หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 629
บทที่ 629
รอบแรกตั้งกฎการแข่งขันแบบสามัญมาก สองฝ่ายถือลูกธนูในมือคนละแปดดอก ผลัดกันขว้างลงคนโทตรงหน้าตนเอง คนที่ขว้างลงได้มากกว่าเป็นผู้ชนะ
หากที่ต่างออกไปคือในการละเล่นขว้างธนูลงคนโทโดยทั่วไป ผู้ขว้างจะอยู่ห่างจากคนโทเป็นระยะลูกธนูสองดอกครึ่ง แต่การแข่งคราวนี้องค์หญิงซีเจียงเสนอให้เปลี่ยนระยะห่างเป็นลูกธนูสามดอก
“ทั้งสองท่านเริ่มแข่งได้” มู่หวังเฟยเปล่งเสียงบอก
องค์หญิงซีเจียงกล่าวยิ้มๆ “ในเมื่อข้าเป็นคนจับไม้ติ้ว ยกนี้ก็ให้คุณหนูเซียวเริ่มก่อนเถอะ ยกที่สองค่อยสลับกัน”
เซียวหว่านหลิงเม้มปากแล้วแสดงคำนับต่ออิงน่า นางปรับลมหายใจให้เป็นจังหวะอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนจะเงื้อมือขว้างลูกธนูลอยพุ่งลงไปในคนโท
“เยี่ยม!” คุณหนูทั้งหลายร้องชมเบาๆ ส่วนพวกฮูหยินจากจวนต่างๆ ก็อมยิ้มพลางพยักหน้า
ในขณะที่คู่ต่อสู้เริ่มต้นได้ดี ใบหน้าของท่านหญิงซีเจียงกลับไร้รอยกระเพื่อมไหวใดๆ ของอารมณ์ นางยกมือขว้างลูกธนูลงสู่คนโทด้วยท่าทางสบายๆ
เซียวหว่านหลิงขว้างลูกธนูดอกที่สองลงคนโทได้อีกครั้ง
ท่านหญิงซีเจียงไม่แม้แต่จะเหลือบเปลือกตาขึ้น ยกมือขว้างลูกธนูออกไป มันก็พุ่งลงสู่คนโทอย่างแม่นยำดังเดิม
ทั้งคู่ขว้างลูกธนูไปแล้วห้าดอกอย่างรวดเร็ว บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น
“ลั่วอี เจ้าเห็นว่าใครจะเป็นผู้ชนะ” จูเหยียนกระซิบถามซูลั่วอี
นางส่ายหน้าเบาๆ “ดูท่าทางอีกฝ่ายเตรียมตัวมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าคุณหนูเซียวจะต้านทานได้ยาก”
ถึงแม้การประชันดำเนินมาถึงเพลานี้ ทั้งสองฝ่ายล้วนขว้างลงได้ห้าดอก ทว่าฝ่ายหนึ่งต้องตั้งสมาธิเต็มที่ ฝ่ายหนึ่งผ่อนคลายสบายอารมณ์ มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าใครเก่งใครด้อย
“หวังแค่ว่ารอบนี้พวกเราจะไม่แพ้หลุดลุ่ยเกินไปกระมัง” ซูลั่วอีกล่าวทอดถอนใจเบาๆ
ดวงตาคู่งามของจูเหยียนมองเขม็งไปที่ลานแข่งขัน “ลูกธนูดอกสุดท้ายแล้ว”
ทุกคนเพ่งดูอย่างใจจดใจจ่อ ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจเสียงดัง
ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คน เซียวหว่านหลิงกัดริมฝีปาก หายใจลึกๆ ถึงขว้างลูกธนูดอกที่แปดออกไป
เสียงกระทบกันของลูกธนูที่พุ่งลงสู่คนโทดังกังวานขึ้น หญิงสาวสูงศักดิ์ในงานพากันร้องอุทานเบาๆ ระลอกหนึ่ง
เซียวหว่านหลิงผ่อนลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง เช็ดเหงื่อตรงอุ้งมือออก
นางเพิ่งเคยลองขว้างในระยะไกลถึงเพียงนี้เป็นคราแรก ยังดีที่ขว้างลงทั้งแปดดอก นับว่าไม่ทำให้ต้าเหลียงต้องเสียหน้าแล้ว
ใช่แล้ว…ในเสี้ยวขณะนี้ไม่ว่าเซียวหว่านหลิงในลานแข่งขันหรือว่าเหล่าคุณหนูที่ชมการประลองฝีมืออยู่ ต่างมีความคิดเดียวในหัวคือจะทำให้ต้าเหลียงเสียหน้าไม่ได้
ในบรรดาเด็กสาวพวกนี้บางคนถูกคอกัน บางคนไม่ลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร กระนั้นเวลานี้ไม่มีคนใดคิดถึงความบาดหมางเหล่านี้ อยากแบ่งความโชคดีของตนให้เซียวหว่านหลิงส่วนหนึ่งใจจะขาด
ท่านหญิงซีเจียงแย้มยิ้มขว้างลูกธนูดอกสุดท้ายในมือออกไปสบายๆ มันก็พุ่งไปเสียบลงคนโทอย่างหมดจด
“เสมอกัน มู่หวังเฟย พวกเราสองฝ่ายชนจอกดื่มร่วมกันเถอะ” องค์หญิงซีเจียงยกจอกสุราขึ้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มละไม
พระชายาของมู่อ๋องย่อมไม่ยอมให้น้อยหน้าเป็นธรรมดา นางยกจอกสุราขึ้น “องค์หญิงเชิญ”
คนสองฝ่ายในงานต่างกระดกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมด
“เช่นนั้นก็เริ่มแข่งขว้างธนูลงคนโทยกที่สองเถอะ พวกเราเพิ่มความยากขึ้นบ้าง เขียนท่าบังคับเช่นว่า ดีดกลับ เสียบทแยง พาดหู* ไว้บนกระดาษ แล้วให้ท่านหญิงอิงน่ากับคุณหนูเซียวสุ่มจับคนละหนึ่งครั้ง รวมกับยกแรกแล้วทั้งหมดเป็นสามยกก็จะตัดสินผลชนะสองในสามยกได้พอดี พระชายาเห็นเป็นอย่างไร” องค์หญิงซีเจียงไต่ถาม
มู่หวังเฟยย่อมไม่คัดค้านเป็นธรรมดา
ไม่นานนักนางกำนัลถือประคองโถทรงกลมที่ใส่แผ่นกระดาษไว้ด้วยสองมือเดินไปตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
“พวกเจ้าใครจะจับก่อน” มู่หวังเฟยถามขึ้น
เซียวหว่านหลิงทำท่าผายมือเชิญ “ท่านหญิงเป็นแขก เชิญท่านก่อนเจ้าค่ะ”
ท่านหญิงซีเจียงพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ นางล้วงมือลงไปในโถหยิบกระดาษที่ม้วนเป็นแท่งกลมขึ้นมาหนึ่งชิ้นส่งให้สาวใช้
เมื่อมู่หวังเฟยส่งสัญญาณอนุญาต นางกำนัลคลี่ม้วนกระดาษออก เผยอริมฝีปากแดงเปล่งเสียงอ่าน “พาดหู”
เซียวหว่านหลิงได้ยินแล้วจิตใจเขม็งเกลียวระลอกหนึ่ง
ที่เรียกว่าพาดหูนั้นมีความหมายตามคำเรียกของมัน ธนูที่ขว้างออกไปจะไม่เสียบลงในคนโท แต่จะวางพาดอยู่บนส่วนหูคนโท
