หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 627
บทที่ 627
ในเรือนติดกับจวนสกุลหลีสีหน้าแววตาของเฉียวเจาแฝงรอยกังวลจางๆ “หากไม่มีเรื่องใดแล้วข้าจะกลับก่อนล่ะ สองวันนี้ท่านย่าไม่ค่อยสบายนัก”
“ท่านย่าป่วยหรือ เช่นนั้นข้าตามเจ้าไปเยี่ยมนะ”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ช่างเถอะ ท่านย่าอายุมากแล้ว พออารมณ์ไม่ดีก็เลยไม่ค่อยสดชื่น ไม่ได้ป่วยหนักอะไร ท่านไปแล้ว ท่านย่ายังต้องแต่งเนื้อแต่งตัวออกมาพบแขก ทำให้ท่านย่าต้องวุ่นวายเปล่าๆ ปลี้ๆ”
ชายหนุ่มได้ยินแล้วไม่ชอบใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางถาม “ข้าเป็นแขกหรือ”
เขาเป็นหลานเขยของฮูหยินผู้เฒ่าแท้ๆ นับเป็นแขกได้อย่างไรกันเล่า
“เอาเป็นว่าท่านอย่าไปเลย เรื่องที่เกิดในเรือนน่าขายหน้าอยู่บ้าง ท่านย่าเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่อยากให้คนรู้”
เซ่าหมิงยวนถึงพยักหน้า “ก็ได้ ข้าฟังคำเจ้า วันนี้ที่มาก็อยากจะบอกกล่าวเจ้าสักคำว่าข้ายังคงต้องไปงานเลี้ยงที่รุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องจัดขึ้นอยู่ดี”
เฉียวเจาตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยยิ้มๆ “รุ่ยอ๋องติดต่อท่านลับๆ หรือ”
เขาอึ้งงันไป “เจ้ารู้ได้เช่นไร”
“ให้ข้าเดาดู เขาติดต่อท่านผ่านทางพี่ฉือ?”
เซ่าหมิงยวนประหลาดใจมากขึ้น “เจาเจา เจ้าดูดวงเป็นตั้งแต่เมื่อไร”
นางผลิยิ้มน้อยๆ น่าเอ็นดู “ข้าดูดวงไม่เป็นหรอก แต่เมื่อวานจู่ๆ พี่เจี่ยวกลับมาที่เรือน ซ้ำยังเจาะจงมาหาข้า ท่านรู้อยู่ว่าข้ากับพี่สาวผู้นี้ไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร นางอุตส่าห์ได้กลับเรือนทั้งที หากไม่มีธุระจะมาหาข้าได้อย่างไร ข้าเลยคิดถึงงานเลี้ยงครั้งนี้น่ะสิ”
พอพูดถึงตรงนี้เฉียวเจาอมยิ้มชายตามองเขาแล้วกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “ข้าอาจไม่รู้จักคนอื่น แต่ยังรู้จักตนเองดี งานเลี้ยงใหญ่ชั้นนี้คุณหนูในตระกูลขุนนางสามัญผู้หนึ่งเช่นข้าไปร่วมงานหรือไม่นั้นมีความสำคัญอะไร เขาแค่จะอ้างชื่อข้าเพื่อเชิญท่านไปต่างหาก”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้ายิ้มๆ “อีกฝ่ายก็ฉลาดน่าดู รู้ว่าถ้าเจ้าไปล่ะก็ ข้าต้องไปแน่”
“ใช่แล้ว พอคิดได้เช่นนี้ข้าเลยบอกว่าไม่อยู่เป็นการปฏิเสธไม่พบนาง รุ่ยอ๋องเห็นพี่เจี่ยวทำงานไม่สำเร็จจึงได้แต่ยกเรื่องหนี้น้ำใจมาเชิญท่านแล้ว”
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปเป็นคำรบที่สอง “เจ้ารู้ว่าข้าติดหนี้น้ำใจรุ่ยอ๋องด้วยหรือ”
นางปรายตามองเขา “ตอนนั้นท่านเชิญท่านปู่หลี่ออกมาจากวังรุ่ยอ๋อง ไม่อาศัยน้ำใจ หรือว่าอาศัยหน้าตา”
เขาหัวเราะในลำคอ ยักคิ้วหลิ่วตาให้นาง “อาศัยหน้าตาก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะ”
เฉียวเจามองค้อนเขาวงหนึ่ง
ชายหนุ่มยื่นมือไปกุมมือนางไว้ ในอกเขาอบอุ่นจางๆ “เจาเจา ในเมื่อตอนนั้นเจ้าคิดได้อย่างนี้แล้ว ไฉนยังใจร้ายไม่เปิดเผยตัวกับข้าอีก”
ที่แท้เจาเจาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไว้ สตรีของเขาเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องเช่นนี้เสมอมา
เฉียวเจาตีมือเขา “ท่านเพียงออกหน้าขอร้อง ข้าก็ต้องเปิดเผยตัวกับท่านหรือ พี่ใหญ่ข้าเป็นพี่เขยท่าน ท่านสังหารน้องสาวเขาไปทั้งคน จะทำอะไรเพื่อเขาเล็กๆ น้อยๆ ก็สมควรดีแล้วมิใช่หรือ”
“ใช่ๆ สมควรดีแล้วจริงๆ” เซ่าหมิงยวนพยักหน้ายิ้มๆ เขาชมชอบที่เจาเจาไม่เห็นเขาเป็นคนอื่นคนไกลเช่นนี้
“เจาเจา แล้วเจ้าจะไปงานเลี้ยงคราวนี้หรือไม่”
ตอนแรกเจาเจาไม่อยากไปร่วมงาน การที่เขาถือโอกาสไม่ไปด้วยเดิมก็คิดจะให้รุ่ยอ๋องใช้หนี้น้ำใจที่เขาติดค้างไว้เสียที
แม้จะพูดว่าเขาไปร่วมงานเลี้ยงตามคำขออาจไม่มากพอจะชดใช้น้ำใจที่เขาขอเชิญตัวหมอเทวดาในคราวนั้นได้ ทว่าอย่างไรวันหน้ารุ่ยอ๋องมีเรื่องอะไรอีกก็ต้องใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนขึ้น
หนี้น้ำใจเป็นสิ่งที่ยิ่งใช้ยิ่งลดลงเสมอ ที่ดีที่สุดคือใช้ในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญพรรค์นี้หลายๆ ครั้ง ก็ช่วยให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าในภายหลังน้อยลงได้
ส่วนที่รุ่ยอ๋องคิดอาศัยคุณหนูใหญ่สกุลหลีผูกดองกับเขา เขาไม่กังวลใจแต่อย่างใด
ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องระหว่างคุณหนูใหญ่สกุลหลีกับเจาเจานั้นจืดจางมาก เขาไม่จำเป็นต้องอะลุ้มอล่วยเพื่อเห็นแก่หน้าเจาเจา วันหน้ารุ่ยอ๋องหมายดึงตัวเขาไปเป็นฝ่ายเดียวกันก็ต้องเข้าทางท่านพ่อตาอย่างเดียว
สำหรับลู่ทางของท่านพ่อตาสายนี้เขายิ่งไม่ต้องกังวลใจ ด้วยนิสัยเถรตรงอย่างนั้น ถ้าท่านยอมใกล้ชิดกับบุตรสาวที่ยอมเป็นอนุต่างหากถึงเป็นดังคำกล่าวว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว
“ข้าคงไม่ไป งานเลี้ยงเช่นนี้น่าเบื่อพิกล ไม่แน่ว่ายังจะเกิดเรื่องวุ่นวายอีก”
“เอ๊ะ ไยเจ้ากล่าวเช่นนี้”
“วันนั้นพี่ฉือเคยบอกไว้ตอนอยู่ที่หอชุนเฟิงไม่ใช่หรือ ทูตซีเจียงเดินทางมาคราวนี้ไม่อยู่อย่างสงบๆ แน่ ถ้าพวกเขาจะก่อความปั่นป่วน งานเลี้ยงที่เชิญผู้สูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวงมาเป็นแขกจะมิใช่โอกาสที่ดีที่สุดหรอกหรือ”
เรื่องราวเป็นไปตามคำกล่าวของเฉียวเจาจริงๆ
งานเลี้ยงจัดขึ้นในพระราชอุทยานของวังหลวง ที่นั่งของแขกสตรีกับแขกบุรุษแยกกันยึดครองพื้นที่คนละฝั่ง โดยทางฝั่งตะวันตกได้พระชายาของมู่อ๋องออกโรงเป็นเจ้าภาพ
นางสวมเสื้อคลุมผ้าไหมโปร่งเบาสีเขียวปักลายหงส์ทอง ขับเน้นเรือนร่างสูงเพรียวของนางให้แลดูสง่าภูมิฐาน ส่วนบรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่มาร่วมงานล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องกันเต็มพิธีการ กลับเป็นเหล่าหญิงสาวยังไม่ออกเรือนที่หันมาสวมชุดฤดูใบไม้ผลิที่บางพลิ้วงามเฉิดฉายมีชีวิตชีวา ช่วยแต่งแต้มความสดใสให้กับพระราชอุทยานฝั่งตะวันตกของวังหลวงแห่งนี้
“พอเข้าฤดูใบไม้ผลิก็รู้สึกจิตใจกระชุ่มกระชวยไปหมด ไม้ดอกไม้ใบสีสันละลานตาเห็นแล้วเจริญหูเจริญตายิ่งนัก”
เพราะการตายของเจียงถังทั่วทั้งเมืองหลวงตอนเดือนหนึ่งตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดอึมครึม มิใช่ง่ายดายกว่าจะมีงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ชั้นนี้สักหน สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายต่างจับกันเป็นกลุ่มเล็กๆ พูดคุยสัพเพเหระ มุมปากประดับรอยยิ้มอย่างผ่อนคลาย
ฝ่ายพวกเด็กสาวกลับอยากรู้อยากเห็นเรื่องขององค์หญิงซีเจียงที่ยังมาไม่ถึงงานกันเป็นอย่างมาก
“ได้ยินว่าองค์หญิงซีเจียงพระองค์นี้เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ” เด็กสาวชุดสีชมพูเอ่ยถามขึ้นอย่างสนใจใคร่รู้
เด็กสาวอีกคนหนึ่งเบะปากพูดยิ้มๆ “ว่ากันถึงรูปโฉม องค์หญิงซีเจียงจะเทียบได้กับองค์หญิงเก้าของต้าเหลียงเราหรือ ว่ากันถึงความสามารถ ก็ยังมีพวกพี่น้องในชุมนุมฟู่ซานอีก”
“จริงของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรอย่าให้องค์หญิงซีเจียงข่มรัศมีสตรีชั้นสูงของต้าเหลียงเราได้ก็แล้วกัน”
แขกในงานส่งเสียงเซ็งแซ่ระลอกหนึ่ง
“องค์หญิงซีเจียงเสด็จแล้ว”
