ออย่างมิดชิด จากนั้นเอ่ยสั่งเจียงสืออี “ยกน้ำเปล่ามาให้ข้าชามหนึ่ง”
เจียงสืออีนิ่งงันไปอย่างตั้งตัวไม่ติด
“น้ำเปล่า!” เฉียวเจาเน้นเสียงหนักขึ้น
“ได้” ตอนนี้เองเจียงสืออีคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เขาเดินออกไปยกน้ำเงียบๆ
นี่มันเรื่องอะไรกันแม่เด็กน้อยผู้นี้ถึงออกคำสั่งกับเขาได้สนิทปากเพียงนี้
“น้ำเปล่า” เจียงสืออียื่นน้ำสะอาดชามหนึ่งไปตรงหน้านาง
เฉียวเจายกนิ้วชี้ “ไปวางไว้ทางนั้น”
เจียงสืออีมองนางนิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วยกชามไปโดยไม่กล่าววาจาสักคำ
ในใจขององครักษ์จินหลินทั้งหลายต่างบังเกิดความรู้สึกแปลกชอบกล
อันว่าดีเกลือแยกเต้าหู้* สิ่งหนึ่งปราบสิ่งหนึ่งโดยแท้ ท่านสิบเอ็ดไม่เคยไว้หน้าใครยกเว้นท่านผู้บัญชาการใหญ่ ตอนนี้กลับเชื่อฟังคำสั่งของแม่นางน้อยผู้หนึ่ง
เฉียวเจาไม่ใส่ใจความคิดของคนอื่นสักนิด นางเข้าใจคนอย่างเจียงสืออีดี คนจำพวกนี้มักคิดอะไรตรงไปตรงมา ใครสามารถทำตามที่เขาต้องการก็ได้รับความร่วมมือจากเขา ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากนี้
เฉียวเจาเอาผ้าเช็ดหน้าพันมือไว้ก่อนจะยื่นไปจับนิ้วมือของเจียงถังขึ้นมา
เจียงถังมีชีวิตที่สุขสบาย ดูจากผิวมือแล้วคล้ายเป็นบุรุษวัยสามสิบเศษ แต่เล็บมือกลับเป็นสีดำ
เฉียวเจาพลันบังเกิดความสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งได้รับยาลูกกลอนไปจากนาง ตอนพูดคุยสัพเพเหระกันเขายังตั้งใจเอ่ยถึงเจียงซือหร่าน พูดเป็นนัยๆ ว่าบุตรสาวไม่รู้ความ หวังว่านางจะไม่ถือสาหาความ
เขาในเวลานั้นจะคาดถึงได้อย่างไรว่าหลังจากนั้นไม่นานบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนจะตายอย่างน่าอนาถก่อน ส่วนตนเองก็โดนวางยาพิษสิ้นชีพตามกันไปติดๆ
เฉียวเจาดึงความคิดคืนมาแล้วพินิจดูนิ้วมือของเจียงถังอย่างเอาจริงเอาจัง นางมองเห็นขีดสีแดงเส้นหนึ่งได้รำไรบนนิ้วสีดำคล้ำนั่น
ในใจเฉียวเจาได้คำตอบแล้ว นางวางมือเจียงถังลงเบาๆ แล้วหมุนกายเดินไปตรงที่ที่เจียงสืออีวางชามเอาไว้
มันเป็นชามกระเบื้องเนื้อละเอียดสีฟ้าครามหลังฝน ในนั้นใส่น้ำใสสะอาดไว้ครึ่งชามทอประกายระยับ
เฉียวเจาเอาเข็มเงินที่เขี่ยคราบเลือดตรงมุมปากเจียงถังทิ้งลงในชาม
น้ำสะอาดในชามเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว เฉียวเจาก้มลงสังเกตดูครู่หนึ่งถึงยืดตัวขึ้น
“เป็นอย่างไร” เจียงสืออีเอ่ยถามอย่างอดใจไม่อยู่
เฉียวเจาทำสีหน้าขึงขัง “ท่านผู้บัญชาการใหญ่ตายเพราะยาพิษจริงๆ”
ทุกคนต่างอึ้งงัน “…” นี่มิใช่พูดไร้สาระหรือ
“คุณหนูหลีซานก็ยอมรับแล้วหรือว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่กินยาลูกกลอนที่ท่านปรุงขึ้นแล้วพิษกำเริบเสียชีวิต?” เจียงอู่ถามอย่างเย็นชา
