หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 634
บทที่ 634
“ทรงออมมือแล้วเพคะ” เฉียวเจายอบกายเล็กน้อยให้องค์หญิงซีเจียง จากนั้นหอบพิณเหยาไว้ในอ้อมแขนเดินไปทางกลุ่มของคุณหนูต้าเหลียง
พวกนางมองเฉียวเจาที่เดินมาหาด้วยสายตาวาววับ
ไฉนถึงบรรเลงเสียงพิณที่ไพเราะเพียงนี้ออกมาได้นะ อยากจับมือเล็กๆ ของคุณหนูหลีซานมาดูเหลือเกิน
เฉียวเจาสาวเท้าไปหยุดตรงหน้าสวี่จิงหงแล้วยื่นพิณให้ “คุณหนูสวี่ สภาพพิณคงเดิมไม่บุบสลาย ขอคืนให้ท่าน ขอบคุณมาก”
ดวงตาของสวี่จิงหงที่มองนางอยู่ทอประกายผิดแผกไป นางกล่าวเสียงเบา “พิณชื่อดังได้มาง่าย ผู้รู้ใจยากเสาะหา คุณหนูหลี ข้าขอมอบพิณปิงชิงคันนี้ให้ท่าน”
เฉียวเจากับสวี่จิงหงประสานสายตากัน
เด็กสาวผู้เย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่ดวงตาแจ่มกระจ่างดุจแก้วสี
เฉียวเจาคิดคำนึงว่าคำกล่าวของสตรีผู้หนึ่งเฉกนี้ นางไม่อาจปฏิเสธได้
“ข้าขอรับพิณปิงชิงไว้ ขอบคุณคุณหนูสวี่ที่มอบให้”
“คุณหนูหลีออกไปแข่งขันก่อนเถอะ”
เมื่อเฉียวเจากลับไปที่ลานแข่งแล้ว จูเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจน้อยๆ “คุณหนูสวี่ ท่านจะมอบพิณปิงชิงให้คุณหนูหลีซานจริงๆ หรือ”
สวี่จิงหงลูบไล้พิณปิงชิงอันโด่งดังอย่างทะนุถนอมพลางกล่าวเรียบๆ “นางเป็นเจ้าของที่เหมาะสมกว่าข้า”
เนื้อเสียงของ ‘พิณปิงชิง’ ให้ความรู้สึกค่อนไปทางเยือกเย็น ที่ผ่านมานางยังดีดบรรเลงแต่บทเพลงชั้นสูงเคร่งขรึมอีก จนมาวันนี้นางเพิ่งได้รู้จากฝีมือของคุณหนูหลีว่าที่แท้ ‘พิณปิงชิง’ สามารถนำความรื่นรมย์เพลิดเพลินใจให้ผู้คนได้อย่างนี้
จากเสียงพิณของคุณหนูหลี นางได้ยินความมีชีวิตชีวา ได้เห็นแสงแดดสาดส่องไปทั่ว ได้รับรู้ถึงความสุขสงบเมื่อทลายกรงขังให้จิตใจได้รับอิสรภาพ
เสียงพิณนี้ช่างไพเราะจริงๆ ไพเราะกว่าดนตรีชั้นสูงเลิศลอยที่นางยกย่องมาโดยตลอด
นางขอศิโรราบอีกฝ่ายทั้งกายและใจ
“องค์หญิง พวกเราประชันรอบต่อไปเลยดีหรือไม่เพคะ”
หลังพ่ายแพ้ไปรอบหนึ่งองค์หญิงซีเจียงมองเฉียวเจาด้วยสายตาแฝงรอยเคร่งขรึม นางผงกศีรษะน้อยๆ “ได้”
“ประเดี๋ยวก่อนสิ” มู่หวังเฟยแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “องค์หญิงอยากลิ้มลองสุราเลิศรสของต้าเหลียงเราหรือไม่”
แม่เด็กน้อยอมมือผู้นี้ ตอนฝ่ายต้าเหลียงของพวกนางพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ คอยจับตาดูพวกนางดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า ทั้งยังพูดจาแกมประชดประชันทับถมผู้อื่น ตอนนี้ลมเปลี่ยนทิศแล้ว คิดจะทำไขสือเอาตัวรอดหรือไร
มีข้าอยู่…ฝันไปเถอะ!
