หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 637
บทที่ 637
ยิงธนู เป็นยิงธนูหรือนี่!
การยิงธนูเป็นทักษะที่บุรุษสูงศักดิ์ของต้าเหลียงต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ สำหรับฝ่ายสตรีนั้นเพราะการยิงธนูมีข้อจำกัดหลายประการ สตรีสูงศักดิ์โดยทั่วไปจึงฝึกขว้างธนูลงคนโท
น่าเสียดายที่หลายปีมานี้ชาวเมืองหลวงต้าเหลียงเอาแต่มัวเมาไปกับสิ่งบันเทิงเริงใจมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ฝึกฝนยิงธนูยิ่งมายิ่งน้อยลง ส่งผลให้มีคนเชี่ยวชาญแทบนับนิ้วได้
ไฉนโชคร้ายอย่างนี้ ถึงกับสุ่มได้ไม้ติ้วยิงธนูเล่า
เหล่าคุณหนูของต้าเหลียงมองไปทางเด็กสาวที่ยืนตัวตรงอกผายไหล่ผึ่งอยู่กลางลานอย่างวิตกกังวล
คุณหนูหลีตัวเล็กอย่างนี้ เห็นทีว่าแม้แต่โก่งคันธนูก็ยังไม่ไหวกระมัง ช่างน่ากลัดกลุ้มดีแท้
ซ้ำร้ายยังตกลงกันไว้แต่แรกแล้วว่าให้คนเดียวลงแข่งต่อๆ กันทั้งสามรอบ จะสับเปลี่ยนคนก็ทำไม่ได้อีก
องค์หญิงซีเจียงนิ่งขึงไปเล็กน้อยตอนรู้ว่าจับได้ทักษะยิงธนู
ในการประชันวันนี้รอบแรกก็จับได้ทักษะขว้างธนูลงคนโทแล้ว นางนึกว่าไม่มีทางมีทักษะยิงธนูอย่างเด็ดขาด
มู่หวังเฟยผู้นี้ก็พาซื่อนัก นางบอกว่าสามารถแข่งทักษะอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพ ขว้างธนูลงคนโท หรือยิงธนู นางก็เอาไม้ติ้ว ‘ยิงธนู’ ใส่ลงในกระบอกด้วยจริงๆ
นางย่อมเคยฝึกยิงธนูขี่ม้ามาก่อนแน่นอน แต่ทำได้ไม่ดีเท่าท่านหญิงอิงน่าซึ่งเป็นญาติผู้น้อง
องค์หญิงซีเจียงทอดสายตามองไปทางอิงน่าซึ่งอยู่นอกลานโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นรอบตัดสินชี้ขาด เกี่ยวพันถึงเกียรติยศของซีเจียง นางแพ้ไม่ได้แล้ว แต่ถ้าจะเปลี่ยนคนสมควรใช้เหตุผลใดดี
อุ้งมือขององค์หญิงซีเจียงมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย
เวลานี้เองเฉียวเจาปริปากพูดแล้ว “องค์หญิงทรงอยากเปลี่ยนคนใช่หรือไม่เพคะ”
องค์หญิงซีเจียงอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่ตัวเตี้ยกว่าตนครึ่งชุ่น
นางมีเรือนกายเล็กผอมบางละม้ายดอกกล้วยไม้บอบบาง แม้นจะงดงามทว่าต้านทานลมฝนไม่ไหว
แม่นางน้อยผู้หนึ่งอย่างนี้จะยิงธนูเป็นจริงๆ หรือ บางทีนางอาจไม่มีเรี่ยวแรงโก่งคันธนูด้วยซ้ำไปกระมัง
องค์หญิงซีเจียงบังเกิดความมั่นใจในตนเองกะทันหัน บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเยือกเย็นอีกครา “คุณหนูหลีต้องการเปลี่ยนคนหรือไม่”
เฉียวเจายิ้มเล็กน้อย “ถึงแม้ทักษะยิงธนูมิใช่ความถนัดของข้า แต่ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าเป็นคนเดียวแข่งทั้งสามรอบ สัจจะมีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง หม่อมฉันจะผิดคำพูดกับองค์หญิงได้อย่างไรเพคะ”
องค์หญิงซีเจียงอ้าปากแล้วหุบปาก นางถูกเฉียวเจายอกย้อนจนพูดไม่ออก
“แน่นอนว่าถ้าองค์หญิงมีพระประสงค์จะเปลี่ยนคน หม่อมฉันก็ไม่ขัดข้องเพคะ” ใบหน้าของเฉียวเจาประดับรอยยิ้มอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา หากลึกเข้าไปในดวงตามีแววเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นวูบหนึ่ง
พอจับสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยขององค์หญิงซีเจียงได้ นางก็รู้ว่าทักษะยิงธนูน่าจะไม่ใช่ความถนัดของอีกฝ่าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางย่อมจะใช้วาจาเหน็บแนมองค์หญิงซีเจียงให้เปลี่ยนคนไม่ได้เป็นธรรมดา
ในด้านทักษะขว้างธนูลงคนโท ซีเจียงมียอดฝีมืออย่างท่านหญิงอิงน่า ดูทีว่าด้านยิงธนูก็ต้องไม่อ่อนด้อย หากสลับตัวท่านหญิงอิงน่าลงมา ต่อให้นางถอนตัวแล้วเลือกคนจากหมู่คุณหนูต้าเหลียงใหม่อีกคน ไหนเลยจะรู้ได้ว่าจะมีคนที่เป็นคู่ต่อสู้ของท่านหญิงซีเจียงได้หรือไม่เล่า
“ไม่ต้องเปลี่ยนคน พวกเราสองคนมาประลองกัน!” องค์หญิงซีเจียงเม้มมุมปากแล้วกล่าวขึ้น
นางตัวดีผู้นี้พูดออกมาแล้วว่าสัจจะมีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง ถ้าตนเองเอ่ยปากขอเปลี่ยนคนก็กลายเป็นพวกไม่รักษาคำพูด แล้วเกียรติยศขององค์หญิงซีเจียงจะไม่เสื่อมเสียจนสิ้นหรือไร
“เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มกันเถอะเพคะ”
ทางพระราชอุทยานฝั่งตะวันออกได้ข่าวนี้แล้ว
“เอ๊ะ การประชันรอบสุดท้ายเป็นการยิงธนูหรือนี่” มู่อ๋องทำหน้าหลากใจน้อยๆ
ทุกคนโคลงศีรษะไปตามๆ กัน “แต่ไรมาการขี่ม้ายิงธนูหาใช่ความถนัดของสตรีไม่ ไม่รู้ว่าการแข่งยิงธนูจะมีอะไรน่าชมหรือไม่”
ฉือชั่นฟังแล้วยิ้มเยาะในใจ น้ำหน้าอย่างพวกหมอนปักลายเช่นพวกเจ้ายังกล้าหัวเราะเยาะหลีซาน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าฝีมือยิงธนูของหลีซานอยู่ในชั้นใด นางก็เคยยิงธนูสังหารคนมาแล้วจริงๆ
ถิงเฉวียนเคยบอกเขาว่าถึงฝึกฝีมือได้สูงล้ำปานใด สังหารคนกับไม่เคยสังหารคนนั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แล้วความแตกต่างอย่างนั้นมีเพียงคนที่เคยประสบผ่านมาก่อนจึงจะเข้าใจ
“รอบนี้ยังเป็นพระขนิษฐาของข้ากับคู่หมั้นของกวนจวินโหวประลองกันเช่นเดิมหรือ” กงอ๋องแสร้งทำเยือกเย็นเอ่ยถามขึ้น ทว่าในใจเริ่มร้อนรนกระวนกระวาย
พระขนิษฐาของเขานับได้ว่ามีฝีมือยิงธนูในหมู่สตรี ทว่าเทียบกับญาติผู้น้องอิงน่าแล้วยังห่างชั้นกันไกล ถ้าอิงน่าลงแข่งในรอบนี้ก็จะมั่นใจได้สิบส่วนแล้ว
มู่อ๋องพยักหน้ายิ้มๆ “ถูกต้อง ยังเป็นองค์หญิงกับคุณหนูหลี เรื่องนี้พวกนางตกลงกันไว้แต่แรก จะเปลี่ยนแปลงย่อมไม่เป็นการดี ดังคำกล่าวว่าสัจจะมีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง”
ตอนได้ยินถ้อยคำที่พระชายาของเขานำมาบอกต่อนี้ เขายังอดร้องชมคุณหนูหลีผู้นั้นอยู่ในใจไม่ได้
ยังไม่เอ่ยถึงว่าผลแพ้ชนะในการประชันรอบสุดท้ายเป็นเช่นไร แค่ความฉลาดปราดเปรื่องของแม่นางน้อยผู้นั้นก็ควรค่าให้เขากล่าวชมเชยแล้ว
มู่อ๋องทอดสายตามองไปทางเซ่าหมิงยวน
แผ่นดินนี้เป็นของพวกเขาสกุลเจียง สิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้าก็พึงควรเป็นของสกุลเจียง สตรีก็เช่นเดียวกัน
รอวันหน้าไม่ว่าสิ่งใดที่กวนจวินโหวครอบครองไว้ ข้าจะเรียกให้อีกฝ่ายคืนออกมาให้หมดแน่!
