หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 620
บทที่ 620
“เป็นผู้ใดหรือ” หยางโฮ่วเฉิงชะโงกหน้าถาม
“หัวหน้าสำนักพิธีกรรมจางหงซานน่ะสิ พาคนที่มาจากแคว้นซีเจียงออกเพ่นพ่านไปทั่ว” ฉือชั่นกล่าวเยาะๆ
หยางโฮ่วเฉิงได้ยินแล้วมุ่นคิ้วอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
ชาวต้าเหลียงเกลียดชังชาววอโค่วและชาวต๋าจื่อเข้ากระดูกดำ กับแคว้นซีเจียงที่ดูท่าเหมือนวางตัวเป็นกลางนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเป็นมิตรเฉกเดียวกัน
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาใช่ว่าแคว้นซีเจียงจะไม่เคยกระทำตนเป็นนกสองหัว
หากที่ชวนให้ไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าคือชาวซีเจียงสืบทอดขนบประเพณีไปจากต้าเหลียง ซึ่งต่างจากชาววอโค่วแดนใต้และชาวต๋าจื่อแดนเหนือ ทำให้สองแคว้นมีส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกันมากมาย ยามแคว้นต้าเหลียงเข้มแข็งเกรียงไกร แคว้นซีเจียงก้มศีรษะกราบกรานประหนึ่งข้ารับใช้ แต่ทันทีที่ต้าเหลียงอ่อนแอเสื่อมถอย นอกจากจะเหยียบย่ำซ้ำเติมต้าเหลียงไม่ว่า แทบจะเอ่ยอ้างว่าผู้มีชื่อเสียงและสถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของต้าเหลียงล้วนเป็นของพวกเขาเลยทีเดียว
“กษัตริย์ซีเจียงพระองค์ก่อนสิ้นไปตอนปลายปีที่แล้ว ส่วนพระองค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองราชย์มิใช่หรือ ยังไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการของปีนี้มาเลย นี่ก็เข้าเดือนสองแล้วจะเดินทางมายังต้าเหลียงเราด้วยเหตุใดกัน”
ฉือชั่นยกยิ้ม “เพราะว่าเพิ่งขึ้นครองราชย์น่ะสิ ตอนวันตรุษถึงไม่มีเวลาสนใจทางต้าเหลียง ตอนนี้เลยส่งคนมาหยั่งท่าทีเรา”
“หมายความว่าอย่างไร”
ฉือชั่นกลับไปนั่งลงตามเดิม บางทีอาจเพราะมารดาเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นเหตุให้เขามีความรู้สึกต่อต้านเกลียดชังคนต่างเผ่าพวกนี้ตามสัญชาตญาณ “กษัตริย์ซีเจียงพระองค์ใหม่กำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ครองแคว้นซีเจียงอย่างไม่ง่ายดาย พอเห็นว่าเป็นเวลาที่ต้าเหลียงกำลังเผชิญกับศึกนอกศึกในมีหรือจะไม่อยากเข้ามาผสมโรงด้วย พวกเจ้าดูไปเถอะ ครานี้ทูตซีเจียงพวกนั้นต้องจงใจก่อความปั่นป่วนแน่”
จูเยี่ยนวางจอกสุราในมือลง รอยยิ้มตรงมุมปากเลือนหายไป “ข้าได้ยินว่าทูตจากซีเจียงคราวนี้ที่ฐานะสูงศักดิ์ที่สุดมีอยู่สองคน คนหนึ่งเป็นพระอนุชาร่วมพระมารดาเดียวกับกษัตริย์ซีเจียงพระองค์นี้ อีกคนเป็นพระขนิษฐาของพวกเขา”
ฉือชั่นเชิดหน้าขึ้น “ไม่ผิด ขณะนี้อยู่ที่ชั้นล่างกันหมด”
จูเยี่ยนอดมองไปทางเซ่าหมิงยวนไม่ได้ “ถิงเฉวียน เช่นนั้นพวกเรา…”
หัวหน้าสำนักพิธีกรรมพาทูตซีเจียงมาที่นี่ ดีไม่ดีอาจเป็นงานรับรองอาคันตุกะต่างแดน
เซ่าหมิงยวนหมุนจอกสุราไปมาแล้วลุกขึ้นยืน “ออกไปดูกัน”
พวกเขาเดินลงบันไดไปก็ได้ยินหัวหน้ากองจางดุด่าผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ “พวกเราคือขุนนางต้าเหลียง เป็นหน้าเป็นตาของราชสำนัก เจ้าตะโกนโวยวายเช่นนี้เสื่อมเสียเกียรติสิ้นดี คนที่ไม่รู้จะนึกว่าพวกเราเป็นลูกหลานเศรษฐีเกเรเสเพลของตระกูลใด…”
ยามนี้เองเสียงหลุดหัวเราะพรืดดังขึ้น หัวหน้ากองจางสอดส่ายสายตามองหาพลางถามขึ้นทันใด “ใครกัน”
