หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 618
บทที่ 618
ภายในโถงเงียบเชียบมาก หลีกวงซูมองปิงเหนียงโดยไม่พูดไม่จา
พริบตาเดียวเวลาหนึ่งถ้วยชาก็ผ่านไปมากกว่าครึ่ง
“ท่านพี่วางใจได้ ข้ารู้ว่าสมควรทำอย่างไร” ปิงเหนียงปริปากพูดขึ้นทำลายความเงียบ
“ข้า…” หลีกวงซูอ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับมีสำลีก้อนหนึ่งอุดอยู่กลางลำคอทำให้เขาเปล่งเสียงได้ยากลำบาก
ปิงเหนียงแย้มปากยิ้ม “ข้าแค่คาดไม่ถึงว่าเรือนของท่านพี่จะเป็นถ้ำเสือแดนมังกร”
หากไม่ตกอยู่ในมือคนของคุณหนูสามผู้นั้น เดิมทีนางคงไม่ต้องเดินมาถึงก้าวนี้
หลีกวงซูยิ้มขื่นๆ “ข้าคาดไม่ถึงเช่นกัน”
มารดาของเขามิใช่คนหัวโบราณ ส่วนพี่ใหญ่เป็นคนไร้ปฏิภาณไหวพริบ เขานึกว่าหลังจากกลับมาจะได้เป็นประมุขครองเรือน ไหนเลยจะคาดถึงว่าจะกลายเป็นเยี่ยงนี้ได้เล่า
“ช่วยข้าดูแลเฮ่าเกอร์เอ๋อร์ให้ดีๆ นะ”
“อื้อ”
“วันหน้าไม่ต้องบอกเขาว่ามีมารดาเช่นข้าผู้นี้อยู่”
หลีกวงซูละล้าละลังอึดใจหนึ่งถึงพยักหน้า “อื้อ”
ปิงเหนียงค่อยๆ คลี่รอยยิ้มงามล้ำเหลือ “จริงๆ แล้วหลายปีที่ได้อยู่กับท่านพี่นี้เป็นช่วงเวลาที่ข้าสบายใจมากที่สุด ท่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก คนอย่างพวกเราพบกับบทลงเอยเยี่ยงนี้เป็นเรื่องปกติเสียเหลือเกิน…”
สีหน้าของหลีกวงซูฉายแววอาลัยอาวรณ์ เขามองปิงเหนียงอย่างลึกซึ้งแล้วหลับตาลง
ไม่นานนักเสียงของหนักๆ ชนกระแทกผนังเรือนก็ดังขึ้นส่งแรงสั่นสะเทือนไปตลอดแนว
“ปิงเหนียง!” หลีกวงซูโอบกอดปิงเหนียงที่ศีรษะแตกเลือดไหลอาบไว้พร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดัง
ทุกคนวิ่งกรูตามหลังกันเข้ามาทางหน้าประตูเป็นแถว
หลีกวงซูกอดปิงเหนียงไว้แนบแน่นพลางหลั่งน้ำตานองหน้า
เฉียวเจาส่งสายตาบอกเฉินกวง
เฉินกวงเข้าใจความหมาย เขาเดินไปใกล้ๆ หลีกวงซูโน้มกายไปจะหยั่งดูลมหายใจของปิงเหนียง
“เจ้าจะทำอะไร” หลีกวงซูผลักเฉินกวงออกสุดแรง
ทว่าตัวเฉินกวงไม่ขยับแม้แต่น้อยนิด
หลีกวงซูอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนออกแรงมากขึ้น
เฉินกวงเบะปาก “นายท่านรอง ท่านถนอมแรงไว้ดีกว่าขอรับ”
“อย่าแตะต้องนาง!” หลีกวงซูผลักเขาไม่ไหว ได้แต่แผดเสียงตวาดดังลั่น
เฉินกวงไม่สนใจคำพูดของเขาแต่อย่างใด ยื่นมืออังใต้จมูกปิงเหนียงพลางพูดอุบอิบ “ถ้าหวงแหนจริงๆ ไยปล่อยให้สตรีที่ตนเองรักพุ่งชนกำแพงต่อหน้าได้เล่า”
เขานึกว่าตนเป็นคนเสียงเบา จนใจที่ยามอยู่ในค่ายทหารพูดเสียงดังโหวกเหวกจนเคยตัว ส่งผลให้คนในโถงได้ยินถ้อยคำนี้ชัดถนัดหู
เฉียวเจายกมุมปากขึ้น นางกระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “เฉินกวง เป็นอย่างไร”
เขายืดตัวขึ้น “ตายแล้วขอรับ พุ่งชนสุดตัวจนกะโหลกศีรษะแตกละเอียด…”
“แหวะ…” คุณหนูสี่หลีเยียนปิดปากวิ่งออกไป
หลิวซื่อมองบุตรสาวอย่างเป็นห่วงทว่ามิได้ไล่ตามไป
นางตั้งใจพาบุตรสาวคนโตมาพบเจอเรื่องราวพวกนี้ไว้เป็นประสบการณ์ ตอนนี้บุตรสาวนางเห็นแล้วพะอืดพะอมก็ยังดีกว่าน้ำตาเช็ดหัวเข่าในภายภาคหน้า
เพียงแต่นางนึกไม่ถึงว่าปิงเหนียงถึงกับเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงฆ่าตัวตายเช่นนี้
สตรีผู้นี้ใจเด็ดจริงๆ นางโหดเหี้ยมกับคนอื่น แต่โหดเหี้ยมกับตนเองยิ่งกว่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้หลิวซื่อก็เย็บวาบๆ ในอกไม่หยุด
หากสตรีเฉกนี้อยู่ในเรือนหลังของสกุลหลี นานวันเข้าเกรงว่านางกับบุตรสาวสองคนคงไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก
เดชะบุญที่ได้คุณหนูสามช่วยเอาไว้!
