หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 630
บทที่ 630
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พระชายา…”
เซียวหว่านหลิงตะเบ็งเสียงตัดบทองค์หญิงซีเจียง “ไม่เพคะ หม่อมฉันยังขว้างไม่เสร็จ”
รอบด้านเงียบเชียบเด็กสาวตรงกลางลานพยายามยืดแผ่นหลังตรงแหน็ว
ถึงผลแพ้ชนะเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่นางจะเลิกแข่งกลางคันไม่ได้
“ขว้างต่อเถอะ” มู่หวังเฟยเอ่ยเสียงนุ่ม
เด็กสาวผู้นี้ไม่เลวเลย น่าเสียดายที่พบกับยอดฝีมือขว้างธนูลงคนโทชนิดหาตัวจับยากในรอบรัศมีพันลี้ ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ได้ก็ดีมากแล้ว ต่อให้นางอยากกล่าวโทษก็ไม่รู้ว่าเริ่มจากตรงที่ใด
เซียวหว่านหลิงกัดฟันขว้างลูกธนูดอกสุดท้ายออกไป
ได้แต้มแล้ว!
พวกคุณหนูร้องอุทานเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบน่าอึดอัด
ถ้าลูกธนูดอกที่เจ็ดได้แต้มด้วยก็คงดี น่าเสียดายเหลือเกิน
เซียวหว่านหลิงเพ่งมองลูกธนูดอกสุดท้ายที่ขว้างออกไป ในดวงตานางมีน้ำตาเอ่อคลอ
นางพยายามเต็มที่แล้วจริงๆ ขว้างลูกธนูลงคนโทได้เจ็ดในแปดดอก นี่เป็นระดับฝีมือที่นางไม่เคยทำได้มาก่อนตอนแข่งขว้างแบบ ‘พาดหู’ ในกาลก่อน
องค์หญิงซีเจียงแย้มปากยิ้ม “พวกข้าโชคดีชนะได้ยกหนึ่ง ขอบคุณที่ออมมือให้”
“องค์หญิงถ่อมตนเกินไปแล้ว การแข่งขันอาศัยฝีมือความสามารถ จะบอกว่าออมมือได้ที่ใดกัน”
องค์หญิงซีเจียงยกกาสุรามารินให้พระชายาของมู่อ๋องจนเต็มจอก แสร้งทำใสซื่อไร้เดียงสากล่าวขึ้น “ดูทีพระชายาจะดื่มสุราเก่งนะเจ้าคะ”
มู่หวังเฟยยิ้มอย่างจืดเจื่อน นางกระดกจอกดื่มรวดเดียวหมด
คนหนึ่งพ่ายแพ้ ทุกคนในฝ่ายเดียวกันต้องโดนทำโทษดื่มสุรา ฮูหยินกับคุณหนูของทุกจวนยกจอกสุราดื่มเงียบๆ เพียงรู้สึกว่าสุราวันนี้รสขมปร่าเป็นพิเศษ
“เช่นนั้นก็แข่งยกที่สามกันเถอะ” มู่หวังเฟยวางจอกเปล่าลงบนโต๊ะแล้วกล่าวเสียงเรียบ
การแข่งขว้างธนูลงคนโทยกที่สามนั้นไม่ต้องคิดถึงผลแพ้ชนะอีกแล้ว นางไม่เชื่อหรอกว่าในการดวลทักษะศาสตร์ทั้งสี่ เหล่าคุณหนูของต้าเหลียงจะเอาชนะหญิงสาวสูงศักดิ์ของซีเจียงไม่ได้ อีกประเดี๋ยวจะต้องล้างอายจากการเสียเชิงในตอนนี้ได้อย่างแน่นอน
หนนี้เป็นทีเซียวหว่านหลิงสุ่มไม้ติ้วบ้าง ถึงเวลานี้เด็กสาวข้ามผ่านความตึงเครียดไปแล้วเหลือเพียงความรู้สึกด้านชา นางล้วงมือลงไปในโถหยิบม้วนกระดาษยื่นให้สาวใช้
นางกำนัลคลี่เปิดออกแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ แม้แต่น้ำเสียงยังแปร่งเพี้ยนไป “หันหลังขว้าง”
ที่เรียกว่า ‘หันหลังขว้าง’ ก็คือผู้แข่งขว้างลูกธนูโดยหันหลังให้คนโท เป็นวิธีการเล่นที่ยากที่สุดในบรรดาท่าบังคับทั้งหมด
เซียวหว่านหลิงทำได้เพียงยิ้มฝืดๆ นี่นางดวงตกอย่างเหลือเชื่อจริงๆ ถึงกับสุ่มจับได้ท่าบังคับหันหลังขว้าง
“เชิญคุณหนูเซียวก่อน” สีหน้าของท่านหญิงซีเจียงนิ่งเฉยดุจเก่า
เซียวหว่านหลิงหันหลังไป นางกำลูกธนูในมือนานครู่ใหญ่ถึงยกมือขว้างออกไป
เสียงของหล่นลงดังแปะ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจด้วยความเสียดายของเหล่าคุณหนูต้าเหลียง
ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าลูกธนูดอกนี้ตกอยู่นอกคนโท
ท่านหญิงซีเจียงเห็นดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้น นางหันหลังให้คนโทแล้วขว้างลูกธนูข้ามศีรษะไปทางด้านหลัง