ฉือชั่นก้าวลงมาเป็นคนแรกพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “ใต้เท้าจางวางใจได้ คนอื่นไม่มีทางเข้าใจผิดว่าท่านเป็นลูกหลานเศรษฐีเกเรเสเพลหรอก”
หัวหน้ากองจางเผยรอยยิ้มไม่ทันไร บุรุษรูปงามเหนือใครตรงหน้าก็กล่าวต่อท้ายขึ้น “ถึงอย่างไรมีลูกหลานเศรษฐีเกเรเสเพลที่แก่ชราปูนนี้ที่ใดกันเล่า”
“แค่กๆ” หยางโฮ่วเฉิงซึ่งเดินตามหลังฉือชั่นลงมารีบก้มหน้าไอกลบเกลื่อนเสียงหัวเราะ
หัวหน้ากองจางตั้งท่าจะชักสีหน้า ทว่าพอจดจำได้ว่าฉือชั่นเป็นใครก็ข่มใจไว้กะทันหัน กล่าวพร้อมรอยยิ้มเก้อกระดาก “ที่แท้เป็นคุณชายฉือนั่นเอง”
เขามองไปทางด้านหลัง แย้มมุมปากขึ้นพร้อมกล่าวทักทาย “หยางซื่อจื่อ จูซื่อจื่อ…”
แต่ยามมองเห็นเซ่าหมิงยวนที่เดินรั้งท้ายอยู่ ตัวเขาก็แข็งเกร็งไปในทันทีทันใด ท่าทางผ่อนคลายเริ่มระมัดระวังตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาประสานมือพลางกล่าว “ข้าขอคารวะท่านโหวขอรับ”
ในเมืองหลวงแห่งนี้มีแผ่นกระเบื้องหล่นลงมาก็ตกใส่ศีรษะขุนนางขั้นห้าคนใดคนหนึ่งได้โดยง่าย เขาเป็นเพียงหัวหน้าสำนักพิธีกรรมก็ไม่นับว่าใหญ่โตอันใดจริงๆ แต่เพราะมีหน้าที่รับรองอาคันตุกะต่างแดน ย่อมจะต้องไม่ธรรมดาอยู่บ้าง
“ใต้เท้าจางจะไม่แนะนำตัวพวกข้าสักหน่อยหรือ” ชายหนุ่มรูปโฉมหมดจดที่ยืนอยู่ข้างกายเขาเอ่ยถามเป็นภาษากลางของแคว้นต้าเหลียงอย่างลื่นไหลคล่องปาก
หัวหน้ากองจางแนะนำอย่างสุภาพ “ท่านนี้คือกวนจวินโหวของต้าเหลียงเรา ส่วนด้านนี้คือซื่อจื่อสกุลจูแห่งจวนไท่หนิงโหว ซื่อจื่อสกุลหยางแห่งจวนหลิวซิ่งโหว และคุณชายฉือแห่งวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อแนะนำอีกฝ่ายจบหัวหน้ากองจางค่อยแนะนำชายหนุ่มข้างกาย “ท่านนี้คือกงอ๋องจากแคว้นซีเจียงขอรับ”
กงอ๋องแสดงคารวะพวกเซ่าหมิงยวนตามแบบฉบับอันเป็นเอกลักษณ์ของแคว้นซีเจียง
หัวหน้ากองจางยังแนะนำเด็กสาวที่ยืนติดกับชายหนุ่ม “ท่านนี้คือองค์หญิงซีเจียงขอรับ”
องค์หญิงซีเจียงดูไปแล้วยังร่างเล็กอ้อนแอ้นกว่าสตรีชาวต้าเหลียงส่วนใหญ่ คิ้วโก่ง ตาเรียวรี ผิวกายขาวผ่อง ยามชม้ายชายตาแฝงไว้ด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจ
คล้ายว่านางถูกดวงหน้าหล่อเหลาไม่สามัญของฉือชั่นดึงดูดความสนใจไป นางมองเขาซ้ำอีกคราถึงมองไปทางเซ่าหมิงยวนพลางแย้มยิ้มพริ้มพรายน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินเสด็จพี่ทรงเอ่ยถึงกิตติศัพท์อันลือลั่นของกวนจวินโหวแห่งแคว้นท่านมานานแล้ว”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอย่างสำรวมตน
หลายปีที่อยู่แดนเหนือเขาไม่พูดคุยยิ้มหัวกับสตรีแปลกหน้าจนกลายเป็นนิสัยมานานแล้ว
สตรีที่ถูกช่วยเอาไว้พวกนั้นจะตกอยู่ในสภาพหวาดหวั่นขวัญเสีย จึงเกิดความรู้สึกยึดถือบุรุษที่ช่วยเหลือตนเป็นที่พึ่งได้ง่ายที่สุด หากเขาสุภาพอ่อนโยน ไม่รู้ว่าจะสร้างปัญหามากเท่าไรก็สุดรู้
“ใต้เท้าจางพาท่านอ๋องกับองค์หญิงมาดื่มสุราหรือ” ฉือชั่นถามไถ่
องค์หญิงซีเจียงผู้นี้เป็นอะไร จะมองเขาซ้ำๆ ก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนรูปงาม มีคนจับจ้องมองเขาถมเถไป แต่นางชวนถิงเฉวียนคุยด้วยเหตุใดกัน
หัวหน้ากองจางกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้ม “ท่านอ๋องทรงอยากลิ้มลองสุรารสเลิศประจำเมืองหลวงเรา ข้าเลยทูลแนะนำสุรา ‘จุ้ยชุนเฟิง’ ของหอชุนเฟิงต่อท่านอ๋องขอรับ”
ฉือชั่นพยักหน้า “รู้จักของดีไม่เลว”
“แหะๆ” หัวหน้ากองจางหัวเราะฝืดๆ
คุณชายฉือผู้นี้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องนิสัยประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย พออารมณ์เสียขึ้นมาก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น เขาไม่อยากขายหน้าเพราะพูดอะไรออกไป ปั้นหน้ายิ้มน้อยๆ เข้าไว้ปลอดภัยที่สุดแล้ว
องค์หญิงซีเจียงสังเกตว่าท่าทีของหัวหน้ากองจางที่มีต่อฉือชั่นผิดไปจากคนอื่นๆ ดูท่าทางกริ่งเกรงอีกฝ่ายอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด เป็นเหตุให้นางมองซ้ำอีกคราอย่างช่วยไม่ได้
“เมื่อครู่นี้เป็นพวกข้าเองที่นั่งในห้องส่วนตัวที่ใต้เท้าจางต้องการ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากบอกเสียงเรียบๆ
หัวหน้ากองจางอึ้งไป เขาพูดอย่างกระดากใจ “ข้าไม่ทราบว่าท่านโหวกับคุณชายทั้งหลายอยู่ในนั้นขอรับ”
กงอ๋องแห่งซีเจียงลอบขมวดคิ้วแล้วเก็บงำความไม่พึงใจไว้อย่างมิดชิด
บรรดาคุณชายจวนท่านโหวที่ยืนกันสลอนชวนให้ตาลายพวกนี้ยังพอทำเนา แต่มีกวนจวินโหวอยู่ด้วย เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก
กวนจวินโหวไม่ได้มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วต้าเหลียงกับเป่ยฉีเพียงสองแคว้น ในซีเจียงของเขาก็โด่งดังลือลั่นดุจเดียวกัน
แม่ทัพผู้ไม่เคยพ่ายศึกที่ยังหนุ่มแน่นปานนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ตราบใดที่ยังมีคนผู้นี้อยู่ซีเจียงจำต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนจะทำอะไร หากวันใดฮ่องเต้ต้าเหลียงสติเลอะเลือนสังหารเขาทิ้งเสียก็คงดี
อะไรนะ…จะหาว่าเขาฝันกลางวันหรือ
แววเหยียดหยามจุดวาบขึ้นในดวงตากงอ๋องแห่งซีเจียง
เสด็จพ่อเคยตรัสกับเขาและเสด็จพี่ว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วต้าเหลียงก็มีแม่ทัพผู้ไม่เคยพ่ายศึกคนหนึ่งเฉกนี้ แต่จุดจบในตอนท้ายคือโดนฮ่องเต้ต้าเหลียงประหารทั้งตระกูล ไม่ละเว้นแม้กระทั่งเด็กทารก
เมื่อแม่ทัพผู้นั้นตายไป ทำให้แคว้นเป่ยฉีอยู่อย่างสุขสบายนานสิบกว่าปีจวบจนกวนจวินโหวผู้นี้ปรากฏกายขึ้นประหนึ่งดวงดาวสุกสว่างจับตาก็ไม่ปาน
ในช่วงสิบปีเศษนั้นแคว้นซีเจียงของพวกเขาก็ได้รับผลดีไม่น้อย
ซีเจียงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้าเหลียง มีพรมแดนติดกับทั้งต้าเหลียงและเป่ยฉี แต่เพราะผืนดินแห้งแล้ง ขาดแคลนทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ชาวเป่ยฉีไม่สนใจจะรุกรานยึดครองสักนิด ขณะที่ต้าเหลียงวางตนในฐานะเหนือกว่าพวกเขามาโดยตลอด
รูปการณ์ที่พวกเขาปรารถนาจะได้เห็นที่สุดคือต้าเหลียงกับเป่ยฉีมีแสนยานุภาพทัดเทียมกัน ส่วนพวกเขาที่ถูกขนาบอยู่ตรงกลางก็จะมีโอกาสสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แผ่นดินตน
“ไม่เป็นไร พวกข้ากินเสร็จแล้ว รอเสี่ยวเอ้อร์ในร้านเก็บกวาดเรียบร้อย ใต้เท้าจางก็ถวายการรับรองท่านอ๋องกับองค์หญิงให้เต็มที่เถอะ” เซ่าหมิงยวนกล่าวจบแล้วย้อนกลับที่ห้องส่วนตัวชั้นบนพาเฉียวเจาออกมา
กงอ๋องกับองค์หญิงซีเจียงคิดไม่ถึงว่ายังมีสตรีอยู่ชั้นบน จึงต่างหันไปมองเฉียวเจาเป็นตาเดียวกัน
“เอ๊ะ?” ในดวงตาขององค์หญิงทอแววหลากใจวูบหนึ่งก่อนเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว