หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 626
บทที่ 626
พายุเสน่หาเพิ่งสงบลง ผ้าห่มยับย่นดุจลอนคลื่นแดง
หลีเจี่ยวเห็นรุ่ยอ๋องลืมตาขึ้น นางก้มศีรษะอย่างเหนียมอาย “ท่านอ๋อง ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ”
รุ่ยอ๋องมองเห็นสตรีท่าทางเหนียมอายสวมเสื้อเอี๊ยมสีเขียวสดไว้ชิ้นเดียวข้างกายแล้วห้วงความคิดว่างเปล่าขาวโพลน
“นี่…มันเรื่องอะไรกัน”
“ท่านอ๋อง…” หลีเจี่ยวเปล่งเสียงเรียกคำหนึ่งอย่างขัดเขิน จากนั้นก้มหน้าไม่กล่าววาจา
รุ่ยอ๋องคว้าข้อมือนางหมับ “ข้าถามเจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
ใบหน้าของหลีเจี่ยวซีดเผือด นางมองเขาอย่างงุนงง “ท่านอ๋อง ทรงจำไม่ได้แล้วหรือเพคะ ตอนนั้นพระองค์…”
ในหัวสมองของรุ่ยอ๋องเริ่มจดจำได้ในที่สุด แต่ไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ได้ เขาตลบผ้าห่มแพรบนกายคนทั้งสองออก
เรือนร่างภายใต้ผ้าห่มแพรขาวผุดผ่องละลานตา
หลีเจี่ยวรู้สึกว่าท่าทีของเขาไม่ค่อยปกติ นางเอ่ยถามเสียงนุ่ม “ท่านอ๋อง ทรงเป็นอะไรไปเพคะ”
จากคำพูดซุบซิบของสาวใช้สองคนนั้น นางรู้ว่ารุ่ยอ๋องกินยาที่ช่วยให้จิตใจสงบลดกำหนัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายอยู่ แต่พอเกิดเรื่องอย่างว่านี้ขึ้นจริงๆ เหตุไฉนถึงมีท่าทางเสียอกเสียใจประหนึ่งบิดามารดาตายจากกระนั้น ต่อให้เป็นการฟื้นฟูร่างกายก็ไม่จำเป็นต้องไม่ใกล้ชิดสตรีตลอดมิใช่หรือ
รุ่ยอ๋องตั้งสติได้ มองดูสตรีที่ขัดเขินแกมประหม่าก็รู้สึกขัดนัยน์ตา เงื้อมือตบหน้านางทีหนึ่งเต็มแรง
หลีเจี่ยวเพิ่งร่วมหอเป็นคราแรก นางรู้สึกปวดเมื่อยอ่อนแรงไปทั้งสรรพางค์กายอยู่แต่เดิม แล้วจะทนรับแรงตบด้วยความโกรธเกรี้ยวของบุรุษวัยฉกรรจ์ได้อย่างไรไหว นางล้มหน้าคว่ำลงกับเตียงทันควัน หน้ามืดวิงเวียนตาลายไปหมด
รุ่ยอ๋องกลับปราศจากท่าทีทะนุถนอมสตรีอ่อนแอแม้สักกระผีก เขายื่นมือกระชากตัวนางมาไต่ถามอย่างโกรธเกรี้ยว “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่นลูกไม้อะไร”
โลหิตสีแดงฉานไหลซึมออกมาจากมุมปากของหลีเจี่ยวข้างหนึ่ง นางกล่าวปฏิเสธอย่างกระท่อนกระแท่น “ท่านอ๋อง ข้า…ข้าเปล่า…”
“เปล่ารึ หรือข้าเป็นพวกเด็กหนุ่มอ่อนหัดไม่เคยพบเจอสตรี พอเห็นเจ้าก็หน้ามืดตามัวหรือ” ดวงตาของรุ่ยอ๋องแดงก่ำ ออกแรงเหวี่ยงตัวหลีเจี่ยวลงไปบนพื้น
พอเสียงของหนักหล่นกระแทกพื้นดังขึ้น มีเสียงถามของสาวใช้ลอยมาจากนอกประตู “ท่านอ๋อง ทรงมีสิ่งใดจะบัญชาเพคะ”
รุ่ยอ๋องได้ยินเสียงจากข้างนอกแล้วเริ่มกลับมาเยือกเย็นขึ้นบ้าง เขาตะเบ็งเสียงบอก “ไปตามหมอใหญ่ประจำวังอ๋องมาที่นี่!”
“เพคะ”
รุ่ยอ๋องมองเด็กสาวที่ล้มกองอยู่กับพื้นอย่างปึ่งชา ในใจชิงชังแทบกระอัก
เขาจดจำคำสั่งกำชับของหมอเทวดาหลี่จนขึ้นใจ ไม่ใกล้ชิดสตรีมานานเกือบหนึ่งปี ครั้นแลเห็นผลสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ใครจะรู้ว่าจะถูกนางตัวดีผู้นี้ทำลายลงเสียแล้ว!
“ทะ…ท่านอ๋อง…” หลีเจี่ยวโดนตบหน้าจนมึนงงไปหมด นางเอามือยันพื้นฝืนยกตัวขึ้นก็รู้สึกหน้ามืดเป็นระลอกๆ
ผ้าห่มแพรผืนหนึ่งถูกโยนมาบนร่างนางพร้อมกับเสียงเย็นชาของรุ่ยอ๋องที่ดังขึ้น “ห่อตัวให้มิดชิด อีกประเดี๋ยวหมอใหญ่ประจำวังอ๋องก็จะมาที่นี่แล้ว!”
หมอใหญ่ประจำวังอ๋อง? หลีเจี่ยวลอบแตกตื่น
นางไม่กลัวว่าหมอใหญ่ประจำวังอ๋องจะตรวจพบพิรุธ แต่เขาเป็นบุรุษภายนอก ท่านอ๋องเรียกเขามาที่นี่เช่นนี้เห็นนางเป็นอะไร
วันนี้หากนางถูกหมอใหญ่ประจำวังอ๋องเห็นในสภาพนี้ วันหน้าอย่าหวังว่าจะได้เชิดหน้าชูตาอีก
หลีเจี่ยวห่อตัวในผ้าห่มแล้วลนลานจะลุกขึ้น แต่เพราะนางล้มกระแทกพื้นเต็มรัก เป็นเหตุให้แข้งขาปวดระบมอ่อนแรง ยังลุกไม่ขึ้นก็ล้มกลับลงไปบนพื้นอีกอย่างน่าอเนจอนาถ
รุ่ยอ๋องนิ่งเฉยมองดูอย่างไม่สนใจไยดีสักนิด
หลีเจี่ยวหนาวเยือกในอกยิ่งขึ้น นางเค้นสุดแรงฝืนตะกายตัวลุกขึ้นไปผลัดอาภรณ์หลังฉากกั้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า
นางเพิ่งคาดสายรัดเอวเรียบร้อย หมอใหญ่ประจำวังอ๋องก็มาถึง
“ถวายคำนับท่านอ๋อง”
หลีเจี่ยวแลลอดรอยแยกของฉากกั้นแอบมองไปด้านนอก เห็นบุรุษวัยราวสี่สิบผู้หนึ่งกำลังแสดงคารวะต่อรุ่ยอ๋อง
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าเรียกเจ้ามาตรวจดูว่าน้ำชานี้มีปัญหาหรือไม่” รุ่ยอ๋องไม่มีแก่ใจพูดจาอ้อมค้อม เขากล่าวตรงเข้าเรื่องเลยทันที
เขาทบทวนความทรงจำดูแล้ว เป็นไปได้ว่าปัญหาน่าจะอยู่ที่น้ำชาซึ่งหลีซื่อชงให้เขามากที่สุด
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องไม่กล้าถามมากความ ขานตอบคำหนึ่งแล้วเริ่มตรวจสอบทันที
หลีเจี่ยวหลบอยู่หลังฉากกั้นไม่กล้าขยับกาย
ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่เสียงของหมอใหญ่ประจำวังอ๋องดังขึ้น “ท่านอ๋อง น้ำชาไม่มีปัญหาใดพ่ะย่ะค่ะ”
หลีเจี่ยวหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
รุ่ยอ๋องนิ่งขึงไปคล้ายไม่เชื่อผลลัพธ์นี้ เขาถามคาดคั้น “ไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ”
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องพยักหน้า
“หรือว่าข้าไม่ได้ใกล้ชิดสตรีนานเกินไปจริงๆ ถึงได้หมดความยับยั้งชั่งใจเฉกนี้”
หมอใหม่ประจำวังอ๋องได้ฟังแล้วตระหนกตกใจ “ท่านอ๋อง…พระองค์…”
รุ่ยอ๋องลุกขึ้น “ไปคุยที่ห้องหนังสือ”
ไม่นานนักเสียงเปิดปิดประตูดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าไกลออกไปเรื่อยๆ
หลีเจี่ยวเดินเลี้ยวออกมาจากหลังฉากกั้น ยืนพิงมันไว้อย่างกะปลกกะเปลี้ยพลางจมลงสู่ภวังค์
ภายในห้องหนังสือรุ่ยอ๋องกล่าวอย่างอัดอั้นตันใจ “เมื่อครู่ข้าตบะแตกไปแล้ว ทีนี้จะทำประการใดกันดี”
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องอ้าปากค้าง “ตบะแตก? ยังเหลืออีกเดือนหนึ่งมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของรุ่ยอ๋องบึ้งตึง “พูดเรื่องนี้เวลานี้ยังมีประโยชน์อันใดหรือไม่ ข้าอยากรู้ว่าถ้าตบะแตกตอนนี้ทุกสิ่งที่ทำมาจะสูญเปล่าหรือไม่”
พอเห็นสีหน้าผู้เป็นนายชักไม่เข้าที หมอใหญ่ประจำวังอ๋องปาดเหงื่อเย็นออกแล้วเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งร้อนพระทัย ขณะนี้ห่างจากกำหนดเวลาของหมอเทวดาหลี่ไม่มากเท่าไร ดูทีว่าไม่น่าถึงกับเสียเปล่าไปทั้งหมด”
“ข้าต้องการคำตอบที่แน่ชัด อย่าคาดเดา!”
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องยิ้มฝืดๆ เขาไม่ใช่หมอเทวดาหลี่เสียหน่อยจะให้คำตอบที่แน่ชัดได้อย่างไร เกือบหนึ่งปีมานี้หน้าที่ของเขาคือผสมยาให้ท่านอ๋องตามตำรับที่หมอเทวดาหลี่ทิ้งไว้ให้เท่านั้นเอง
“ถ้าหมอเทวดาหลี่ยังอยู่ก็คงดี” รุ่ยอ๋องรู้ว่าบีบคั้นอีกฝ่ายไปก็เปล่าประโยชน์ เขาถอนใจหนักๆ เฮือกหนึ่ง
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องไม่กล้าพูดตอบ
หมอเทวดาหลี่ออกทะเลแล้วเสียชีวิต บัดนี้จะไปตามหาตัวคนที่ใดได้เล่า เขาเป็นหมอที่สงบปากสงบคำไว้ผู้หนึ่งจะดีกว่า
“เข้ามา…” รุ่ยอ๋องลืมตาพรึ่บแล้วตะโกนเรียก
มีบ่าวรับใช้เข้ามาหลายคนทันควัน
“เอาตัวหลีซื่อไปขังไว้ในศาลบรรพชนเล็ก”
สมัยพระชายารุ่ยอ๋องยังมีชีวิตอยู่ เพราะโอรสของนางตายตั้งแต่ยังเล็กติดๆ กันสองพระองค์ นางเศร้าโศกเสียใจมากจึงตั้งศาลบรรพชนเล็กๆ ไว้ในมุมเปลี่ยวห่างไกลของวังอ๋อง วันๆ เก็บตัวอยู่ในนั้นสวดมนต์กินมังสวิรัติ
หลังจากพระชายารุ่ยอ๋องล่วงลับไป ศาลบรรพชนเล็กก็ว่างลงและค่อยๆ กลายเป็นที่ที่รุ่ยอ๋องส่งตัวอนุและนางสนมซึ่งกระทำความผิดไปอยู่ที่นั่น
มาตรว่ายามนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ศาลบรรพชนกลับเย็นเยือกวังเวงอย่างมาก เรื่องการกินการอยู่ทั้งหลายแหล่นั้นไม่จำเป็นต้องพูดมากก็ย่อมรู้ว่าย่ำแย่ที่สุด คนที่เข้าไปอยู่มีแต่ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย
“ท่านอ๋อง มิได้พ่ะย่ะค่ะ” หมอใหญ่ประจำวังอ๋องกล่าวคำหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่
รุ่ยอ๋องมองเขาแวบหนึ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ เห็นหมอใหญ่ประจำวังอ๋องทำท่าอึกๆ อักๆ ก็โบกมือบอกให้คนที่เข้ามาออกไป
“ท่านอ๋อง อี๋เหนียงที่ได้ถวายตัวให้พระองค์ท่านนั้น ทางที่ดีอย่าส่งไปอยู่ในที่ที่หนาวเย็นวังเวงเช่นนั้นจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ด้วยเหตุใด เจ้าจะขอความเมตตาให้นางหรือ”
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องรีบแก้ต่างให้ตนเอง “กระหม่อมไม่ได้ขอความเมตตาให้อี๋เหนียงท่านนั้น เพียงคิดว่าเผื่อไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“เผื่อไว้? เผื่ออะไร” รุ่ยอ๋องคิดตามไม่ทันในชั่วขณะ
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องยื่นหน้าไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหูเขา
รุ่ยอ๋องหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องกล่าวเตือนไม่ผิด เขาต้องใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่หลีซื่อจะตั้งครรภ์
เผื่อว่าเขาไม่อาจมีบุตรกับสตรีได้อีกเพราะตบะแตกก่อนเวลา ไม่แน่ว่าความหวังหนึ่งเดียวอาจจะอยู่ที่ตัวหลีซื่อก็เป็นได้
สมควรตาย! ทั้งที่อยากเอาชีวิตสตรีผู้นั้นใจจะขาดกลับต้องเลี้ยงดูนางอย่างดี ชวนให้คับแค้นใจเหลือเกินจริงๆ!
เขาจะอดทนรอดูสักหนึ่งเดือน หลีซื่อมีครรภ์จริงๆ ก็แล้วกันไป ถ้าไม่มี…เช่นนั้นค่อยคิดบัญชีภายหลังพร้อมกัน
ด้านหลีเจี่ยวหลบอยู่ในห้องอย่างใจคอไม่ดีอยู่เป็นนาน จู่ๆ ประตูห้องเปิดผลัวะออก สาวใช้หลายนางประคองถาดด้วยสองมือชักแถวกันเข้ามา สาวใช้ที่เดินนำหน้าเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม “อี๋เหนียงต้องลำบากแล้ว ท่านอ๋องทรงมีรับสั่งให้พวกข้ามาปรนนิบัติท่านผลัดอาภรณ์กินอาหารเจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวจับต้นชนปลายไม่ถูกขณะรับการปรนนิบัติอย่างพิถีพิถันของเหล่าสาวใช้ ถึงกระนั้นภายในจิตใจที่สับสนงุนงงของนางยังระคนไปด้วยความยินดีปรีดาเฉกผู้รอดพ้นเภทภัยมหันต์มาได้