“ขว้างลงแล้ว!” คนด้านนอกลานแข่งร้องอุทานอย่างตกตะลึง
เซียวหว่านหลิงกัดริมฝีปาก นางหยิบลูกธนูดอกที่สองออกมา
ท่านหญิงซีเจียงพลันปริปากพูด “คุณหนูเซียวไม่ต้องขว้างอีกแล้ว”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้นพวกคุณหนูของต้าเหลียงรวมถึงเซียวหว่านหลิงอึ้งงันไปตามๆ กัน
ท่านหญิงซีเจียงกล่าวคำนี้หมายความว่าอะไร
นางคลี่ยิ้ม “ในเมื่อคุณหนูเซียวขว้างลูกธนูดอกแรกไม่ลงคนโทก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาแล้ว”
เมื่ออิงน่าพูดอย่างนี้ทุกคนก็ฟังเข้าใจแล้ว บันดาลให้สายตาที่มองไปทางนางแฝงรอยโทสะกรุ่นๆ
ท่านหญิงซีเจียงออกจะดูแคลนกันเกินไป
“อิงน่า รีบขว้างเถอะ” องค์หญิงซีเจียงอมยิ้มเอ่ยขึ้น
ท่านหญิงซีเจียงพยักหน้าแล้วขว้างลูกธนูในมือออกไปทีละดอกติดต่อกันจนหมด นางขว้างลงคนโทได้ทั้งแปดดอก
“ข้าแพ้แล้ว” ครู่ใหญ่ต่อมาเซียวหว่านหลิงซึ่งใบหน้าซีดเผือดโค้งคำนับให้ท่านหญิงซีเจียงแล้วเดินออกจากลานแข่งเงียบๆ
“เริ่มการประชันรอบที่สองเถอะ” มู่หวังเฟยไม่อยากให้ความรู้สึกคับข้องใจเช่นนี้แผ่กระจายออกไป นางดื่มสุราจอกหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นโดยไม่รอช้า
องค์หญิงซีเจียงกลอกดวงตาคู่งามไปมา “งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกรา พวกเราคงแข่งขันกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้ พระชายาเห็นว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเราก็ใช้กฎชนะสามในห้าเถอะ ถ้าชนะแบบสองในสาม ทักษะที่ประชันกันจะน้อยเกินไป ไม่ใคร่เหมาะสม”
ถึงเวลานี้แล้วมู่หวังเฟยไม่อาจโต้แย้งได้
ชนะแบบสองในสามไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายต้าเหลียงเกินไป เพราะต้าเหลียงแพ้ไปแล้วรอบหนึ่ง ถ้าแพ้ในรอบที่สองอีกการแข่งขันจะยุติลงทันที
ไม่ว่าพินิจจากมุมใดชนะแบบสามในห้าล้วนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ด้านองค์หญิงซีเจียงก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องไม่คัดค้าน นางลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง ชนะแค่สองรอบก็รู้ผลแพ้ชนะจะน่าเบื่อเกินไป ต้องชนะแบบสามในห้าถึงจะทำให้ชาวต้าเหลียงพวกนี้ยอมศิโรราบทั้งกายใจ
“หนนี้เชิญพระชายาจับไม้ติ้วเถอะ”
มู่หวังเฟยฝืนรักษารอยยิ้มเยือกเย็นไว้ขณะเขย่ากระบอกไม้ติ้ว
ไม้ติ้วแท่งหนึ่งหล่นออกมา บนนั้นเขียนคำว่า ‘ร่ายรำ’
นางหน้าเสียไปเล็กน้อย
มาตรว่าต้าเหลียงมิได้มองว่าการร้องรำทำเพลงเป็นของชั้นต่ำ แต่เหล่าสตรีสูงศักดิ์เคร่งครัดการรักษากิริยาให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีคนที่พากเพียรฝึกฝนการร่ายรำแต่วัยเยาว์แทบนับนิ้วได้
จะว่าไปแล้วนางรำชื่อดังที่สุดของต้าเหลียงต้องยกให้ลี่ผินพระมารดาขององค์หญิงเก้า เผอิญว่าองค์หญิงเก้าเห็นความเป็นมาของมารดาเป็นข้อต้องห้าม ทั้งที่มีรูปโฉมและสรีระงดงามล้ำเหลือกลับไม่สนใจการร่ายรำแม้แต่น้อยนิด
นางจะเชิญลี่ผินมาประชันกับหญิงสาวสูงศักดิ์ของซีเจียงคงไม่ได้กระมัง ประเดี๋ยวจะโดนฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาของพระสวามีตีตายภายหลัง
มู่หวังเฟยลอบหนักอกหนักใจ ส่วนพวกคุณหนูของต้าเหลียงก็อึดอัดใจไม่ต่างกัน มีหลายๆ คนอดต่อว่าต่อขานในใจไม่ได้ว่า พระชายามือไม่ขึ้นเอาเสียเลย ไฉนจำเพาะต้องจับได้ทักษะร่ายรำด้วยเล่า!
การร่ายรำก็ประชันกันสามยกเหมือนการขว้างธนูลงคนโท
ยกที่หนึ่งจับไม้ติ้วเลือกว่าร่ายรำอะไรจากประเภทต่างๆ ได้แก่ รำกระบี่ ระบำชาวหู ระบำกลอง เป็นต้น โดยสองฝ่ายจะร่ายรำแบบเดียวกัน คนที่โดดเด่นกว่าเป็นผู้ชนะ
ยกที่สองเป็นการจับไม้ติ้วเหมือนกัน แต่ต่างจากยกแรกคือจะเขียนคำสั่งเช่นว่าดอกไม้บานเดือนกระจ่าง ผีเสื้อผกผินบินว่อนอะไรทำนองนี้แล้วใส่ในโถ ถ้าจับได้คำว่า ‘ผีเสื้อ’ เช่นนั้นการร่ายระบำของคนที่ทั้งสองฝ่ายส่งลงมาแข่งจะต้องเกี่ยวข้องกับผีเสื้อ
ยกที่สามให้ทั้งสองฝ่ายระบำที่ตนเองถนัดที่สุด คนที่โดดเด่นกว่าเป็นผู้ชนะ
การประชันรอบที่สองเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าพวกหลันซีหนงไม่มีแก่ใจชมดูอีก
“อันว่าผู้ประสงค์ร้ายวางอุบายคนที่ไม่ระวังป้องกัน รอบนี้พวกเราไม่มีทางชนะอยู่แล้ว” ซูลั่วอีพูดอย่างตรงไปตรงมา
นี่มิใช่หมายความว่าต้าเหลียงไม่มีหญิงสาวที่โดดเด่นในเชิงร่ายรำ เพียงแต่พวกนางไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงแห่งนี้ แต่ฝ่ายซีเจียงต้องพาสตรีที่ร่ายรำได้ดีเด่นที่สุดมาด้วยอย่างแน่นอน
ฝ่ายหนึ่งฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี ฝ่ายหนึ่งมาร่วมงานเลี้ยงโดยไม่ได้เตรียมตัวสักนิด ขอถามสักหน่อยว่าหญิงสาวต้าเหลียงจะเอาชนะได้เช่นไรเล่า
พวกคุณหนูหลายๆ คนที่มีสติปัญญาหลักแหลม ขบคิดสายสนกลในของเรื่องนี้ได้ทะลุปรุโปร่งแต่แรก
เพราะว่ามองได้ปรุโปร่งแล้วนี่เอง พวกนางจึงยิ่งแจ่มแจ้งว่าไม่ต้องเอ่ยถึงการแข่งรอบที่สอง การแข่งอีกสามรอบหลังจากนี้ล้วนเป็นศึกหนักทั้งสิ้น
แล้วในการแข่งดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพอันเป็นศาสตร์ทั้งสี่ที่พวกนางมั่นใจว่าไม่มีทางพ่ายแพ้เหล่านี้จะไม่เกิดความผิดพลาดโดยสิ้นเชิงจริงๆ ใช่หรือไม่
จูเหยียนอ้าปากพูดเสียงอ่อยๆ “ถ้าหากว่า…รอบนี้แพ้อีก หลังจากนี้พวกเราต้องชนะสถานเดียว แพ้ไม่ได้”
ในสถานการณ์ที่พ่ายแพ้ไปก่อนสองรอบและจำเป็นต้องชนะรวดในสามรอบหลัง พวกนางจะทำได้หรือไม่
“ดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพคนใดแพ้คนนั้นก็ถอนตัวออกจากชุมนุมฟู่ซาน” หลันซีหนงกล่าวเน้นเสียงหนักอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ซูลั่วอีมองนางปราดหนึ่งอย่างเฉยชาแล้วกล่าวทอดถอนใจ “เชิญคุณหนูหลีมาเถอะ”
“คุณหนูหลี?” หลันซีหนงมุ่นคิ้ว
ชื่อนี้หาได้แปลกหูไม่ หากแต่คุ้นเคยเกินไปต่างหาก เพราะคนผู้นี้คือตัวเอกในข่าวลือซุบซิบนินทาไม่เว้นแต่ละวัน นางได้ยินได้ฟังจนเอือมระอา
“คุณหนูหลีมีฝีมือเดินหมากสูงกว่าข้ามิใช่เพียงขั้นเดียว” ซูลั่วอีกล่าวยอมรับอย่างเปิดเผย
จูเหยียนพูดตามทันที “ทักษะการเขียนอักษรของคุณหนูหลีดีกว่าข้า เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้กันดี คุณหนูหลีเป็นคนแรกในรอบหลายปีมานี้ที่ซือไท่ของอารามซูอิ่งเรียกตัวไปพบเพราะฝีมือเชิงอักษรวิจิตร”
“ข้าไม่มีความเห็น” สวี่จิงหงอ้าปากพูดเป็นคำแรก
หลันซีหนงกระตุกมุมปาก “เช่นนั้นจะมัวรอช้าอยู่ไย ไปเชิญนางมา!”