หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 631
บทที่ 631
ครั้นเห็นหลันซีหนงออกคำสั่งให้สาวใช้ไปเชิญเฉียวเจา จูเหยียนกล่าวท้วงขึ้น “พวกเราไปเชิญไม่เหมาะ”
“หือ?” หลันซีหนงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงฉงนใจน้อยๆ
จูเหยียนลอบถอนใจเฮือก
หลันซีหนงเป็นหลานสาวของสมุหราชเลขาธิการคนปัจจุบัน เกรงว่าไม่เคยโดนกดขี่ข่มเหงมาก่อน เป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจว่าการรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นทำอย่างไร
นางเอ่ยอธิบาย “นี่เป็นงานเลี้ยงที่มู่หวังเฟยเป็นเจ้าภาพ พวกเราถือวิสาสะไปเชิญเอง พอคุณหนูหลีมาแล้วออกจะกระอักกระอ่วนเกินไป ให้พระชายาทรงออกหน้าจะดีที่สุด”
หลันซีหนงเป็นคนเด็ดขาดในด้านนี้เป็นอันมาก ฟังจูเหยียนกล่าวเช่นนี้แล้วนางลุกขึ้นทันที “ข้าไปทูลพระชายา”
เพราะการร่ายรำต้องใช้เวลาเตรียมตัว มู่หวังเฟยกำลังใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เมื่อได้ยินนางกำนัลบอกว่าคุณหนูหลันมีเรื่องมาพบ นางก็กล่าวขอตัวกับองค์หญิงซีเจียงแล้วลุกออกไป
“คุณหนูหลันมีเรื่องใดหรือ” เมื่ออยู่ต่อหน้าหลันซีหนง ถึงมีฐานะสูงศักดิ์เฉกพระชายาท่านอ๋องก็มีท่าทีสุภาพนุ่มนวลเช่นกัน
“การประชันหลังจากนี้พวกเราต้องชนะสถานเดียว แพ้ไม่ได้เพคะ”
มู่หวังเฟยหัวเราะฝืดๆ “ใช่น่ะสิ”
นางรู้เหมือนกันว่าต้องชนะสถานเดียวแพ้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงต้องอับอายขายหน้ายกใหญ่แล้ว แต่ว่าคุณหนูหลันมาพูดเรื่องนี้กับนางด้วยเหตุใด
การประลองความสามารถล้วนเป็นพวกเด็กสาววัยเยาว์ลงแข่งขันกัน คงจะให้พระชายาผู้หนึ่งอย่างนางลงไปเต้นแร้งเต้นกาด้วยไม่ได้กระมัง
“พวกหม่อมฉันอยากเชิญคนผู้หนึ่งมาช่วยเหลือเพคะ” ตอนกล่าวประโยคนี้หลันซีหนงตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง
ต้องโทษซูลั่วอีกับจูเหยียนที่ถอดใจก่อน หากพวกนางกล้าพูดว่าทักษะในเชิงเขียนอักษรกับเดินหมากของตนไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ ไฉนต้องไปเชิญคนอื่นอีกเล่า
มู่หวังเฟยอึ้งงันไปเล็กน้อย “คุณหนูหลันอยากเชิญใครมาช่วยหรือ”
“มิใช่หม่อมฉันเชิญเพคะ แต่เป็นพวกของหม่อมฉัน” หลันซีหนงกล่าวแย้งถ้อยคำของมู่หวังเฟย “พวกหม่อมฉันอยากเชิญคุณหนูสามของจวนอาลักษณ์หลีแห่งสำนักราชบัณฑิตมาช่วยเหลือเพคะ”
“คุณหนูสามสกุลหลี?” นัยน์ตาของมู่หวังเฟยมีแววประหลาดใจจุดขึ้นวูบหนึ่ง “คู่หมั้นของกวนจวินโหวหรือ”
หลันซีหนงนึกหงุดหงิดกับการซักไซ้ของมู่หวังเฟย นางกล่าวเสียงเฉยเมยว่า “หากมู่หวังเฟยทรงไม่ส่งคนไปเชิญอีกเกรงว่าจะไม่ทันการนะเพคะ ตามกฎชนะสามในห้า การแข่งขันสามรอบหลังพวกเราจะพลาดท่าไม่ได้สักรอบเดียว”
“ตกลง ข้าส่งคนไปเชิญเอง” มู่หวังเฟยสะกดความประหลาดใจไว้แล้วตอบตกลง
ในเมื่อพวกแม่เด็กน้อยชุมนุมฟู่ซานกล่าวอย่างนี้แล้ว นางไม่จำเป็นต้องคัดค้านแน่นอน ไม่อย่างนั้นสุดท้ายพอพ่ายแพ้แล้วปัดความรับผิดชอบมาให้นางคนเดียวก็จะดูไม่งามเลย
เพลานี้เฉียวเจาเก็บตัวอยู่ในห้องนอนหลับชดเชยอยู่
น่าจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงร่างกายกำลังยืดสูง พักนี้เฉียวเจากินอาหารได้มากขึ้นและมักง่วงงุนบ่อยๆ
“มู่หวังเฟยเชิญข้าไปร่วมงานเลี้ยง?” ได้ยินอาจูรายงานว่าพระชายาของมู่อ๋องส่งคนมา เฉียวเจาก็รีบสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วไปที่โถงรับรอง
นับแต่หมั้นหมายกับเซ่าหมิงยวน สถานะของเฉียวเจาในสายตาคนภายนอกเปรียบดั่งน้ำขึ้นเรือลอยสูงตาม พระชายาของมู่อ๋องถึงกับส่งนางกำนัลคนสนิทซึ่งเป็นผู้ดูแลวังมาเชิญโดยเฉพาะ
ผู้ดูแลวังเห็นเฉียวเจาในขณะนี้ ก็พินิจดูนางอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกตแล้วลอบคลางแคลงใจไม่หยุด
แม้ว่าคุณหนูสามสกุลหลีท่านนี้จะแต่งกายเหมาะสม กิริยามารยาทก็หาที่ติไม่ได้ แต่ไม่อาจตบตาผู้มีสายตาเฉียบคมเช่นนางได้
คุณหนูสามสกุลหลีเพิ่งตื่นนอนชัดๆ
จุๆ นี่เป็นเวลาอะไรแล้ว สตรีวัยสาวนางหนึ่งกลับยังนอนหลับอยู่อีก ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
สตรีอย่างนี้จะสามารถเอาชนะหญิงสาวสูงศักดิ์ของซีเจียงพวกนั้นได้จริงๆ หรือ
นางตั้งคำถามด้วยความกังขาอย่างมาก
กระนั้นมิไยว่าในใจนางจะคิดเห็นเช่นไร หน้าที่ของสาวใช้ผู้ดูแลวังคือเชิญคนไปให้ได้
“คุณหนูสามต้องไปให้ได้นะเจ้าคะ พระชายาของข้ากับพวกคุณหนูในชุมนุมฟู่ซานล้วนตั้งตารอคอยอยู่”
เฉียวเจาฟังแล้วรู้สึกไม่ปกติอยู่สักหน่อย แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า นางเอ่ยเสียงนุ่ม “มามาจะบอกให้ชัดเจนได้หรือไม่เจ้าคะ”
ผู้ดูแลวังรีบเล่าความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด ตอนพูดว่าองค์หญิงซีเจียงสบประมาทต้าเหลียง นางทำท่าเป็นเดือดเป็นแค้นเป็นพิเศษ
“ตกลง ข้าจะตามมามาไปเดี๋ยวนี้เลย” เฉียวเจาตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจ
หากเป็นเพียงการประชันขันแข่งระหว่างพวกเด็กสาวนางย่อมไม่สนใจ แต่เมื่อเป็นการต่อสู้แข่งขันระหว่างแคว้นซึ่งเกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีของต้าเหลียง นางในฐานะชาวต้าเหลียงผู้หนึ่งย่อมต้องทำเพื่อแผ่นดินอย่างปฏิเสธไม่ได้
ตอนเฉียวเจารุดไปถึงการประชันรอบที่สองดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว
จริงอยู่ว่าในหมู่คุณหนูของต้าเหลียงจะมีคนที่ร่ายรำได้โดดเด่น แต่ยังคงพ่ายให้แก่หญิงสาวสูงศักดิ์ของซีเจียงที่ได้ฝึกฝนมาเป็นเวลานานอย่างเห็นได้ชัด
หลังพ่ายแพ้ติดๆ กันสองรอบ บรรดาฮูหยินกับคุณหนูของฝ่ายต้าเหลียงเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว
แต่ไรมาพวกนางล้วนลำพองใจว่าชาวซีเจียงเรียนรู้วัฒนธรรมแขนงนี้ไปจากต้าเหลียง จึงสมควรนับต้าเหลียงเป็นอาจารย์ ทว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ศาสตร์และศิลป์ซึ่งพวกนางถือเป็นความภาคภูมิใจเหล่านี้กลับถูกอีกฝ่ายล้ำหน้าไปแล้ว
นี่ไม่เพียงทำให้ยอมรับไม่ได้ ยังเป็นความอัปยศอดสูมากพอดู
เฉียวเจาเข้าไปหาพวกจูเหยียนอย่างเงียบๆ ท่ามกลางบรรยากาศน่าสลดหดหู่เฉกนี้
“คุณหนูหลีซาน ท่านมาได้เสียที” จูเหยียนยิ้มบางๆ ดึงตัวนางนั่งลง จากนั้นเล่าสถานการณ์ในขณะนี้อย่างละเอียด
“ก่อนหน้านี้แข่งขว้างธนูลงคนโทสามยก ฝ่ายต้าเหลียงเราเสมอหนึ่งแพ้สองเลยพ่ายไปในรอบแรก การแข่งขันร่ายรำตอนนี้สองยกแรกชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง ในยกที่สามนี้ดูท่าทางฝ่ายเราคงแพ้แล้ว หลังจากนั้นยังมีการประชันอีกสามรอบ ถ้าพวกเรายังแพ้อีกก็จบสิ้นแล้ว”
เฉียวเจาผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจแล้ว นางทอดสายตามองไปในลานแข่ง
หญิงสาวสูงศักดิ์ของซีเจียงตรงกลางลานสะบัดแขนเสื้อยาวเฟื้อยบางพลิ้วขึ้นกลางอากาศแล้วตีลังกากลับหลังซึ่งมีความยากมากพอสมควรเป็นท่าจบ
หลังจากความเงียบที่ชวนให้อึดอัด มู่หวังเฟยตบมือเบาๆ ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “สตรีสูงศักดิ์ของแคว้นท่านร่ายรำได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
“คงต้องให้มู่หวังเฟยดื่มสุราอีกแล้ว” องค์หญิงซีเจียงยิ้มตาพริ้มกล่าวขึ้น
มู่หวังเฟยถือจอกสุราในมือพลางหัวเราะ นางกระดกดื่มรวดเดียวหมด
องค์หญิงซีเจียงปิดปากยิ้ม “ไม่ทราบว่ามู่หวังเฟยคอแข็งเพียงใด หลังจากนี้ยังมีการประชันอีกสามรอบนะเพคะ”
รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่หวังเฟยนิ่งค้างไป ไฟโทสะลุกโชนขึ้นตรงกลางอกระลอกหนึ่ง
องค์หญิงซีเจียงผู้นี้กำเริบเสิบสานเกินไปแล้วจริงๆ
“บางทีหลังจากนี้อาจไม่ต้องดื่มแล้วก็เป็นได้นะ” มู่หวังเฟยเอ่ยเสียงราบเรียบ
องค์หญิงซีเจียงหัวร่อคิกคัก ยามเสียงหัวเราะปานระฆังเงินดังลอยไปกระทบหูเหล่าคุณหนูและฮูหยินของต้าเหลียง พวกนางเพียงรู้สึกบาดหูสุดจะเปรียบ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจับไม้ติ้วกันต่อเถอะ” องค์หญิงซีเจียงไม่ยี่หระต่อสายตาที่อยากเอาชีวิตนางใจจะขาดเหล่านั้น เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย
ไม้ติ้วหล่นจากกระบอก บนนั้นเป็นอักษรคำว่า ‘พิณ’
พวกคุณหนูของต้าเหลียงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วพากันหันไปมองสวี่จิงหง
นางมีทักษะดีดพิณดีเยี่ยมจนเป็นที่กล่าวขวัญถึงในหมู่สตรีสูงศักดิ์
สวี่จิงหงเหลือบเปลือกตาขึ้นตั้งท่าจะลุกขึ้นยืน องค์หญิงซีเจียงก็ลุกขึ้นก่อน “อย่างนี้เถอะ ข้าพอจะมีฝีมือด้านดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพอย่างผิวเผิน การประชันสามรอบหลังก็ขอให้ข้ารับศึกเอง มู่หวังเฟยให้เหล่าสตรีสูงศักดิ์ของแคว้นท่านส่งตัวคุณหนูคนหนึ่งมาแลกเปลี่ยนวิชากับข้าได้ แน่นอนว่าถ้าไม่มีผู้เหมาะสม ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนลองดูได้”
ถ้อยคำนี้เรียกเสียงเซ็งแซ่ดังขรมไปทั้งงาน
นี่เท่ากับว่าองค์หญิงซีเจียงใช้ตัวนางคนเดียวท้าทายสตรีสูงศักดิ์ทั้งแคว้นต้าเหลียง
หากฝ่ายต้าเหลียงไม่มีใครก้าวออกมารับคำท้าคนเดียวอย่างนี้ ถึงเอาชนะการประชันในสามรอบหลังได้อย่างฉิวเฉียดก็เป็นชัยชนะที่ไร้ความชอบธรรม แต่ถ้าพ่ายแพ้ก็ยิ่งอับอายขายหน้าจนสิ้น
“คุณหนูสวี่ ท่านไหวหรือไม่” โค่วจื่อโม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ สวี่จิงหงกระซิบถาม
“หากเป็นทักษะดีดพิณอย่างเดียว ข้าไม่เกรงใครหน้าไหน”
ความหมายของคำกล่าวนี้คือด้านอื่นๆ ก็บอกได้ยากแล้ว
“คุณหนูหลีซาน ไม่ทราบฝีมือดีดพิณของท่านเป็นอย่างไร” จูเหยียนถามเสียงเบาๆ
นางไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูหลีซานดีดพิณเป็น
เฉียวเจามองพวกจูเหยียนปราดหนึ่ง “ทุกท่านเชิญข้ามาก็เพราะคำท้าทายของชาวซีเจียงกระมัง”
พวกนางพยักหน้า
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ในเมื่อพี่น้องทุกท่านไว้วางใจในตัวข้า เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังเป็นแน่”