“สตรีดวลยิงธนูกันกลับน่าสนใจ ท่านอ๋อง ข้าไปชมดูสักหน่อยได้หรือไม่” กงอ๋องเอ่ยคำขอนี้ขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ตั้งแต่แรกที่รู้ว่าพระขนิษฐาแพ้การประลองให้กับคู่หมั้นของกวนจวินโหวสองรอบ เขาก็อยากไปดูเหลือเกินแล้ว
คุณหนูหลีที่ประพิมพ์ประพายคล้ายนางรำในวังเขาผู้นี้มีสิ่งใดเหนือผู้อื่นกันแน่
เซ่าหมิงยวนวางจอกสุราบนโต๊ะเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืนกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อท่านอ๋องสนพระทัยการยิงธนู ไยบุรุษของพวกเราสองแคว้นไม่ประลองกันดูสักตั้งพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าเขาเต็มใจมองดูนางเปล่งประกายหมื่นจั้ง แต่ให้ชายหนุ่มมุงดูทั้งโขยงนั้นเขาไม่สบอารมณ์แล้ว
พอเขาไม่สบอารมณ์ก็อยากสั่งสอนคน อืม ชกกับชาวซีเจียงคงไม่สนุกเท่าชกกับพวกต๋าจื่อ แต่ยังดีกว่าไม่ได้ชกกระมัง
กงอ๋องฟังแล้วงงงันไป
เมื่อครู่ในพระราชอุทยานฝั่งตะวันออกนี้ พวกเขาเพิ่งประลองฝีมือกันไป แต่เป็นการดวลวิชาหมัดมวยกัน
การเดินทางมาต้าเหลียงคราวนี้ เสด็จพี่ให้เขาพานักสู้อันดับหนึ่งของซีเจียงติดตามมาด้วยโดยเฉพาะก็เพื่อจะหยั่งเชิงกวนจวินโหวสักหน่อย ใครจะรู้ว่าหลังนักสู้อันดับหนึ่งของพวกเขาลงแข่งขันก็โดนอีกฝ่ายโยนออกจากลานด้วยมือเดียว ลงท้ายเพลงดาบ เพลงทวน หรือเพลงกระบี่ก็เลยไม่ต้องประลองแล้ว
ห่างชั้นกันไกลหลายขุม จะฉีกหน้าตนเองไปไยเล่า!
“คือว่า…” กงอ๋องกระแอมกระไอเบาๆ เสียงหนึ่งเมื่อเห็นสายตาวาววับของเซ่าหมิงยวนมองมานิ่งๆ อย่างกดดัน “เมื่อครู่ประชันเชิงบู๊กันไปแล้ว หนนี้เปลี่ยนเป็นเชิงบุ๋นบ้างดีกว่านะ”
ฤทธิ์สุราในกายกระตุ้นความอยากเอาชนะของทั้งสองฝ่ายขึ้นมา พวกเขาพากันไต่ถาม “ท่านอ๋องทรงอยากประชันอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
กงอ๋องกล่าวยิ้มๆ “เดินหมากเถอะ”
ทางพระราชอุทยานฝั่งตะวันตก เครื่องมือเครื่องไม้ที่จำเป็นสำหรับการแข่งยิงธนูถูกจัดเตรียมพร้อมสรรพแล้ว
เป้าธนูสองอันตั้งห่างออกไปไกลหลายสิบก้าว องค์หญิงซีเจียงถือธนูยาวไว้ในมือเอ่ยถามเฉียวเจา “คุณหนูหลีอยากประลองอย่างไร”
“องค์หญิงทรงตั้งกฎเถอะ”
ในเมื่อองค์หญิงซีเจียงใจฝ่อแล้ว จะต้องคิดหากฎซึ่งมีจุดที่เป็นผลดีต่อตนเอง แล้วกฎการแข่งอย่างนี้จะไม่ส่งผลดีต่อนางเฉกเดียวกันหรอกหรือ
“สตรีมีกำลังกายไม่เท่าพวกบุรุษมาแต่กำเนิด พวกเราแข่งยิงระยะไกลคงไม่น่าสนุกอะไร ก็มาดวลว่าใครยิงแม่นกว่ากันเถอะ พวกเรายิงธนูคนละสิบดอก พลาดเป้าไม่นับแต้ม จากจุดกลางเป้าถึงขอบเป้าแบ่งเท่าๆ กันเป็นสี่ส่วน วงนอกสุดได้หนึ่งแต้ม วงกลางได้สามแต้ม วงในได้หกแต้ม หากเข้าวงกลางเป้าก็ได้สิบแต้ม คุณหนูหลีเห็นว่าอย่างนี้ดีหรือไม่”
“ดียิ่งนัก เชิญองค์หญิงทรงยิงดอกแรกก่อนเพคะ”
องค์หญิงซีเจียงไม่บอกปัด นางปรับลมหายใจให้เป็นจังหวะครู่หนึ่งก่อนจะน้าวสายคันธนูแล้วปล่อย ลูกธนูลอยฉิวออกไปดุจผีพุ่งไต้ปักตรงเข้ากลางเป้า
ทั่วบริเวณงานเลี้ยงบังเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันใด
ตอนสุ่มได้ไม้ติ้ว ‘ยิงธนู’ องค์หญิงซีเจียงไม่มีสีหน้ามั่นใจในตนเองเท่าก่อนหน้านี้ พวกนางยังนึกว่าองค์หญิงซีเจียงไม่เชี่ยวชาญการยิงธนู คิดไม่ถึงว่าดอกแรกก็ยิงเข้ากลางเป้าแล้ว!
“ดอกแรก องค์หญิงได้สิบแต้ม”
องค์หญิงซีเจียงลดคันธนูลง เอ่ยพร้อมรอยยิ้มหวาน “คุณหนูหลี ถึงตาท่านแล้ว”