นางต้องเคยฝึกปรือทักษะการขว้างธนูลงคนโทแบบพลิกแพลงเช่นนี้มาก่อนแน่นอน แต่มันไม่ได้ง่ายดายอย่างการขว้างแบบธรรมดา
“เริ่มประชันได้ หนนี้ท่านหญิงขว้างก่อน” มู่หวังเฟยอ้าปากกล่าว
ท่านหญิงซีเจียงหยิบลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นตามใจชอบ นางเล็งเป้าเล็กน้อยแล้วขว้างมันออกไป
ลูกธนูลอยละลิ่วออกไปวางพาดอยู่เหนือหูคนโทอย่างแม่นยำ
“ได้แต้มแล้ว” เสียงร้องอุทานเบาๆ ของพวกคุณหนูดังขึ้น
ท่านหญิงซีเจียงกล้าออกมาแข่ง ขว้างลงคนโทได้ก็ไม่น่าแปลก หากที่สร้างความตกตะลึงให้ทุกคนคือท่าทางผ่อนคลายตามสบายของอีกฝ่าย ราวกับความยากไม่ส่งผลกระทบต่อนางแม้สักเศษเสี้ยว
“พวกเราแพ้แน่แล้ว” ซูลั่วอีกล่าวทอดถอนใจเบาๆ
จูเหยียนเม้มปาก “จะปลุกความฮึกเหิมให้ผู้อื่นมาทำลายขวัญตนด้วยเหตุใดกัน บางทีอาจมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
ซูลั่วอียิ้มฝืดๆ “ข้าแค่พูดไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น เจ้ายังพูดเองเลยว่าฝากความหวังไว้กับปาฏิหาริย์ ทว่าการแข่งขันที่แท้ต้องอาศัยความสามารถจริงๆ เสมอ”
“เอาล่ะ พวกท่านสองคนเลิกส่งเสียงหนวกหูได้แล้ว ยกต่อไปดีไม่ดีใครสักคนในพวกเราก็ต้องลงแข่ง ถ้าแพ้ก็ขอลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าชุมนุมเองเถอะ” หลันซีหนงกล่าวเสียงเย็นชา
รู้แต่แรกนางคงบากบั่นฝึกซ้อมขว้างธนูลงคนโทแล้ว ตอนนี้ถูกชาวซีเจียงข่มรัศมีแล้วชวนให้ไม่สบอารมณ์จริงๆ
ด้านสวี่จิงหงไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ สีหน้านางเรียบเฉยทำให้ดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
หลังเจียงซือหร่านตายไป ชุมนุมฟู่ซานเหลือรองหัวหน้าชุมนุมสี่คนคือพวกนาง ทั้งสี่ต่างมีความถนัดของตน ซึ่งครอบคลุมการดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพครบทุกด้านพอดี ฉะนั้นต้องมีพวกนางคนใดคนหนึ่งลงแข่งในยกต่อไปจึงเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้ว
จูเหยียนได้ยินคำกล่าวของหลันซีหนงก็ชักตื่นเต้นขึ้นมากะทันหัน
ในบรรดาทั้งสี่คนนางเชี่ยวชาญทักษะเขียนอักษร แต่อักษรวิจิตรของนางไม่ได้ดีที่สุดในชุมนุมฟู่ซาน
เงาร่างคนผู้หนึ่งวาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของจูเหยียนทันใด
ฝีมือการเขียนอักษรของคุณหนูสามสกุลหลีเคยได้รับคำชมเชยจากซือไท่ของอารามซูอิ่งมาแล้ว
ถ้าประเดี๋ยวสุ่มจับได้คำว่า ‘อักษร’ นางสมควรทำฉันใดดี
