หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 613
บทที่ 613
ด้านหลิวซื่อได้ยินเรื่องนี้ก็หน้ามืดวูบหนึ่ง ร่างโงนเงนไปมา
“นายหญิง…”
นางทรงตัวไว้แล้วเอ่ยสั่งสาวใช้คนสนิท “เรียกคุณหนูสี่มา”
ไม่นานนักคุณหนูสี่หลีเยียนก็เดินเข้ามา ดวงหน้ารูปไข่แดงปลั่ง “ท่านแม่เรียกข้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ ข้ากำลังสอนน้องฉานเตะลูกขนไก่อยู่”
“เยียนเอ๋อร์ เจ้านั่งลง” หลิวซื่อชี้ที่ม้านั่งตัวเล็กข้างกาย
หลีเยียนสังเกตเห็นสีหน้าของมารดาไม่ปกติ นางหุบยิ้มแล้วนั่งลงกุมมืออีกฝ่ายอย่างกระวนกระวายใจ
“ปิงอี๋เหนียงมีครรภ์แล้ว”
“นายหญิง…” ถ้อยคำของหลิวซื่อทำให้สาวใช้คนสนิทตกใจยกหนึ่ง นางส่งเสียงเรียกอย่างห้ามไม่อยู่
คุณหนูสี่ยังเยาว์วัยอยู่ ไฉนคุยเรื่องนี้กับนางแล้ว
หลิวซื่อยิ้มเยาะตนเอง นางพูดอย่างเปิดอก “คุณหนูสี่สมควรรู้เรื่องรู้ราวได้แล้ว”
สาวใช้คนสนิทไม่กล้าเปล่งเสียงพูดอีก
“ท่านแม่ ปิงอี๋เหนียงมีครรภ์ ใช่หรือไม่ว่าก็จะไม่ถูกท่านย่าส่งตัวกลับไปแล้ว” ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของหลีเยียนซีดเผือด ดวงตารียาวสุกใสเบิกกว้างยามเอ่ยถามขึ้น
หลิวซื่อทั้งขมขื่นใจทั้งปลื้มปีติ บุตรสาวคนโตสามารถคิดถึงจุดนี้ก็ถือว่าสบายใจได้แล้ว
“ท่านแม่ เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลิวซื่อพยักหน้า “ใช่ แม้ว่าท่านย่าของเจ้าเป็นคนยุติธรรม แต่ปิงอี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้ว เด็กไร้ความผิด ท่านไม่อาจส่งตัวปิงอี๋เหนียงกลับไปเช่นนี้ได้ เยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้ว่านี่มิใช่ความผิดของท่านย่าเจ้านะ”
หลีเยียนพยักหน้าอย่างรู้ความ “ท่านแม่ ข้าเข้าใจ ล้วนเป็นความผิดของท่านพ่อเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อยิ้มอย่างวังเวงใจ “ใช่ ท่านพ่อเจ้าทุ่มเทจิตใจทั้งหมดให้ปิงอี๋เหนียง คนอื่นจะทำฉันใดได้เล่า”
“ท่านแม่…” หลีเยียนร่ำไห้อย่างสุดจะกลั้น นางไม่รู้ว่าควรช่วยเหลือท่านแม่อย่างไร ในเวลานี้นางรู้สึกว่าตนเองไม่เอาไหนเหลือเกิน เพราะอะไรพี่เจาถึงเก่งกาจปานนั้นได้ทั้งที่อายุไล่เลี่ยกับนางแท้ๆ
“เยียนเอ๋อร์ ตามหลักแล้วไม่ควรดึงเจ้าเข้ามายุ่งกับเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ปีนี้เจ้าก็จะอายุสิบสี่แล้ว ใกล้จะพูดคุยทาบทามเรื่องแต่งงาน แม่ไม่อยากเลี้ยงเจ้าให้กลายเป็นดอกไม้เปราะบางไม่เคยโดนลมโดนฝน จนภายภาคหน้าต้องเป็นดั่งลูกไก่ในกำมือผู้อื่นที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด”
หลีเยียนพยักหน้าเบาๆ
“เยียนเอ๋อร์ จงจำไว้ว่าบุรุษใต้หล้านี้ส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาไม่ได้ สตรีเราหลังออกเรือนแล้วต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนหลังทำให้หูตาคับแคบลง จึงมักโดนผลได้ผลเสียชั่วครู่ชั่วยามบังตา ในเวลาอย่างนี้เจ้าคิดว่าสมควรทำประการใด”
“ข้า…ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ภาพท่านแม่ในสายตาของนางเป็นคนหลักแหลมเก่งกาจ ทั้งยังรักใคร่กลมเกลียวกับท่านพ่อมาก ใครจะรู้ว่าท่านพ่อจะเปลี่ยนไปภายในเวลาไม่กี่ปี
คนเราเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ แล้วควรทำเช่นไรดี