หลิวซื่อมองไปทางเฉียวเจาด้วยสายตาซาบซึ้งใจเต็มเปี่ยม กระทั่งหลีกวงซูที่กอดศพปิงเหนียงด้วยท่าทางแสนโศกาอาดูรก็ไม่อาจดึงสายตานางให้เหลือบแลไปได้แม้สักนิด
เฉินกวงกล่าวได้ถูกต้อง ถ้าหวงแหนปิงเหนียงเท่าชีวิต ไฉนปล่อยให้นางพุ่งชนกำแพงต่อหน้า
หึๆ ไม่มีบุรุษคนใดพึ่งพาได้เท่าสตรีเช่นคุณหนูสาม!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่วหน้ามองโลหิตสีแดงฉานทั่วพื้นแล้วถอนใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
นี่เป็นเวรเป็นกรรมอะไรกัน นับแต่บุตรชายคนรองที่เฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อกลับมา ในเรือนก็เกิดเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน
“เอาล่ะ หามนางออกไปฝังเถอะ”
คนก็ตายไปแล้วย่อมไม่มีอะไรจะพูดได้อีก
หลีกวงซูอุ้มศพของปิงเหนียงลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ ข้าคิด…”
ไม่รอให้เขากล่าวจบฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ตัดบทแล้ว “อย่าแม้แต่จะคิด ห้ามฝังปิงอี๋เหนียงไว้ในสุสานสกุลหลี”
“ท่านแม่ ถึงอย่างไรปิงเหนียงก็ให้กำเนิดเฮ่าเกอร์เอ๋อร์บุตรชายข้านะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแค่นเสียงเยาะ “หุบปากเสีย! เจ้าโดนตัณหาบังใจแล้วใช่หรือไม่ ให้ม้าผอมหยางโจวนางหนึ่งฝังในสุสานบรรพชน ไม่กลัวบรรพบุรุษสกุลหลีโกรธจนลุกออกจากโลงศพมาบีบคอเจ้าตายรึ ตอนนี้มีทางเลือกสองทาง ถ้าไม่จ่ายเงินฝังศพนางในโรงทึมก็แบกตรงไปที่สุสานร้างเลย สุดแท้แต่ใจเจ้าเถอะ”
หลีกวงซูทำหน้าม่อยคอตกกล่าวขึ้น “ลูกทราบแล้วขอรับ”
ศพของปิงเหนียงถูกยกออกไปอย่างว่องไว คราบเลือดบนพื้นถูกชะล้างออกรอบแล้วรอบเล่าแต่ยังคงได้กลิ่นคาวโลหิตอยู่
“ฮูหยินผู้เฒ่า หรือไม่คืนนี้ท่านย้ายไปพักที่เรือนข้าเถอะเจ้าค่ะ รอเชิญนักพรตมาทำพิธีกรรมแล้วค่อยย้ายกลับมา” หลิวซื่อพูดกล่อม
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำสีหน้าไม่ใส่ใจ “ข้าไม่เคยทำผิดคิดร้ายต่อใคร ไม่มีอะไรต้องกลัว”
หลิวซื่อเห็นว่าพูดให้มารดาสามีเปลี่ยนใจไม่ได้ นางจำต้องรามือเท่านี้
เฉียวเจาออกจากเรือนชิงซงเดินไปทางเรือนหยาเหอ ตอนผ่านสวนดอกไม้เล็กๆ เห็นคุณหนูสี่หลีเยียนนั่งเหม่ออยู่ที่เก้าอี้ยาว นางหยุดยืนแล้วสาวเท้าเข้าไปหา
น้องเยียนเป็นเด็กสาววัยสิบสี่อย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับนางที่ผ่านโลกมาคราหนึ่งแล้ว เห็นเหตุการณ์นองเลือดอย่างในวันนี้คงจะกระทบกระเทือนใจอีกฝ่ายไม่น้อยเป็นแน่
เฉียวเจาเดินมาถึงตรงหน้าหลีเยียนแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “ไฉนน้องเยียนมานั่งอยู่ตรงนี้เล่า”
หลีเยียนเงยหน้าขึ้นช้าๆ “พี่เจา?”
นางพูดจบแล้วรีบลุกขึ้นยืนฝืนยิ้มออกมา “พี่เจา นั่งสิเจ้าคะ”
เฉียวเจานั่งลงตามสบายแล้วกล่าวยิ้มๆ “น้องเยียนนั่งลงด้วยสิ”
สองพี่น้องนั่งเคียงข้างกันบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว
เดือนสองของเมืองหลวงสายลมที่โชยพัดยังหนาวเย็นอยู่ ในสวนดอกไม้เล็กๆ แทบมองไม่เห็นสีเขียว หลีเยียนที่ใบหน้าซีดขาวบีบนิ้วทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด
เฉียวเจาแสดงท่าทีอบอุ่นนุ่มนวล “น้องเยียนมีเรื่องอยากพูดใช่หรือไม่”
หลีเยียนปิดตาลง ชะรอยว่าคำพร่ำสอนกรอกหูตลอดเวลาที่ผ่านมาของหลิวซื่อจะบังเกิดผล นางเห็นญาติผู้พี่เบื้องหน้าเป็นผู้ที่พึ่งพาอาศัยได้แล้ว
“พี่เจา พอข้าหลับตาก็เป็นภาพปิงอี๋เหนียงที่เลือดออกเต็มหน้าเต็มศีรษะนอนอยู่อ้อมแขนท่านพ่อ”
“ตกใจแล้วใช่หรือไม่” เฉียวเจายื่นมือไปกุมมือนางไว้
หลีเยียนสั่นสะท้าน สีหน้านางฉายแววสับสนเคว้งคว้าง “ข้าไม่รู้…ข้า…ข้าคิดถึงปิงอี๋เหนียงในสภาพนั้นก็รู้สึกว่าน่าสงสารอยู่บ้าง…ไม่ได้…เช่นนี้ไม่ได้…ข้าไม่สมควรสงสารนาง แต่ข้าก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างภรรยาเอกกับอนุจะต้องเป็นตายกันไปข้างหนึ่งอย่างนี้ด้วยหรือ”
แม่นางน้อยกล่าววาจาติดๆ ขัดๆ เห็นได้ชัดว่าได้รับความสะเทือนใจไม่น้อย
เฉียวเจาฟังคำพูดของนางแล้วไม่ได้ตอบทันที
นางไม่เคยประสบผ่านการชิงดีชิงเด่นระหว่างภรรยาเอกกับอนุ
ท่านปู่ของนางมีท่านย่าของนางคนเดียว ชั่วชีวิตไม่เคยรับอนุหรือสาวใช้ห้องข้าง ส่วนท่านพ่อนั้นท่านแม่เป็นฝ่ายจัดหาสาวใช้ห้องข้างให้ท่านคนหนึ่งเมื่อตอนเข้าใกล้วัยกลางคน แต่ท่านเหยียบย่างไปที่ห้องนั้นแทบนับครั้งได้ สาวใช้ห้องข้างผู้นั้นไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดังต่อหน้าท่านแม่ นับประสาอะไรกับเรื่องยื้อแย่งแข่งขัน
ถึงคราวของนาง…ภพก่อนแต่งงานได้สองปีแล้วยังไม่ได้เห็นหน้าสามีตนเอง ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าไม่มีอนุ ต่อให้มีอนุก็คงไม่มีแก่จิตแก่ใจต่อสู้กัน น่าจะเล่นไพ่ด้วยกันเป็นการฆ่าเวลามากกว่า
“พี่เจา ข้าคิดผิดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” หลีเยียนละอายใจอยู่สักหน่อย
ท่านแม่ให้นางติดตามมาดูเหตุการณ์ก็เพราะตั้งใจจะฝึกฝนเคี่ยวกรำนาง แต่นางกลับไม่เอาไหนอย่างนี้
“พี่เจา…” หลีเยียนเรียกขานคำหนึ่งอย่างหวาดหวั่นกังวล
นางไม่กล้าบอกกับท่านแม่ถึงความสับสนวุ่นวายใจพวกนี้ ท่านแม่ฟังแล้วต้องโมโหแทบตายเป็นแน่
เฉียวเจาพูดปลอบใจอย่างตรงๆ ทื่อๆ “ระหว่างภรรยาเอกกับอนุ น่าจะเป็นดังคำกล่าวที่ว่ามิใช่ลมบูรพาพัดแรงกว่าลมประจิม* ก็เป็นลมประจิมพัดแรงกว่าลมบูรพากระมัง”
หลีเยียนนิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงเอ่ยถามขึ้น “ถ้าอย่างนั้นหากว่าที่พี่เขยรับอนุ ท่านจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
* ลมบูรพาพัดแรงกว่าลมประจิม เป็นสำนวน หมายถึงสองฝ่ายที่ต่อสู้ขัดแย้งกันแล้วมีฝ่ายหนึ่งอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย