หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 624
บทที่ 624
ด้วยมู่อ๋องโยนหน้าที่เชิญกวนจวินโหวไปให้รุ่ยอ๋องได้สำเร็จ รุ่ยอ๋องตรึกตรองอยู่นานสองนาน ยังคงหักใจใช้หนี้น้ำใจในครั้งนั้นไม่ได้ เขาก้าวขาเดินไปยังที่พำนักของหลีเจี่ยว
หลีเจี่ยวเห็นรุ่ยอ๋องมาหาก็ลอบยินดี แต่ยังรักษาสีหน้านิ่งขรึมเรียบร้อยไว้ยามแสดงคำนับต่อเขา
“ไม่ต้องมากพิธี” รุ่ยอ๋องยื่นสองมือไปประคองนางขึ้น
กลิ่นกายเฉพาะตัวบุรุษลอยมา หลีเจี่ยวหน้าแดงระเรื่อ
ถึงแม้รุ่ยอ๋องจะอายุมากไปสักหน่อย แต่กำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา กอปรกับเรือนกายค่อนข้างผอม บันดาลให้ดูไปแล้วคล้ายบัณฑิตหน้าตาหมดจดเกลี้ยงเกลา ถ้าไม่ใช่นางไม่อยากมีฐานะเป็นอนุ อันที่จริงก็นับได้ว่าน่าพึงพอใจแล้ว
ฝ่ายรุ่ยอ๋องเพ่งมองนางนิ่งๆ ครู่หนึ่งอย่างเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง
เด็กสาวโฉมงามพริ้มเพราขาวผ่อง ผิวกายนวลเนียนเต่งตึง ละม้ายดอกไม้เบ่งบานดอกหนึ่งชวนให้จิตใจไหวเอนไปมา
หลีเจี่ยวมองเห็นก็หลุบตาลงเผยรอยยิ้มเอียงอาย นางลอบลำพองใจอยู่หลายส่วนอย่างช่วยไม่ได้
ท่านอ๋องถูกใจรูปโฉมของข้าอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดถึงไม่แตะต้องข้าเล่า
“แค่กๆ เจี่ยวเหนียง เจ้าคงคุ้นเคยกับการอยู่ในวังอ๋องแล้วกระมัง” รุ่ยอ๋องกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนเอ่ยถาม เขาลอบถอนใจเฮือก
ไม่ได้ใกล้ชิดสตรีนานเกินไป พลังใจของเขาอ่อนแอลงมากจนเกือบเผลอตัวต่อหน้าเด็กสาวผู้หนึ่ง ไม่สมควรเลยจริงๆ
ยังดีที่อีกหนึ่งเดือนเศษก็จะกลับไปเป็นปกติดังเดิมได้แล้ว
ยาที่หมอเทวดาหลี่สั่งให้เขาเป็นยาปรับสมดุลร่างกาย ไม่ใช่ยาที่ช่วยให้จิตใจสงบลดกำหนัด เขาค้นพบว่ายิ่งใกล้ครบกำหนดเวลา ความยับยั้งชั่งใจของเขากลับยิ่งต่ำลง
จะว่าไปคงทำให้เด็กสาวผู้นี้คับข้องหมองใจแล้ว เขาไม่เคยแตะต้องตัวนางเลย แต่จะบอกอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่เหมาะสม ไม่รู้ว่าใจนางจะคิดอย่างไร
ได้ยินรุ่ยอ๋องเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน หลีเจี่ยวก็ขอบตาแดงเรื่อ กล่าวเสียงนุ่มว่า “คุ้นเคยแล้วเพคะ”
รุ่ยอ๋องจับมือนางนั่งลงแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อคุ้นเคยแล้วเหตุใดถึงร้องไห้”
หลีเจี่ยวรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหางตาก่อนกล่าวอย่างขัดเขิน “ถึงแม้วังอ๋องจะดีมาก แต่อย่างไรหม่อมฉันอยู่เรือนเดิมมานานสิบกว่าปี จึงเริ่มคิดถึงพวกท่านย่ากับท่านพ่อบ้างแล้วเพคะ”
รุ่ยอ๋องไม่มีพระชายา วังอ๋องที่ใหญ่โตได้อนุที่อยู่กับเขามานานที่สุดเป็นคนดูแลความเรียบร้อย อนุผู้นี้อยากวางตัวเป็นคนดี ย่อมไม่ยุ่งเรื่องของคนมาใหม่เช่นนางมากเกินไปเป็นธรรมดา แต่นางกลับไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะกลับสกุลเดิมหลังออกเรือนสามวันตามธรรมเนียม
เมื่อกลับสกุลเดิมไม่ได้ต่อให้นางอยู่อย่างสุขสบายเพียงใดแล้วจะมีประโยชน์อันใด ก็เป็นเช่นคำกล่าวว่าสวมเสื้อแพรท่องราตรี* เท่านั้นเอง
รุ่ยอ๋องได้ฟังก็คลายยิ้ม “คิดถึงเรือนแล้วหรือ อย่างนั้นวันนี้เจ้าก็กลับไปเยี่ยมเถอะ ข้าให้ผู้ดูแลวังอ๋องกลับไปพร้อมเจ้า”
หลีเจี่ยวลอบยินดี นางก้มหน้าเม้มปากยิ้มแล้วกล่าว “ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
รุ่ยอ๋องยื่นมือไปเชยคางนางขึ้น พูดกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ “ก้มหน้าด้วยเหตุใด”
แพขนตาของเด็กสาวกระพือขึ้นลงเบาๆ ก่อนนางจะช้อนตาขึ้นช้าๆ “ท่านอ๋อง…”
“นานๆ ทีจะกลับไปสักหน อยู่ที่นั่นนานสักหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือไม่กินข้าวเสร็จแล้วค่อยกลับมาเถอะ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” หลีเจี่ยวลิงโลดใจ กลับจวนสกุลหลีแล้วยังสามารถอยู่กินอาหาร เพียงเท่านี้ก็ทำให้คนอื่นเห็นถึงความโปรดปรานของท่านอ๋องต่อนางได้แล้ว
“นี่มีอะไรต้องขอบคุณกัน” รุ่ยอ๋องจับมือนางไว้แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “จริงสิ ข้ากับมู่อ๋องกำลังจัดงานเลี้ยงรับรองทูตซีเจียงด้วยกันอยู่ ยังส่งเทียบเชิญไปให้น้องสาวของเจ้า แต่หลังจากนั้นเสนาธิการนำความกลับมาบอกข้าว่าคุณหนูสามสกุลหลีไม่มา เจ้ากลับไปคราวนี้ก็ลองเชื้อเชิญนางด้วยน้ำใสใจจริงดู สองพี่น้องจะได้เป็นเพื่อนกันในงานเลี้ยง”
หลีเจี่ยวอึ้งงันไปเล็กน้อย
งานเลี้ยง? ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเอ่ยกับข้าเลย ไฉนหลีซานก็ได้ร่วมงานด้วย
รุ่ยอ๋องเห็นหลีเจี่ยวงงงัน จึงเอ่ยอธิบายขึ้นว่า “ในคณะทูตซีเจียงยังมีองค์หญิงซีเจียง ดังนั้นงานเลี้ยงครั้งนี้จึงตั้งใจเชิญสตรีชั้นสูงบางส่วนมาร่วมรับรอง คุณหนูหลีซานเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหว ถ้าไม่มาออกจะดูไม่งาม”
ตามข่าวที่สืบมาได้จากหลายๆ ทาง กวนจวินโหวให้ความสำคัญกับคู่หมั้นอย่างมาก ขอเพียงนางมางานเลี้ยง กวนจวินโหวต้องมาด้วยเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าไปเชิญกวนจวินโหวแล้ว
หลีเจี่ยวได้ยินคำกล่าวของรุ่ยอ๋องแล้วเจ็บแปลบกลางอกคล้ายโดนเข็มตำ
เพราะเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหว ท่านอ๋องผู้ทรงเกียรติยังให้ความสนใจเป็นพิเศษว่ามาร่วมงานหรือไม่
เหตุใดหลีซานถึงโชคดีอย่างนี้!
“เป็นอะไรหรือ” รุ่ยอ๋องถามนาง
หลีเจี่ยวดึงความคิดคืนมาแล้วคลี่ยิ้ม “ท่านอ๋องวางพระทัยได้ หม่อมฉันกลับไปแล้วจะพูดกับน้องเจาดีๆ เองเพคะ”
นางไม่อดทนข่มกลั้นไม่ได้ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล รอเมื่อท่านอ๋องขึ้นไปนั่งตำแหน่งนั้นแล้ว ถึงนางไม่ได้เป็นอัครมเหสี อย่างน้อยก็ต้องได้เป็นพระชายา ถึงตอนนั้นฮูหยินของกวนจวินโหวจะนับว่ามีอะไร ยามอยู่เบื้องหน้านางยังต้องก้มศีรษะคำนับมิใช่หรือ
รุ่ยอ๋องตบหลังมือหลีเจี่ยวเบาๆ แล้วก้าวขาเดินออกไป
นางออกไปส่งถึงหน้าประตู มองดูอยู่ครู่ใหญ่ถึงกลับเข้าห้องแต่งกายประทินโฉม
นับแต่ปิงเหนียงเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงฆ่าตัวตาย และต้องปลอบขวัญครอบครัวของสาวใช้สองคนที่โดนนางแทงตาย ส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
เสียเงินเสียทองปลอบขวัญครอบครัวพวกนางไม่นับว่ามีอะไร แต่สาวใช้น้อยสองคนยังเยาว์วัยประหนึ่งดอกไม้แรกแย้มก็ต้องมาตายโหงเช่นนี้ช่างน่าเสียดายเหลือเกินจริงๆ
นี่ล้วนเป็นบาปกรรมที่เจ้ารองก่อไว้!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสูงวัยแล้วต้องรับมือเรื่องน่ากลุ้มใจติดๆ กันหลายเรื่อง เป็นเหตุให้ร่างกายทานทนไม่ไหว เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสดชื่นกระฉับกระเฉงตั้งแต่เมื่อวาน
พอได้ยินสาวใช้รายงานว่าวังอ๋องให้คนมาส่งข่าวว่าเจี่ยวอี๋เหนียงจะกลับมาเยี่ยมสกุลเดิม หญิงชราก็นิ่วหน้าทันควัน
หลานสาวคนโตกลับมาด้วยเหตุใด อนุผู้หนึ่งกลับสกุลเดิมได้ตามชอบใจหรือ เรื่องนี้ต้องมีเลศนัยแอบแฝงเป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเป็นคนเจนโลก นางขบคิดชั่วอึดใจก็ได้ข้อสรุปนี้อย่างมั่นใจ
หลีเจี่ยวนำของขวัญไม่น้อยกลับมาจวนตะวันตกพร้อมกับผู้ดูแลวังอ๋อง ยามย่างเท้าไปตามทางเดินเล็กๆ ปูด้วยศิลาเขียวของเรือนสกุลหลี นางกวาดตามองลานเรือนคับแคบแล้วบังเกิดความรู้สึกผยองที่ตนเหนือกว่าระลอกหนึ่ง
จวนตะวันตกทั้งหลังยังใหญ่ไม่เท่าสวนดอกไม้ในวังอ๋อง อาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้จะมีอะไรดี
ยังมีบ่าวไพร่พวกนี้ เมื่อปีก่อนในช่วงที่นางท้อแท้สิ้นหวัง บางคราออกมาเดินเล่นก็จะถูกมองด้วยสายตาต่างๆ นานา ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า แต่ละคนพากันมองนางอย่างอิจฉาตาร้อนมิใช่หรือ
พอกันทีกับชีวิตอัตคัดขัดสนในจวนตะวันตก!
ครั้นคิดถึงว่าต้องพบกับท่านย่า หลีเจี่ยวยืนอยู่หน้าประตูเรือนชิงซงลูบผมให้เข้าที่แล้วแอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง
ท่านย่าของนางมีนิสัยแปลกพิลึก ท่านชังน้ำหน้าพวกอนุเป็นที่สุด คงต้องไม่พึงใจหลานสาวที่เป็นอนุอย่างนางเป็นแน่แท้
ทว่าไยท่านย่าไม่คิดดูบ้างว่าเป็นอนุของท่านอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ดีกว่าเป็นภรรยาเอกในตระกูลเล็กๆ พวกนั้นกระมัง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่จะให้นางแต่งเข้าครอบครัวชาวนาชานเมืองหลวง
นางกลับมาหนนี้ต้องพูดคุยกับท่านย่าให้ดีๆ ต้องทำให้ท่านเข้าใจให้ได้ มีสกุลเดิมเกื้อหนุน วันหน้านางก็เชิดหน้ายืดอกอยู่ในวังอ๋องได้มากขึ้น
เมื่อหลีเจี่ยวเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมพบหน้ากับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้ว ใครจะรู้ว่าจะได้รับคำบอกกล่าวจากสาวใช้อาวุโสว่าท่านป่วยอยู่พบใครไม่ไหว
คุณหนูใหญ่สกุลหลีโดนปิดประตูใส่หน้า พาให้รู้สึกคับอกคับใจอย่างสุดแสน แต่ต่อหน้าพวกผู้ดูแลวังอ๋องจะแสดงสีหน้าออกมาก็ไม่เป็นการดี ได้แต่เอ่ยสั่งให้รับรองคนของวังอ๋องให้ทั่วถึง ส่วนตนเองพาสาวใช้นามซิ่งเอ๋อร์ไปหาเฉียวเจา
“คุณหนูใหญ่มาหาคุณหนูของข้าหรือเจ้าคะ” ปิงลวี่ยืนเท้าเอวอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าระวังระไว
เส้นเลือดตรงขมับของหลีเจี่ยวปูดโปน หน้าตาของสาวใช้ผู้นี้แสนยียวนวอนโดนสั่งสอนนัก เพราะอะไรถึงอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนบัดนี้
“ไม่เจอน้องเจามาระยะหนึ่ง ข้าชักคิดถึงนาง พอดีกลับจวนก็เลยมาเยี่ยม”
ปิงลวี่ลอบเบะปาก คิดถึงคุณหนูสามของข้า? อย่าล้อเล่นเลย ถ้าข้าเชื่อก็โง่แล้ว!
“คุณหนูใหญ่ ท่านมาไม่ได้จังหวะจริงๆ คุณหนูของข้ากับกวนจวินโหวนัดหมายกันไปเที่ยวเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ยิ้มตาหยีกล่าวขึ้น
ท่านแน่จริงก็ไปทวงคนกับกวนจวินโหวเองสิ!
* สวมเสื้อแพรท่องราตรี เป็นสำนวน หมายถึงไม่แสดงตัวว่าเป็นเศรษฐีมีอำนาจยศศักดิ์ให้ผู้อื่นรู้