หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 64
เฉียวเจาถามคำนี้ขึ้นทำให้หลีเจียวจนคำพูด พริบตาเดียวใบหน้าก็เป็นสีแดงจัด
คุณหนูสี่หลีเยียนได้เห็นกับตา ลอบตระหนกในใจ
ท่านแม่พูดไว้ไม่ผิดเลย นับแต่พี่เจากลับจวนมา ใครจงใจหาเรื่องนางก็ต้องเคราะห์ร้าย!
นางเลื่อนสายตาไปสบตากับคุณหนูห้าหลีซูโดยไม่ตั้งใจ
ชั่วขณะนั้นสองพี่น้องถึงกับรู้สึกคล้ายๆ ว่าใจตรงกัน นัยน์ตาของพวกนางไหวระริกก่อนเบนสายตาออกพร้อมกัน
พี่เยียน/น้องซู ก็มองออกแล้ว พี่เจาน่ากลัวเหลือเกิน!
เจ้า…เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน… หลีเจียวอับอายจนพาลโกรธ แต่เมื่อนางนึกถึงคำเตือนของมารดาขึ้นได้ก็หมดความผยองทันใด
เยือกเย็นไว้ เพิ่งทำเรื่องน่าขายหน้ามา จะปะทะกับหลีซานซึ่งๆ หน้าอีกไม่ได้!
ข้าไม่เคยพูดเหลวไหล วันหน้าพี่เจียวก็อย่าพูดเหลวไหลเหมือนกันจึงจะดี เฉียวเจากล่าวเตือนเสียงเรียบพลางคิดในใจ เด็กสาวผู้นี้ไม่รู้จักหลาบจำเลยจริงๆ!
อาจารย์วิชาเขียนอักษรเป็นอดีตบัณฑิตจวี่เหริน ยังมีอุดมการณ์ของผู้เป็นปัญญาชนอยู่ไม่มากก็น้อย เขาขบคิดตีความถ้อยคำของเฉียวเจาแล้ว ไม่มองหน้าหลีเจียวตรงๆ อีกเลยตลอดเวลาที่สอน ส่งผลให้คุณหนูรองอับอายเสียจนน้ำตาเอ่อคลอเบ้า
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงให้ความสำคัญกับสำนักศึกษาหญิงมาก พวกเฉียวเจาต้องเรียนหนังสือทั้งวัน อาหารกลางวันก็ต้องอยู่กินที่จวนตะวันออก ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจกั้นพื้นที่ข้างสำนักศึกษาจัดเป็นห้องกินอาหารโดยเฉพาะ
เมื่อถึงยามเที่ยง พี่น้องหกคนนั่งล้อมวงกัน ไม่มีเสียงพูดคุยหัวเราะตามสบายเฉกที่ผ่านมา พาให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนพอดู จนกระทั่งข้าวปลาอาหารถูกยกมาวางบนโต๊ะ พวกหลีเยียนถึงลอบถอนหายใจโล่งอก
เพราะต้องกินอาหารในสำนักศึกษาหญิง พวกคุณหนูจะแยกสำรับกันเพื่อความสะดวก เบื้องหน้าคุณหนูแต่ละคนล้วนมีกล่องอาหารไม้แกะสลักทาสีแดงหนึ่งกล่อง ในนั้นใส่กับข้าวไว้หลายอย่างเช่นน้ำแกงลูกชิ้นสามสหาย ปลาเงินต้มผักดอง ไข่ตุ๋นหมูสับกินกับหมั่นโถวไหมเงิน* กับโจ๊กพุทราแห้งชามหนึ่ง
อาหารการกินของจวนตะวันออกจะประณีตพิถีพิถันและพร้อมพรั่งกว่าจวนตะวันตกมาแต่ไหนแต่ไร