หลิวซื่อเพ่งมองบุตรสาวคนโตแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจเบาๆ “ตอนนี้แม่จะยกคำพูดที่ท่านยายเจ้าเคยพูดกับแม่มาบอกต่อให้เจ้าฟัง ในยามที่ตนเองมืดแปดด้าน อย่าตีหน้าบวมแสร้งว่าอ้วน* ให้เดินตามหลังผู้มีสติปัญญาไว้ไม่ผิดแน่”
“ผู้มีสติปัญญา?” หลีเยียนพูดพึมพำ
“ใช่ พี่เจาของเจ้าก็คือผู้มีสติปัญญาที่ว่านี้” หลิวซื่อยกผ้าเช็ดหน้าซับๆ หางตา “เยียนเอ๋อร์ ตามแม่ไปที่เรือนพี่เจาของเจ้าเถอะ”
หลิวซื่อพาหลีเยียนไปหาเฉียวเจา
เฉียวเจาสั่งให้อาจูยกน้ำชามาต้อนรับ
รอจนอาจูยกน้ำชามาวางแล้วถอยออกไป หลิวซื่อถึงเอ่ยปากขึ้น “วันนี้ท่านอาสะใภ้รองมาหาเพราะมีเรื่องหนึ่งอยากพูดกับคุณหนูสาม”
“ท่านอาสะใภ้รองเชิญกล่าวเจ้าค่ะ”
“ปิงอี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้ว” หลิวซื่อมีสีหน้าละอายใจ “ตามหลักแล้วคนเป็นอาสะใภ้ไม่ควรพูดเรื่องพรรค์นี้กับคุณหนูสาม แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้มีสายตากว้างไกล ทั้งยังรู้วิชาแพทย์ ท่านอาสะใภ้รองเลยอยากถามว่าทั้งที่ปิงอี๋เหนียงดื่มน้ำสมุนไพรป้องกันแล้วเหตุใดยังมีครรภ์ได้อีกเล่า”
นางขบไม่แตกจริงๆ หรือว่าสวรรค์ต้องการให้ปิงเหนียงอยู่ที่นี่จริงๆ
ได้ยินว่าปิงเหนียงมีครรภ์ เฉียวเจาแปลกใจน้อยๆ
ปิงเหนียงเป็นอนุของหลีกวงซู เรื่องที่นางตั้งครรภ์นี้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งย่อมไม่เจาะจงเอ่ยกับสตรีที่ยังไม่ออกเรือนผู้หนึ่งเช่นเฉียวเจาเป็นธรรมดา
ครั้นนึกไปถึงเรื่องที่เซ่าหมิงยวนส่งคนไปสืบมาได้ เฉียวเจาลอบแคลงใจ นางตรึกตรองครู่หนึ่งถึงไต่ถามขึ้น “ท่านอาสะใภ้รองจะนำน้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์ที่ปิงอี๋เหนียงดื่มมาให้ข้าดูได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา น้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์เป็นฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ต้ม และให้สาวใช้สองคนที่ดูแลรับใช้ปิงอี๋เหนียงเก็บกากยามาส่งให้ข้าทุกครั้งเอง”
เมื่อคิดถึงกากยาชามแล้วชามเล่านั้น หลิวซื่อก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชังหลีกวงซูมากยิ่งขึ้น
เจ้าคนบัดซบผู้นั้น ถึงเป็นตอนที่เขากับนางยังรักกันหวานชื่นก็ไม่เคยบ่อยครั้งเช่นนี้!
ไม่นานนักเฉียวเจาก็ได้เห็นกากยาที่หลิวซื่อสั่งให้คนไปเอามา นางยื่นมือไปเขี่ยๆ แล้วก้มหน้าดมกลิ่น
“เป็นอย่างไรบ้าง” หลิวซื่อถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“น้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อทำหน้านิ่งขึงไป “หรือฟ้าลิขิตไว้อย่างนี้จริงๆ”
ฟ้าลิขิตหรือ เฉียวเจาส่ายหน้า ฟ้าจะลิขิตอะไรก็ล้วนหนีไม่พ้นฝีมือมนุษย์กำหนด
ปิงเหนียงดื่มน้ำสมุนไพรป้องกันแล้วยังตั้งครรภ์ได้ ความเป็นไปได้แรกคือร่วมหอบ่อยครั้ง น้ำสมุนไพรก็มิใช่ว่าจะได้ผลชะงัดเสมอไป นี่จึงเป็นความบังเอิญแต่เพียงประการเดียว ส่วนความเป็นไปได้ที่สองคือมีคนเล่นไม่ซื่อ ประกอบกับความเป็นมาที่ไม่สามัญของปิงเหนียง นางโน้มเอียงไปทางที่สองมากกว่า
“แล้วสาวใช้ที่คอยดูแลรับใช้ปิงอี๋เหนียงสองคนนั้นเล่าเจ้าคะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าติว่าพวกนางทำหน้าที่สะเพร่า ทำโทษให้พวกนางไปทำงานนอกเรือนแล้ว”