นางไม่หวั่นเกรงความพ่ายแพ้ แต่นางกลัวแพ้ให้แก่ชาวซีเจียงแล้วทำให้หญิงสาวสูงศักดิ์ของต้าเหลียงต้องอับอายไปด้วย
“ลั่วอี ข้าคิดว่า…” จูเหยียนบีบมือซูลั่วอีเบาๆ แต่มิได้กล่าวถ้อยคำออกมา
ซูลั่วอีดูเหมือนหยั่งเดาความคิดของนางได้ จึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ดูต่อไปก่อนเถอะ”
ว่ากันถึงทักษะการเดินหมาก ใช่ว่านางเป็นคนที่เก่งที่สุดในชุมนุมฟู่ซานหรือ เด็กสาวที่ตั้งใจเดินหมากกับนางให้ผลออกมาเสมอกันได้ด้วยสีหน้าเป็นปกติผู้นั้นต่างหากถึงคู่ควรเป็นอันดับหนึ่งของชุมนุมฟู่ซาน
“ได้แต้มแล้ว พวกเราได้แต้มแล้ว” ระหว่างที่พวกนางพูดคุยกัน เซียวหว่านหลิงขว้างลูกธนูออกไปดอกหนึ่ง มีคุณหนูไม่น้อยเปล่งเสียงโห่ร้องอย่างสุดระงับ
เซียวหว่านหลิงมองลูกธนูที่วางพาดบนหูคนโทอย่างงงงัน กลางอุ้งมือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
ได้แต้มแล้วหรือนี่ นางยังไม่รู้เลยว่าขว้างออกไปได้อย่างไร
“คุณหนูเซียวไม่เลวเลย” ท่านหญิงซีเจียงแย้มปากยิ้ม
พวกคุณหนูได้ยินคำนี้แล้วลอบขุ่นเคืองใจเป็นอันมาก
กล่าวชมคนด้วยน้ำเสียงเป็นเชิงยกตนว่าฝีมือเหนือกว่าเช่นนี้ นี่ท่านหญิงซีเจียงคิดว่าตนเองต้องชนะอย่างแน่นอนแล้วสินะ
เอาเถอะ โกรธไปก็เปล่าประโยชน์ การแข่งขว้างธนูลงคนโทดำเนินมาถึงตอนนี้ ใครฝีมือดีกว่าใครก็เห็นเป็นประจักษ์แล้ว
สู้เขาไม่ได้เอง ช่างน่าโมโหดีแท้!
การประชันในยกที่สองดำเนินไปถึงตอนเหลือลูกธนูสองดอกสุดท้ายอย่างว่องไว แผ่นหลังของเซียวหว่านหลิงก็เปียกชุ่ม ปอยผมรุ่ยลงมาเปียกเหงื่อแนบติดข้างแก้มที่ซีดขาว ดูเหนื่อยล้าทรุดโทรมอยู่บ้าง
เสียงแปะดังขึ้น ลูกธนูที่นางขว้างออกไปหล่นอยู่บนพื้น
ทั่วทั้งบริเวณในงานเลี้ยงเงียบกริบ ทุกคนจ้องมองไปที่ท่านหญิงซีเจียงโดยไม่กะพริบตา ลูกธนูดอกสุดท้ายในมือนางถูกขว้างออกไป
ลูกธนูวางพาดบนหูคนโท ได้แต้มอีกแล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนี้เซียวหว่านหลิงไม่จำเป็นต้องขว้างลูกธนูดอกสุดท้ายอีก ฝ่ายต้าเหลียงเป็นฝ่ายพ่ายไปในยกที่สอง
* ดีดกลับ เสียบทแยง พาดหู เป็นวิธีการเล่นที่พัฒนาให้พลิกแพลงสนุกสนานขึ้น โดยจะเพิ่มท่าบังคับในการขว้างต่างๆ เช่น ดีดกลับคือลูกธนูพุ่งลงคนโทแล้วดีดขึ้น จากนั้นหล่นกลับลงไปอีกครั้ง เสียบทแยงคือลูกธนูเสียบเอียงๆ อยู่แถวปากคนโท ไม่หล่นลงไปถึงก้นคนโท พาดหูคือลูกธนูวางพาดอยู่บนหูคนโท