เฉียวเจาขมวดคิ้ว “ข้าเพียงบอกว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่ตายเพราะยาพิษ แต่นี่เกี่ยวอะไรกับยาลูกกลอนที่ข้าปรุงด้วย”
“หมอหลวงยืนยันแล้วว่ายาลูกกลอนที่ท่านปรุงให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่มีพิษรุนแรงเจือปนอยู่”
เฉียวเจามองไปทางหมอหลวงที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่ด้านข้าง กล่าวเสียงนุ่มว่า “ท่านหมอหลวงโปรดเลือกยาลูกกลอนที่มีพิษออกมาด้วยเจ้าค่ะ”
หมอหลวงใช้ปากคีบคีบยาลูกกลอนดูทีละเม็ดแล้วเลือกออกมาสามเม็ดก่อนวางไว้ในตลับอีกใบหนึ่ง “สามเม็ดนี้มีพิษ ตอนนั้นหลังจากข้าตรวจสอบแล้วได้ขีดเครื่องหมายกากบาทไว้บนนั้นโดยเฉพาะ”
เฉียวเจายื่นมือไปหยิบยาลูกกลอนที่หมอหลวงเลือกออกมา
“เจาเจา…” เซ่าหมิงยวนส่งเสียงเรียกอย่างห้ามไม่อยู่
นางส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา “ไม่เป็นไร ข้ารู้ขอบเขตดี”
ยังไม่มียาพิษชนิดใดที่จับไว้อย่างนี้แล้วออกฤทธิ์ทำให้คนตายได้
เฉียวเจาพิศดูยาลูกกลอนสามเม็ดนั้นอย่างละเอียด ค่อยหยิบยาลูกกลอนที่เหลืออยู่ในตลับขึ้นมาดูทีละเม็ดแล้วอดยิ้มไม่ได้ “ยาลูกกลอนสามเม็ดนี้มีพิษจริงๆ ผสมเฮ่อติ่งหง* ไว้กระมัง”
“ไม่ผิด เป็นเฮ่อติ่งหงนั่นเอง” หมอหลวงมองนางด้วยสายตาแฝงรอยชมเชย
เพียงมองปราดเดียวก็มั่นใจได้ว่าเป็นเฮ่อติ่งหง แม่นางน้อยผู้นี้มิใช่ชั้นสามัญ
“ทว่าท่านผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้กินยาลูกกลอนที่มีพิษรุนแรงพวกนี้ ดังนั้นที่ท่านห้าพูดว่าเรื่องที่ท่านผู้บัญชาการใหญ่เสียชีวิตเพราะโดนวางยาพิษเกี่ยวข้องกับข้าจึงไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอเจ้าค่ะ”
เจียงอู่แค่นหัวเราะ “คุณหนูหลีซาน ท่านกล่าวอย่างนี้ต้องมีหลักฐานนะ บัดนี้ท่านผู้บัญชาการใหญ่ตายไปแล้ว ไม่อาจอ้าปากพูดได้อีก ท่านจะพูดอะไรก็ได้ตามใจชอบไม่ได้กระมัง”
เฉียวเจามองเจียงอู่ด้วยแววตาเฉยเมย นางยิ้มเอื่อยๆ “ในเมื่อข้ากล่าวคำนี้ออกมาก็ต้องแสดงหลักฐานได้แน่นอน ส่วนถ้อยคำที่เป็นการปรักปรำผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้านั้นข้ามิเคยพูดหรอก”
มีหรือเจียงอู่จะฟังไม่ออกว่าเฉียวเจาประชดประชันตนอยู่ สีหน้าของเขาจึงบูดบึ้งไปทันใด
ด้วยรอบข้างมีสายตาจับจ้องอยู่มากมาย นางจึงกล่าวอย่างจริงจังโดยไม่อมพะนำอีก “ถึงแม้ท่านผู้บัญชาการใหญ่อ้าปากพูดไม่ได้แล้ว แต่ยาลูกกลอนเหล่านี้กลับบอกได้”
* ดีเกลือแยกเต้าหู้ หมายถึงสิ่งหนึ่งปราบอีกสิ่งหนึ่ง มาจากวิธีทำเต้าหู้ที่จะใช้ดีเกลือทำให้เต้าหู้แยกตัวเป็นก้อน
* เฮ่อติ่งหง หรือหงอนกระเรียนแดง เป็นยาพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง มีสารหนูเป็นส่วนประกอบ หากกินเข้าไปจะทำให้ถึงแก่ชีวิต