หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 633
บทที่ 633
เฉียวเจาสาธยายเรื่องพิณเหยาไปยกหนึ่งทำให้คุณหนูทั้งหลายมีจิตใจฮึกเหิมไปตามๆ กัน พอนางเปล่งเสียงถามขึ้นมีคุณหนูไม่น้อยพากันเสนอให้ยืมพิณทันที
จังหวะนี้เองสวี่จิงหงลุกขึ้นยืน “ข้านำพิณมาด้วย คุณหนูหลีใช้ของข้าเถอะ”
นางกล่าวจบแล้วทำมือบอกสาวใช้ สาวใช้ก็หอบพิณเหยาเข้ามา
สวี่จิงหงยื่นมือไปรับไว้แล้วหอบไว้ในอ้อมแขนก่อนเดินไปหาเฉียวเจาด้วยตนเอง
ผู้ที่คุ้นเคยกับนางต่างมีสีหน้าตื่นตะลึง
คุณหนูสวี่รักพิณเป็นชีวิตจิตใจ พิณคันที่นางใช้เป็นประจำ นอกจากสาวใช้ซึ่งถูกเลือกไว้แล้ว กระทั่งสหายสนิทก็ห้ามแตะต้อง ตอนนี้นางถึงกับเต็มใจให้คุณหนูหลีซานยืมใช้
แต่เมื่อคิดกลับอีกที ในเวลาอย่างนี้สำหรับสตรีสูงศักดิ์ต้าเหลียงเช่นพวกนาง ของรักของหวงจะสำคัญเท่าศึกแห่งเกียรติยศได้เช่นไร
ขอเพียงต้องการพวกนางคนใดก็ตามต้องช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแน่นอน
สวี่จิงหงก้าวเท้าไปหยุดเบื้องหน้าเฉียวเจา ยื่นพิณส่งให้ด้วยท่าทางขึงขังจริงจัง “คุณหนูหลี ข้าเอาใจช่วยท่าน”
เฉียวเจารับไว้แล้วกล่าวเสียงขรึม “ข้าจะไม่ทำให้คุณหนูสวี่ต้องผิดหวังแน่”
นางวางพิณบนโต๊ะแล้วกรีดนิ้วไปตามสายเบาๆ เสียงพิณใสเย็นดังกังวานเสนาะหู นางอดหันไปมองสวี่จิงหงไม่ได้ “เสียงพิณคล้ายเสียงเคาะน้ำแข็งในคืนหิมะตก ละม้ายเสียงตีกังสดาลกลางผืนน้ำค้างแข็ง พิณนี้มีชื่อเรียกว่าปิงชิง”
สวี่จิงหงอึ้งไปชั่วอึดใจก่อนพยักหน้า สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของนางถึงกับเผยรอยยิ้มบางๆ “ถูกต้อง”
ถึงตอนนี้นางวางใจได้เต็มที่แล้ว นางเชื่อมั่นว่าคุณหนูหลีมีระดับฝีมือในเชิงพิณไม่ด้อยไปกว่านาง
เมื่อสวี่จิงหงถอยออกจากลานแข่ง เฉียวเจามองไปทางองค์หญิงซีเจียง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงมีพระประสงค์จะประลองเช่นไรเพคะ”
องค์หญิงซีเจียงอยากเริ่มประชันใจจะขาดแต่แรกแล้ว
เมื่อครู่ฝ่ายตนโดนฝ่ายตรงข้ามข่มรัศมีซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ชวนให้ขุ่นเคืองคับใจอย่างยิ่ง
ก่อนออกจากแคว้นซีเจียงฮ่องเต้ซึ่งเป็นเสด็จพี่ใหญ่ของนางสั่งกำชับนางกับเสด็จพี่รองไว้ว่าการเดินทางมาแคว้นต้าเหลียงคราวนี้ ถวายเครื่องราชบรรณาการเป็นข้ออ้าง จริงๆ แล้วจะสืบดูสถานการณ์ภายในต้าเหลียง
กระนั้นหมายจะหยั่งดูแสนยานุภาพของแคว้นแคว้นหนึ่ง วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือท้าทายศักดิ์ศรีของพวกเขา ดูว่าขีดจำกัดอยู่ตรงใด หากชาวต้าเหลียงอดทนข่มกลั้นยอมถอยให้ไม่หยุด เท่านี้ก็บอกชัดแล้วว่าต้าเหลียงโดนเป่ยฉีกับวอโค่วตีกระหนาบสองด้านจนแสนยานุภาพอ่อนแอง่อนแง่นเจียนล้มมิล้มแหล่ เช่นนั้นซีเจียงของพวกนางก็คอยจังหวะรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
ทั้งสองแคว้นมีธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกัน วิถีความเป็นอยู่ก็ใกล้เคียงกัน อาศัยอะไรให้ซีเจียงของพวกนางต้องทนอยู่ในดินแดนคับแคบอัตคัดกันดารทางทิศตะวันตกอย่างนั้น ในขณะที่ต้าเหลียงได้ครอบครองพื้นดินอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาล
เสด็จพี่ใหญ่ต่างจากเสด็จพ่อ เสด็จพ่อประชวรกระเสาะกระแสะไม่หลงเหลือปณิธานอันยิ่งใหญ่มานานแล้ว แต่เสด็จพี่ใหญ่กลับปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นพญาอินทรี
ขอเพียงเสด็จพี่ใหญ่ต้องการยึดครองต้าเหลียง นางเป็นองค์หญิงซีเจียงก็พร้อมจะช่วยเหลือสุดแรงกำลัง
องค์หญิงซีเจียงมีความเป็นอยู่สุขสบายเทียบเท่าองค์หญิงต้าเหลียงที่ใดกันเล่า
นางยังลืมครั้งแรกที่เห็นพี่สะใภ้กินอาหารเช้าไม่ลง มีอาหารวางเรียงรายมากมายที่นางไม่เคยได้ยินได้เห็น พรั่งพร้อมละลานตาเสียยิ่งกว่าโต๊ะเลี้ยงฉลองคืนวันสิ้นปี
พี่สะใภ้คีบอาหารว่างที่นางมองซ้ำๆ ให้แล้วบอกนางว่านั่นคือเปาะเปี๊ยะแป้งใสยวนยาง* ยามนั้นนางก็หมายมั่นอยู่ในใจแล้วว่านางจะเป็นองค์หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า วันหน้าจะต้องไม่มีคนชี้ไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วบอกนางว่ามันคืออะไรอีก!
องค์หญิงซีเจียงยืดตัวตรง ส่งยิ้มน้อยๆ ให้เฉียวเจา “ตอนข้าเริ่มหัดดีดพิณเหยา อาจารย์บอกกับข้าว่าพิณเป็นเสียงจากใจ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดหาใช่ทักษะไม่ หากแต่สามารถกระทบใจคนได้ พวกเราก็ต่างคนต่างดีดบทเพลงหนึ่งตามใจชอบ ผู้ใดสร้างความประทับใจให้คนในงานเลี้ยงได้ก็ถือว่าชนะ คุณหนูหลีเห็นเป็นอย่างไร”
ถ้อยคำเดิมของอาจารย์สอนวิชาพิณคือ ‘องค์หญิงทรงมีนิ้วมือป้อมสั้น เกรงว่าในด้านทักษะฝีมือนั้นยากจะก้าวหน้าไปถึงขั้นสูงสุดได้ แต่บางทีอาจถ่ายทอดอารมณ์ลงสู่ท่วงทำนองพิณได้’
ตอนนั้นนางได้ยินแล้วว่าโมโหเจียนคลั่งตายเลยทีเดียว
ถึงกับบอกว่านิ้วมือนางป้อมและสั้นหรือ!
นางโกรธจัดจนเปลี่ยนอาจารย์ไปถึงสองคนก็ยังให้ความเห็นเป็นแบบเดียวกัน นางจึงกระจ่างแจ้งว่าพรสวรรค์มีอยู่เท่านี้ ยากจะแข็งขืนต่อไปอีกได้ นับแต่นั้นมานางก็มุ่งไปทางสื่ออารมณ์ถึงใจคน หลังพากเพียรฝึกฝนอยู่นานสิบปีเศษก็ประสบผลสำเร็จในที่สุด
บทเพลงพิณที่นางดีดบรรเลงสามารถทำให้ผู้ฟังโศกเศร้า ผู้ที่ได้ยินต้องหลั่งน้ำตา
“ในเมื่อองค์หญิงทรงอยากให้เป็นการสื่ออารมณ์ถึงใจคน เช่นนั้นข้าจะร่วมประชันด้วยความยินดีเพคะ”
“ดี ข้าขอเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน” หนนี้นางไม่เกรงใจอีกต่อไป ทรุดกายลงนั่งข้างโต๊ะพิณเลย
ในเมื่อจะสื่ออารมณ์ถึงใจคน คนดีดก่อนก็ได้เปรียบ พอเสียงพิณของนางทำให้คนในงานเลี้ยงรู้สึกหมองเศร้า หากอีกฝ่ายดีดเพลงโศกเหมือนกันก็จะตกเป็นรองแล้ว แต่ถ้าบรรเลงทำนองอื่น จะเปลี่ยนอารมณ์ของผู้ฟังใช่ว่าจะง่ายดายปานนั้น
เสียงพิณดังขึ้นประหนึ่งสายพิรุณสารทฤดูเริ่มโปรยปรายลงมา ครั้นจังหวะรัวกระชั้นขึ้นทุกคนคล้ายมองเห็นใบกล้วยที่ค่อยๆ แห้งโรยทีละน้อยไหวสั่นระริกตามแรงฝนซัดสาด ต่อมาใบกล้วยสีน้ำตาลนั่นก็แห้งกรอบเป็นสีดำไปทั้งใบอย่างช้าๆ
เสียงพิณเริ่มทุ้มนุ่มอ้อยส้อย สตรีในห้องหอเปิดหน้าต่างออก เหม่อมองใบกล้วยที่โรยราจากเย็นย่ำถึงฟ้าสาง
พลันนั้นเสียงพิณเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็วคึกคัก
หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา หวนประหวัดถึงช่วงเวลาอันงดงามเมื่อครั้งเยาว์วัยกับชายหนุ่มคนรัก
ยามนั้นเป็นสหายที่เติบโตมาด้วยกัน จิตใจของสองเด็กน้อยแสนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เขากับนางแอบเกี่ยวก้อยสัญญาครองคู่กันจนผมหงอกขาว
เมื่อเสียงพิณเปลี่ยนท่วงทำนอง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าสายตาผู้คนก็แปรเปลี่ยนตาม
รอยยิ้มร่าเริงในวัยเยาว์ลบเลือนหายไป ชายหนุ่มคนรักตบแต่งหญิงอื่นเป็นภรรยา ทิ้งให้นางเศร้าสร้อยกับภาพความทรงจำเพียงลำพัง…
มีคุณหนูแอบเช็ดน้ำตาแล้วหันไปเอ่ยกับสหายรักข้างกายอย่างขุ่นเคืองใจ “ข้า…ข้าไม่ได้อยากร้องไห้นะ ใครจะรู้ว่าจะกลั้นไม่อยู่”
สหายรักของนางก็หดหู่ใจดุจเดียวกัน “ข้าฟังเสียงพิณนี้แล้วรู้สึกหนักๆ หน่วงๆ ในใจเช่นกัน เหมือนกับนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่ไม่สบายใจขึ้นมาได้หมด ไม่รู้ว่าคุณหนูหลีซานจะสู้ได้อย่างไร”
ขณะพวกนางพูดคุยกัน จู่ๆ มีเสียงพิณดังกระหึ่มขึ้น คลับคล้ายดวงตะวันสีทองพลันโผล่พ้นเหนือขอบฟ้าไกลๆ ลอยเคลื่อนขึ้นแหวกฝ่าผืนเมฆสีดำและม่านฝนพรำ ฉายแสงอาบไล้ไปทั่วพื้นพสุธา
ลำแสงนี้สาดส่องมาอย่างกะทันหันและสว่างจ้าแยงตาเหลือเกิน ถึงกับทำให้คนในงานเลี้ยงยกมือขึ้นป้องตาอย่างห้ามไม่อยู่เพื่อมิให้ตาพร่าเพราะแสงอาทิตย์อันเจิดจรัสนี้
เสียงพิณเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองผ่อนคลายสบายๆ ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามแต่งแต้มด้วยริ้วเมฆ ถึงแจ่มแจ้งในบัดดลว่านี่มิใช่ปลายฤดูใบไม้ร่วงที่หดหู่ซึมเซา
ต้นฤดูใบไม้ร่วงใกล้มาถึง ท้องฟ้าสูงลิบแผ่นดินกว้างขวาง
หญิงสาวที่พิงหน้าต่างร่ำไห้อย่างระทมใจเงยหน้ามองผืนเมฆกลางคัคนานต์ที่เปลี่ยนรูปทรงไปเรื่อยๆ อย่างอิสรเสรีไร้ที่สิ้นสุด จากนั้นก้มหน้ามองดูผิวน้ำในแจกันที่นิ่งเรียบไร้รอยกระเพื่อมไหว แสนสงบและผาสุก
เสียงพิณสอดสลับกัน ราวกับว่าภาพภูผาสายธารและเงาเมฆประกายน้ำผุดขึ้นเบื้องหน้านางวูบหนึ่ง จิตใจที่เต็มไปด้วยความงามแห่งธรรมชาติก็ไร้ที่ว่างให้กับความทุกข์ตรมขมขื่นของสตรีในห้องหออีกต่อไป
ท่วงทำนองของเสียงพิณเริ่มทุ้มต่ำทอดจังหวะยาวเนิบนาบ แผ่วเบาลงทุกทีๆ จนเงียบหายไป ราวกับหญิงสาวลืมเลือนตัวตนของตนเอง
นางคือน้ำในแจกัน คือเมฆบนท้องฟ้า
เมฆอยู่ตรงขอบฟ้า น้ำอยู่ในแจกัน เมฆอิสรเสรี น้ำสงบนิ่ง หาใช่ที่รูปกายของพวกมันไม่ แต่เป็นจิตวิญญาณ
จิตที่ไร้ตะกอนอารมณ์ถึงพบกับความผาสุก
เสียงพิณเบาลงๆ ทีละน้อยจนหยุดลง ทว่าท่วงทำนองสุขสงบผ่อนคลายยังคงดังก้องอยู่ข้างหูของทุกคน ความรู้สึกทุกข์ตรมขมขื่นก่อนหน้านี้ได้รับการปลอบประโลมด้วยเสียงพิณดุจเสียงสวรรค์นี้ บนใบหน้าของแต่ละคนล้วนประดับรอยยิ้มน้อยๆ อย่างแช่มชื่นเบิกบาน
ทว่ามีเสียงพิณที่ไม่กลมกลืนกันดังแทรกขึ้นแว่วๆ ทุกคนมุ่นคิ้วน้อยๆ หันไปมอง
“องค์หญิงกำลังดีดเพลงที่สองหรือ” มู่หวังเฟยเอ่ยถาม
องค์หญิงซีเจียงชะงักนิ้ว พาให้เสียงพิณหยุดลงกะทันหัน ใบหน้านางซีดเผือดไปถนัดตา
นางดีดเพลงที่สองที่ใดกัน เมื่อครู่พอเสียงพิณของคู่ต่อสู้ดังขึ้นก็กลบทับเสียงพิณของนางไปในทันใด ทั้งที่นางไม่ได้หยุดดีดบรรเลงตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ดูจากท่าทีตอบสนองของผู้คนก็รู้ได้ว่าตอนหลังพวกเขาไม่ได้ยินเสียงพิณของนางอีกเลยสักนิด
นางพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
เฉียวเจากลอกดวงตาสุกใสไปมา นางอมยิ้มมององค์หญิงซีเจียง
องค์หญิงซีเจียงลุกออกจากโต๊ะตั้งพิณ เค้นเสียงกล่าวอย่างยากเย็น “รอบนี้เจ้าชนะแล้ว”
* นกยวนยาง หรือเป็ดแมนดาริน เป็นนกเป็ดน้ำชนิดหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน มีนิสัยชอบอยู่กันเป็นคู่ ในที่นี้นำมาตั้งเป็นชื่ออาหารเพื่อสื่อถึงความมงคล