เป็นคนงานกวาดพื้นนอกเรือนย่อมไม่สบายเท่าปรนนิบัติรับใช้อี๋เหนียงผู้หนึ่ง
“ข้าอยากขอให้ท่านอาสะใภ้รองสืบถามดูว่าหมู่นี้ความเป็นอยู่ในครอบครัวของสาวใช้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าค่ะ”
หลิวซื่ออึ้งงันไป “คุณหนูสามสงสัยว่าสาวใช้สองคนนั้นมีปัญหาหรือ”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม กล่าวโดยมิได้หลบเลี่ยงแม้มีคุณหนูสี่หลีเยียนอยู่ด้วย “ท่านอาสะใภ้รอง ปิงอี๋เหนียงตั้งครรภ์ได้เดิมก็มีเงื่อนงำอยู่แล้ว ทั้งท่านไม่ยอมรับว่านี่คือฟ้าลิขิต เช่นนั้นพวกเราก็ต้องคิดไปในทางที่ว่าเรื่องนี้มีคนเล่นไม่ซื่อไว้ก่อน ปิงอี๋เหนียงอยากจะตั้งครรภ์มีความเป็นไปได้เพียงสองประการ หนึ่งคือนางดื่มยาที่สลายฤทธิ์ของน้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์ สองคือนางไม่ได้ดื่มน้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์แต่อย่างใดเจ้าค่ะ”
หลิวซื่ออดพยักหน้าไม่ได้ “คุณหนูสามพูดถูก”
“ข้าจำได้ว่าท่านย่าเคยบอกให้สาวใช้สองคนนั้นจับตาดูปิงอี๋เหนียงอย่างใกล้ชิด เมื่อเป็นเช่นนี้หากนางดื่มยาที่สลายฤทธิ์ของน้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์ หรือไม่ยอมดื่มน้ำแกงป้องกันตั้งครรภ์ ต้องเล็ดลอดหูตาของพวกสาวใช้ไม่ได้ ทว่าสาวใช้สองคนนั้นกลับไม่เคยรายงานว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติอันใดต่อท่านย่า นี่แสดงว่าอะไรเล่าเจ้าคะ”
ไฟโทสะจุดวาบขึ้นในดวงตาหลิวซื่อ “แสดงว่าพวกสาวใช้ถูกนางซื้อตัวไปแล้ว?”
เฉียวเจาผงกศีรษะ “ก่อนที่พวกเราจะมั่นใจได้ว่าที่ปิงอี๋เหนียงตั้งครรภ์เป็นฝีมือคน ไม่ว่านางเลือกวิธีการใด สาวใช้สองคนนั้นต้องเกี่ยวข้องด้วยอย่างหนีไม่พ้น”
“ข้าไปสืบเอง” หลิวซื่อตบโต๊ะทีหนึ่ง
“เรื่องที่จะสืบหาความจริง ทางที่ดีท่านอาสะใภ้รองอย่าให้ท่านอารองไหวตัวทันจะดีกว่า” เฉียวเจาเอ่ยเตือน
หลิวซื่องงงันไปในทีแรกก่อนจะพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
นางสมควรแจ่มแจ้งแต่แรกแล้วว่าหากปิงเหนียงคิดจะซื้อตัวสาวใช้ มีหรือจะขาดความช่วยเหลือจากหลีกวงซูได้
หลิวซื่อช่วยฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งดูแลการงานในจวนมาหลายปี ย่อมผูกสัมพันธ์สร้างเส้นสายไว้บ้าง ไม่นานนักก็สืบถามความเป็นอยู่ในครอบครัวของสาวใช้สองคนนั้นได้แล้ว
“บุตรชายคนเล็กของป้าจางติดการพนัน ตอนเดือนหนึ่งเล่นเสียเป็นเงินก้อนใหญ่ ตอนแรกทะเลาะเบาะแว้งกับภรรยาแทบไม่เว้นแต่ละวัน พักนี้จู่ๆ ในเรือนก็สงบลงแล้ว ส่วนสามีของป้าหวังเป็นพวกขี้โรค นอนป่วยกระเสาะกระแสะมานาน หมู่นี้ร่างกายดูแข็งแรงขึ้น ข้าส่งคนไปแอบสืบดู มีคนไปเยี่ยมเยือนที่เรือนป้าหวังเห็นสามีของนางกินโสม…”
พอเล่าถึงตรงนี้น้ำเสียงของหลิวซื่อก็มั่นใจอย่างมาก “ฐานะของสองครอบครัวนี้ดีขึ้นพร้อมกันกะทันหัน ไม่ต้องบอกก็เห็นได้ทนโท่ว่าเรื่องนี้มีพิรุธอะไรแอบแฝงอยู่”
เฉียวเจาพยักหน้ากับตนเอง หลิวซื่อสืบเรื่องพวกนี้ได้ในเวลาสั้นๆ เท่านี้ เพียงพอจะบอกได้ว่านางมีความสามารถไม่น้อย
“แต่ถ้านางป้าแก่สองคนนั้นเสียงแข็งไม่ยอมรับก็หมดหนทางเหมือนกัน” หลิวซื่อกล่าวทอดถอนใจ
“ท่านอาสะใภ้รองเรียกป้าหวังไปที่เรือนจินหรง ข้าจะถามนางเอง”
* ตีหน้าบวมแสร้งว่าอ้วน เป็นสำนวน หมายถึงดันทุรังทำในสิ่งที่เกินความสามารถของตนเพราะกลัวเสียหน้า