ก่อนมู่หวังเฟยจะออกเรือนก็เป็นคนดุดันร้ายกาจ เวลานี้อยู่ต่อหน้าอาคันตุกะต่างแคว้นนางต้องวางตัวให้สมกับเป็นพระชายาของท่านอ๋อง จำทนยอมโดนอีกฝ่ายหัวเราะเยาะ ส่งผลให้นางอัดอั้นตันใจเจียนตายแล้ว
องค์หญิงซีเจียงหน้าแดงก่ำไปหมด นางกระดกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมดแล้วบอกเสียงดังๆ “ประชันต่อ!”
กระบอกไม้ไผ่ถูกเขย่าไปมาจนไม้ติ้วหล่นออกมาหนึ่งอัน
องค์หญิงซีเจียงรับไปดูก็เห็นบนไม้ติ้วสลักลายเขียนคำว่า ‘อักษร’
สตรีสูงศักดิ์ในงานเลี้ยงส่งเสียงร้องอุทานเบาๆ ดังเป็นระลอกทันควัน
“ดีเหลือเกิน อักษรวิจิตรของคุณหนูหลีซานได้รับคำชมเชยจากซือไท่ของอารามซูอิ่งเป็นคนแรกในรอบหลายปีมานี้ การประชันรอบนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
“อื้อ เห็นฝีมือดีดพิณของคุณหนูหลีซานในการประชันรอบนี้แล้ว ข้าก็มีความมั่นใจในทักษะการเขียนอักษรของนางยิ่งขึ้น”
“ดูทีว่าโชคเข้าข้างต้าเหลียงเราแล้วนะ”
“โชคอะไรกัน คุณหนูหลีซานอาศัยความสามารถที่แท้จริงชัดๆ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังลอยมาเข้าหูองค์หญิงซีเจียง พาให้ในใจนางตึงเครียดขึ้น
คุณหนูหลีช่ำชองเชิงอักษรวิจิตรมากที่สุดหรือ
ในการประลองดีดพิณเมื่อครู่นี้ อีกฝ่ายก็มีฝีมือเหนือกว่าขั้นหนึ่ง นางจะแพ้การแข่งเขียนอักษรรอบนี้ไม่ได้อีกเป็นอันขาด!
“องค์หญิงเห็นว่ารอบนี้สมควรแข่งขันกันอย่างไร”
ในโต๊ะที่นั่งของพวกคุณหนูทั้งหลายมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
“ไฉนต้องให้องค์หญิงซีเจียงตั้งกฎทุกครั้งด้วย นี่ไม่ยุติธรรมกับพวกเราเลย”
“เช่นนี้พวกนางถึงจะยอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริงน่ะสิ”
“อือ จริงของท่าน”
องค์หญิงซีเจียงได้ยินกับหูก็ลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
คนพวกนี้พอชนะสมใจก็ผยองพองขนทันที ไม่ทำหน้าจืดเจื่อนเหมือนตอนที่พ่ายแพ้ในสองรอบแรกแล้ว
องค์หญิงซีเจียงมองเด็กสาวสีหน้าสงบนิ่งเบื้องหน้าแล้วกลอกตาไปมาน้อยๆ
ไม่ได้ ในเมื่ออักษรวิจิตรเป็นความถนัดของคู่ต่อสู้ นางต้องตรึกตรองเรื่องกฎการแข่งให้ดีๆ จึงจะดี
สีหน้าท่าทางขององค์หญิงซีเจียงตกอยู่ในสายตาของเฉียวเจา นางคลายยิ้มน้อยๆ
อีกฝ่ายคิดมากขึ้นแสดงว่าไม่มั่นใจในตนเอง เมื่อคู่ต่อสู้ยังไม่มั่นใจในตนเอง นางก็ยิ่งมั่นใจในตนเองมากขึ้นแล้ว
ท่านปู่เป็นจอมปราชญ์แห่งยุค ทักษะในศาสตร์ทั้งสี่ไม่มีด้านใดไม่แตกฉาน จนเป็นที่เชิดชูบูชาของบัณฑิตปัญญาชนทั่วหล้าอย่างกว้างขวาง
ถึงแม้นางมีฝีมือความสามารถไม่ถึงหนึ่งในหมื่นของท่านปู่ แต่กลับได้รับการสั่งสอนชี้แนะจากท่านเองกับมือ หากยังสู้องค์หญิงต่างแคว้นไม่ได้ นางไม่มีหน้าเรียกขานตนเองว่าเป็นหลานสาวของอาจารย์เฉียวจริงๆ
“องค์หญิงทรงดำริเสร็จแล้วหรือยังเพคะ” หลังรอคอยอย่างสงบเยือกเย็นครู่หนึ่งแล้ว นางก็อมยิ้มไต่ถามขึ้น
องค์หญิงซีเจียงรู้สึกหน้าชาวาบๆ ไว้กลับถึงซีเจียงนางจะไปข่วนหน้านางรำในวังเสด็จพี่ผู้นั้นให้ลายพร้อยเป็นการระบายแค้นให้ได้!
“ถ้าเขียนอักษรคนละหนึ่งแผ่นแล้วให้คนอื่นตัดสินว่าใครดีใครด้อยออกจะน่าเบื่อเกินไป ถึงอย่างไรการประชันของพวกเรานี้ก็เพื่อสร้างความสนุกสนานในงานเลี้ยง คุณหนูหลีเห็นว่าอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเราเอาหนังสือตำรามาหนึ่งเล่ม ให้เวลาหนึ่งก้านธูปดูว่าใครเขียนได้มากกว่า อีกทั้งเขียนได้ดีกว่า เช่นนี้ก็น่าสนุกขึ้นมากแล้ว”
เฉียวเจาอึ้งงันไปเล็กน้อย “องค์หญิงทรงอยากแข่งเขียนอักษรเร็วกับหม่อมฉันหรือเพคะ”
พอเห็นนางลังเลใจ องค์หญิงซีเจียงลอบยินดี จึงพยักหน้าแล้วกล่าว “ถูกต้อง ดูว่าใครเขียนได้มากกว่า ขณะเดียวกันต้องบรรจงเขียนให้สวยงามด้วย พวกเราก็เขียนด้วยตัวอักษรเสี่ยวข่ายปิ่นดอกไม้ก็แล้วกัน อ้อ…คุณหนูหลีเขียนตัวอักษรเสี่ยวข่ายปิ่นดอกไม้เป็นกระมัง”
เฉียวเจามองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม น้ำเสียงสุภาพนุ่มนวล “เป็นเพคะ”
องค์หญิงซีเจียงนึกไปถึงที่เด็กสาวสาธยายหลักวิชาของพิณเหยาก่อนหน้านั้นแล้วไม่กล้าพูดอะไรมากโดยพลัน นางเบือนหน้าไปเอ่ยกับมู่หวังเฟย “เพื่อความยุติธรรม ให้มู่หวังเฟยเป็นผู้เลือกหนังสือเถอะ”
“ไม่จำเป็นเพคะ” สุ้มเสียงเรียบเฉยของเด็กสาวดังขึ้น
องค์หญิงซีเจียงมองไปทางเฉียวเจา “คุณหนูหลีหมายความว่าอะไร”
“องค์หญิงเป็นคนเลือกหนังสือก็ได้เพคะ หากข้าเคยอ่านหนังสือที่มู่หวังเฟยทรงเลือกมา แต่องค์หญิงทรงไม่เคยอ่าน อย่างนั้นก็จะไม่ยุติธรรม”
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้พวกเราคัดลอกตำราจรรยาสตรีไปเลยก็แล้วกัน เจ้ากับข้าล้วนคุ้นเคยกับหนังสือเล่มนี้ดี ยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายแล้ว” องค์หญิงซีเจียงเอ่ยเสนอขึ้น
นางเพิ่งพ่ายแพ้ไปรอบหนึ่ง จะให้คนพูดว่านางกลัวรอบนี้เลยคิดหาทางเอาเปรียบทุกวิถีทางไม่ได้
หากเป็นการประชันลายมืองดงาม นางอาจพ่ายแพ้ให้คนตรงหน้า แต่ถ้าประลองความเร็ว นางชนะแน่นอน
เขียนหนังสือสองมือเป็นความเชี่ยวชาญของนางมาแต่เดิมแล้ว
พระชายาของมู่อ๋องสั่งให้คนจัดเตรียมทุกอย่างด้วยความว่องไว
“หากทั้งสองเตรียมตัวพร้อมแล้ว ข้าจะสั่งให้คนจุดธูป”
“รอประเดี๋ยว” องค์หญิงซีเจียงชี้ที่พู่กันขนหมาป่าขนาดเล็กบนโต๊ะหนังสือ “ด้ามเดียวไม่พอใช้ ข้าต้องการอีกหนึ่งด้าม”
มู่หวังเฟยลอบกังขาแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า นางเอ่ยสั่งนางกำนัลให้นำพู่กันมาให้ทั้งคู่คนละหนึ่งกระบอกเสียเลย
องค์หญิงซีเจียงผู้นี้จะเล่นลวดลายอะไร พู่กันหนึ่งกระบอกมีแปดด้าม ทีนี้คงพอใช้แล้วกระมัง
“เริ่มต้นได้”
เมื่อธูปติดไฟแล้วบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นฉับพลัน
องค์หญิงซีเจียงมองเฉียวเจาแวบหนึ่ง ก่อนจะถือพู่กันไว้ในมือข้างละด้ามแล้วเขียนหนังสืออย่างรวดเร็ว
เสียงสูดลมหายใจดังเฮือกใหญ่ลอยมาจากโต๊ะที่นั่งของเหล่าสตรีสูงศักดิ์
“องค์หญิงซีเจียงเขียนหนังสือสองมือได้หรือนี่!”
“เกินไปแล้วนะ มิน่านางถึงเสนอให้ประลองความเร็ว เรื่องอะไรให้นางเป็นคนตั้งกฎเล่า”
“เมื่อครู่ท่านยังพูดว่าให้พวกนางเป็นคนตั้งกฎ ถึงเวลาจะได้ยอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริงอย่างไรเล่า”
“เอ๊ะ พวกท่านดูคุณหนูหลีสิ เหตุใดนางนิ่งเฉยอยู่นะ”
“คงมิใช่ว่าเห็นองค์หญิงซีเจียงเขียนด้วยสองมือเลยคิดจะยอมแพ้ไปเลยนะ”
จังหวะนี้เองเฉียวเจาเริ่มขยับกาย
นางหยิบจรรยาสตรีขึ้นมาอ่านผาดๆ อย่างไม่เร็วไม่ช้ารอบหนึ่ง ค่อยพินิจดูกระดาษเซวียนจื่อที่วางปูอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียดครู่หนึ่งถึงยื่นมือไปที่กระบอกพู่กัน
“คุณหนูหลีหยิบพู่กันด้วยมือซ้าย หรือว่านางเขียนหนังสือสองมือได้เช่นกัน”
คุณหนูผู้หนึ่งเบิกตากว้างกะทันหัน นางพูดพึมพำ “ข้าตาลายไปแล้วใช่หรือไม่ เพราะอะไรคุณหนูหลีหยิบพู่กันสามด้าม”