เฉียวเจาล้างมือแล้วยกชามโจ๊กขึ้น แต่จู่ๆ ก็วางลงอีก นางกวาดตามองกับข้าวตรงหน้าก่อนหยิบถ้วยน้ำใกล้มือขึ้นดื่มคำหนึ่งเงียบๆ
หลีเจียวลอบกำมือแน่นจนข้อนิ้วเป็นสีขาวซีดจางๆ
คนอื่นเห็นเฉียวเจาทำเช่นนี้แล้วพากันไม่ขยับตะเกียบไปชั่วขณะ
เหตุใดน้องเจาไม่กิน หลีเจี่ยวเอ่ยถาม
ปวดกระเพาะเจ้าค่ะ
หลีเจี่ยวแสดงท่าทางห่วงใย น้องเจามีอาการปวดกระเพาะตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่ก่อนไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเลยนี่
ไม่เคยเอ่ยถึงหรือ
เฉียวเจาหยักยิ้ม นางไม่ได้พูดเท็จ แม่นางน้อยหลีเจามีอาการปวดกระเพาะจริงๆ แต่ด้วยนิสัยของหลีเจาย่อมไม่มีทางเอ่ยกับพี่สาวคนโตที่เห็นเป็นศัตรูคู่แค้น ดีที่ตลอดช่วงที่นางกลับมายังจวนสกุลหลีแล้วกินอยู่นอนหลับเป็นเวลา รวมถึงกินยาควบคู่กัน อาการปวดกระเพาะถึงค่อยๆ ทุเลาลง
แต่ว่าอาหารที่อยู่ตรงหน้าวันนี้กินไม่ได้
หลีเจียวยิ้มเยาะ ปวดกระเพาะหรือ ข้าว่าน้องเจาอยากตีตัวออกห่างจากจวนตะวันออกใจจะขาดกระมัง น้องเจาเก็บความโกรธไว้ในใจมากเท่าใดก็เอามาลงที่ตัวข้าให้หมดเป็นอันสิ้นเรื่อง วางท่าวางทางเฉกนี้จะมิเป็นการทำให้พวกผู้อาวุโสผิดหวังเสียใจหรือไร
เฉียวเจามองหลีเจียวด้วยสายตาเรียบเฉย ที่แท้การลดธงพักรบในสำนักศึกษาเพราะมีอาหารมื้อนี้รอคอยนางอยู่นั่นเอง
เฉียวเจาหลุบตาลงมองกล่องอาหารไม้แกะสลักทาสีแดงที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า กลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายสอ
นี่นับว่าเป็นงานเลี้ยงหงเหมิน* กระมัง แค่ว่าขนาดย่อมลงมาสักหน่อย
สาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีเขียวก้าวเข้ามาวางถาดทรงกลมลายนกสาลิกาดอกเหมยสำหรับใส่เศษอาหารใบหนึ่งไว้กลางโต๊ะ ย่อเข่าแสดงคำนับต่อคุณหนูทั้งหลายแล้วถอยออกไปอย่างเงียบๆ
เฉียวเจาตีหน้านิ่งสนิทขณะยกขาที่อยู่ใต้โต๊ะเตะที่น่องของสาวใช้ชุดสีเขียวเบาๆ ทีหนึ่ง
สาวใช้ชุดสีเขียวตัวเซจะล้ม รีบจับมุมโต๊ะไว้ตามสัญชาตญาณ แล้วตรงนั้นวางถ้วยน้ำที่เฉียวเจาดื่มไปคำหนึ่งก่อนหน้านี้ไว้พอดี
ถ้วยน้ำหล่นลงพื้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตามมาด้วยเสียงอุทานด้วยความตกใจของสาวใช้ชุดสีเขียว ดึงสายตาของทุกคนไปทันใด
ขี้ข้าชั้นต่ำ! เงอะงะซุ่มซ่ามไม่ได้เรื่อง หลีเจียวตีหน้ายักษ์
พวกคุณหนูจวนตะวันตกย่อมไม่ปริปากเป็นธรรมดา
สาวใช้ชุดสีเขียวลนลานคุกเข่าลงขอขมา บ่าวสมควรตาย คุณหนูอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ
เมื่อครู่นี้ดูเหมือนมีคนเตะขานางเบาๆ แต่คนที่อยู่ในนี้เป็นเจ้านายทั้งสิ้น สาวใช้ต่ำต้อยอย่างนางจะบอกเหตุผลนี้ออกจากปากได้เช่นไร
อีกอย่างมันเป็นการเตะหรือเรียกได้ว่าแตะเพียงเบาๆ น่าจะไม่ได้ตั้งใจ แต่นางรู้สึกชาตรงน่องวูบหนึ่งอย่างแปลกประหลาดถึงได้ทรงตัวไม่อยู่ นี่จึงยิ่งไม่อาจโทษผู้อื่นได้แล้ว ขืนพูดออกมากลับจะสร้างความไม่พอใจให้คุณหนูทั้งหลายเสียมากกว่า
สาวใช้ชุดสีเขียวยอมรับว่าตนโชคร้ายเอง นางพร่ำพูดขอโทษขอโพยไม่หยุด
คนในจวนต่างพูดกันว่าเมื่อวานคุณหนูกลับมาแล้วหัวเสียมาก นางก็เจอดีทันที มีแต่เรื่องอัปมงคลทั้งปีทั้งชาติดีแท้
เดิมทีหลีเจียวมีไฟสุมอกอยู่แล้ว ยังต้องพบกับเรื่องพรรค์นี้อีก จึงไม่พอใจมากเอาการ ขณะตั้งท่าจะอาละวาด นางชายตาเห็นเฉียวเจาทำสีหน้าเรียบเฉย ก็ข่มแรงโทสะไว้ทันควันแล้วกล่าวเสียงเย็น ยังไม่เก็บกวาดให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปอีก
สาวใช้ชุดสีเขียวราวกับได้รับอภัยโทษ จึงเก็บกวาดจนสะอาดแล้วถอยออกไปอย่างว่องไว
หลีเจี่ยวเพิ่งเอ่ยปากพูดในเวลานี้ น้องเจียวอย่าโมโหเลย พวกเรารีบกินอาหารเถอะ ไม่เช่นนั้นจะเย็นชืดแล้ว
ท่านไม่ต้องมาทำเป็นคนดี หลีเจียวกล่าวเสียงปึ่งชา นางยังไม่คิดบัญชีเรื่องที่นินทานางลับหลังเลยนะ ยังกล้าชี้มือชี้ไม้ต่อหน้านาง บอกให้นางอย่าโมโหหมายความว่าอะไร อย่างกับว่าในกลุ่มนี้นางคือคนที่ใจแคบกับบ่าวไพร่มากที่สุดกระนั้น
หลีเจี่ยวโดนตอกกลับจนหน้าแดง นางหลุบตาลงสะกดความโกรธไว้ หยิบช้อนขึ้นกินโจ๊กพุทราแห้งคำหนึ่ง
เมื่อเห็นเหล่าพี่น้องเริ่มทยอยกินอาหาร เหลือแต่เฉียวเจาที่ยังไม่ขยับตะเกียบ ในใจหลีเจียวก็ยิ่งหงุดหงิดคับข้องมากขึ้น
ในสำรับอาหารของหลีซานนั่น นางฉวยจังหวะหยุดพักกลางคาบเรียนแอบกำชับให้บ่าวรับใช้วางยา ใครจะคิดว่าหลีซานกลับไม่กินเพราะปวดกระเพาะ
หรือนางรู้แล้ว
ไม่ เป็นไปไม่ได้!