มีคนไม่น้อยหันไปมองด้วยความสนใจก็เห็นเด็กสาวร่างเล็กอ้อนแอ้นในชุดเครื่องแต่งกายของชาวซีเจียงนางหนึ่งเดินเข้ามา
องค์หญิงซีเจียงสวมกระโปรงยาวแบบเดียวกับชุดพิธีการที่สวมใส่ในงานสำคัญของสตรีสูงศักดิ์ของต้าเหลียง ที่ต่างกันคือคาดสายรัดเอวสูงถึงอก ผูกเป็นปมผีเสื้อทิ้งชายยาวเฟื้อยห้อยลงปลิวไปปลิวมาตามจังหวะการเดิน แลดูมีเสน่ห์ไปในอีกแบบหนึ่ง
มีเด็กสาวทำตาเป็นประกายหันไปพูดคุยซุบซิบกับสหายสนิทข้างกาย “แต่งกายอย่างนี้กลับทำให้ส่วนขาดูเรียวยาวขึ้นนะ ไว้ข้าจะลองแก้กระโปรงยาวเป็นเช่นนี้บ้าง”
“ใช่ๆ องค์หญิงซีเจียงมีเรือนกายไม่สูง สวมชุดเช่นนี้ทำให้ดูงามเฉิดฉันมาก”
เสียงแค่นฮึดังลอยมา “หูตาคับแคบ ในยุคห้าราชวงศ์ของเราก็สวมเสื้อคู่กระโปรงเสมออกเช่นนี้อย่างแพร่หลายแล้ว นี่มิใช่ชาวซีเจียงคิดออกมาเองเสียหน่อย”
สาวน้อยสองนางได้ยินถ้อยคำเหน็บแนมเช่นนี้ก็หันหน้าไปจะตอบโต้ แต่พอเห็นว่าเป็นหลันซีหนงก็สงบปากสงบคำทันควัน
หลานสาวของสมุหราชเลขาธิการคนปัจจุบันหาใช่ผู้ที่พวกนางจะตอแยได้
หลันซีหนงมองพวกนางด้วยสายตาเฉยชา “มีเวลาพินิจพิจารณากระโปรงของคนอื่น มิสู้เล่าเรียนเขียนอ่านให้มากขึ้น!”
“ท่าน...” เด็กสาวผู้หนึ่งตั้งท่าจะเถียงกลับอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่ถูกเด็กสาวอีกคนกระตุกแขนเสื้อทีหนึ่งถึงก้มหน้าไม่พูดไม่จา
รอเมื่อหลันซีหนงหันความสนใจไปทางอื่น เด็กสาวผู้นั้นถึงพูดเสียงเบาๆ อย่างคับข้องหมองใจ “วิเศษนักหรืออย่างไร เหตุใดข้าต้องอ่านตำราพงศาวดารยุคห้าราชวงศ์เพื่อศึกษาว่าสตรีสมัยนั้นสวมกระโปรงแบบใดด้วย ข้าก็แค่เห็นว่าองค์หญิงซีเจียงแต่งกายได้งดงามไม่ได้หรือไร”
“พอเถอะ หากคุณหนูหลันได้ยินเข้าจะไม่ดี” เด็กสาวอีกคนพูดปรามไว้เพราะไม่อยากให้มีเรื่องกัน
ดวงตาคู่งามขององค์หญิงซีเจียงกลอกไปมาแล้วพึงใจในท่าทีของหญิงสาวสูงศักดิ์ทั้งหลายเป็นอันมาก นางยกชายกระโปรงเบาๆ เดินตามพระชายาของมู่อ๋องเข้าสู่ที่นั่งของแขกผู้ทรงเกียรติ
เสียงดนตรีดังขึ้น งานเลี้ยงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
ในงานเลี้ยงที่สตรีมาชุมนุมตัวกันมักหนีไม่พ้นพูดคุยไปร่ำสุราไป
องค์หญิงซีเจียงแย้มปากยิ้มพลางกล่าว “อย่างนี้จะสนุกอะไรกัน พวกเราสองฝ่ายมาประลองความสามารถกันดีกว่า ฝ่ายใดพ่ายแพ้ก็ทำโทษทุกคนในฝ่ายนั้นให้ดื่มสุรา มู่หวังเฟย* เห็นว่าวิธีเล่นอย่างนี้เป็นเช่นไร”
* หวังเฟย หมายถึงพระชายาของท่านอ๋อง