หลีซานนั่งเหม่อลอยระหว่างเรียนชัดๆ ยกเว้นอีกฝ่ายจับยามสามตาเป็น หาไม่แล้วจะล่วงรู้แผนการของนางได้อย่างไร
ดูทีว่าอาหารของจวนตะวันออกพวกข้าเป็นที่ดูแคลนของน้องเจาแล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คราวหลังน้องเจาก็นำติดตัวมาเองแล้วกัน
ต่อให้คราวนี้นางไม่กินถึงรอดตัวไปแล้วจะมีอันใด หากมีศักดิ์ศรีนักวันหน้าก็อย่ากินอะไรทั้งนั้น กินของเย็นๆ ชืดๆ ที่เอามาเองไปเถอะ
เมื่อคิดไปถึงตอนเดือนสิบสองอันหนาวเหน็บ พี่น้องทุกคนนั่งล้อมวงกินอาหารร้อนกรุ่นๆ ด้วยกัน ส่วนหลีเจาได้แต่ดื่มน้ำเปล่ากินข้าวเย็นชืดแล้ว หลีเจียวก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
พี่เจียวพูดล้อเล่นแล้ว โจ๊กทุกชามข้าวทุกจานล้วนได้มามิง่ายดาย นับประสาอะไรกับอาหารเลิศรสพร้อมพรั่งเฉกนี้ เฉียวเจากล่าวพลางหยิบหมั่นโถวชิ้นหนึ่งขึ้น จากนั้นเอ่ยถามหลีเจียวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ข้าปวดกระเพาะ แล้วพี่เจียวจะโมโหเพราะเหตุนี้ด้วยหรือเจ้าคะ
หลีเจียวถูกโต้กลับจนพูดไม่ออกโดยพลัน นางกำตะเกียบแน่นสุดแรง แค่นเสียงบอกในท้ายที่สุด อยากกินหรือไม่ก็สุดแท้แต่ใจเจ้า
หลีเจียวกำลังอับอายแกมโกรธทว่าต้องเก็บกลั้นเอาไว้ ส่งผลให้กินอาหารเร็วกว่าปกติ ตอนใกล้จะกินหมด จู่ๆ นางก็ขมวดคิ้วมองไปทางหลีซู เจ้าเป็นอะไรไปอีกคน
หลีซูคาดไม่ถึงว่านางทำตัวสงบเสงี่ยมอย่างนี้แล้วยังดึงความสนใจของหลีเจียวได้อีก นางกำหมั่นโถวในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับพูดเสียงงึมงำ ข้า…ข้าก็ปวดกระเพาะ…
แม้นไม่รู้ว่าเหตุใดพี่เจาจึงกินแต่หมั่นโถวอย่างเดียวโดยไม่กินกับข้าว แต่ทำตามพี่เจาไม่ผิดแน่
คุณหนูสี่หลีเยียนก้มหน้ากินอาหารไปได้มากกว่าครึ่ง พลันรู้สึกปวดกระเพาะตามไปด้วย
นางเลินเล่อไปแล้ว ถึงต้านทานการล่อใจของอาหารอร่อยๆ ไม่ได้
นางรีบดึงมือหลีฉานน้องสาวในไส้ทีหนึ่งเป็นเชิงบอกให้นางกินน้อยลง
หลีฉานทำแก้มป่องอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ พี่เยียนดึงมือข้าด้วยเหตุใดเจ้าคะ
หลีเยียนกระอักกระอ่วนใจเป็นอันมาก นางกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้น กินน้อยลงสักหน่อย ไม่ได้ยินที่วันนั้นท่านป้าสะใภ้บอกว่าเจ้าอ้วนแล้วหรือ
หลีฉานเบ้ปากกินต่อไม่ลงทันใด
ทุกคนกินอาหารแล้วพักผ่อนครู่หนึ่งถึงกลับเข้าสำนักศึกษา
ตอนบ่ายเป็นวิชาดีดพิณ อาจารย์ที่สอนเคยเป็นนักดนตรีในวังหลวง มาตรว่าจะเป็นชายหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบปี แต่ได้รับเสียงโจษขานดีเยี่ยม ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงต้องทุ่มเทใจไปไม่น้อยถึงเชื้อเชิญมาได้ เขาจะมาสอนทุกๆ สิบวัน
ขณะอาจารย์สอนดีดพิณในเสื้อคลุมสีครามกำลังลองเสียงพิณอยู่ หลีเจี่ยวก็กุมท้องกะทันหัน
* หมั่นโถวไหมเงิน คือหมั่นโถวชนิดหนึ่งที่ปั้นแป้งเป็นเส้นแล้วนำมาม้วนเป็นก้อน
* งานเลี้ยงหงเหมิน เกิดขึ้นหลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน เป็นงานที่เซี่ยงอวี่จัดเฉลิมฉลองที่ด่านหงเหมินนอกเมืองเสียนหยาง หลังจากชนะสงคราม และเชิญหลิวปังให้มาเข้าร่วม แต่แท้จริงแล้วเป็นการจัดฉากเพื่อลอบสังหารหลิวปัง ใช้เปรียบกับงานเลี้ยงที่จัดขึ้นมาโดยประสงค์ร้าย