หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 640
บทที่ 640
“เสด็จพี่จะใช้นางรำผู้นั้นกำจัดกวนจวินโหวหรือเจ้าคะ” องค์หญิงซีเจียงตาเป็นประกาย
ทั้งที่ต้าเหลียงในยามนี้อ่อนแอถึงขั้นง่อนแง่นเจียนล้มมิล้มแหล่ แต่ซีเจียงกลับไม่กล้าลงมือเรื่อยมาก็เพราะว่ายังมีกวนจวินโหวอยู่
หากกำจัดกวนจวินโหวได้ พวกเขาจะสามารถบุกเข้าต้าเหลียงจากทางชายแดนได้ทันที และผนึกกำลังกับเป่ยฉีปิดล้อมโจมตีต้าเหลียง
ชาวเป่ยฉีเป็นเพียงพวกอนารยชนที่ยังไร้วัฒนธรรม ป่าเถื่อนหยาบคาย และด้อยสติปัญญา วันหน้าในตอนที่สู้รบพัวพันกับต้าเหลียง พวกเขาซีเจียงก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
“กวนจวินโหวเดินทัพทางไกลไปปราบเป่ยฉีตอนอายุสิบสี่จนกลายเป็นแม่ทัพผู้มิเคยพ่ายศึกนามกระเดื่องทั่วหล้าอย่างรวดเร็ว เสด็จพี่ใหญ่จับตาดูคนผู้นี้เป็นพิเศษตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่แดนเหนือ กวนจวินโหวไม่ลุ่มหลงนารี ไม่มัวเมาในอำนาจ เรียกได้ว่าไม่มีจุดอ่อนอะไรเลย ในงานเลี้ยงวันนี้ข้าส่งนักสู้อันดับหนึ่งของซีเจียงเราออกไปทดสอบฝีมือของกวนจวินโหว แต่คนของเราประมือกับเขายังไม่ถึงสามกระบวนก็โดนโยนออกมาแล้ว”
องค์หญิงซีเจียงเบิกดวงตาคู่งามอย่างประหลาดใจ “เสด็จพี่ ท่านบอกว่าหวาเซิ่งประมือกับกวนจวินโหวได้ไม่ถึงสามกระบวนหรือเจ้าคะ”
กงอ๋องพยักหน้า “ใช่ ดังนั้นข้าตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์ จำต้องใช้กลอุบายกับกวนจวินโหวแล้ว”
องค์หญิงซีเจียงตรึกตรองครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ความจริงถ้าหมายเล่นงานกวนจวินโหว แผนยุแยงให้แตกกันนับเป็นอุบายชั้นเลิศ ทำให้ฮ่องเต้ต้าเหลียงเป็นฝ่ายลงดาบกับกวนจวินโหวเสียเอง เช่นเดียวกับแม่ทัพต้าเหลียงที่ประจำการด่านซานไห่กวนเมื่อหลายปีก่อนผู้นั้นเจ้าค่ะ”
“แผนยุแยงให้แตกกันย่อมต้องดีแน่นอน แต่ฮ่องเต้ต้าเหลียงพระองค์นี้มักเก็บตัวจำศีลตามชอบใจ เกรงว่าพวกเราคงฉวยจังหวะไม่ได้ในชั่วครู่ชั่วยาม” กล่าวถึงตรงนี้กงอ๋องก็หัวร่อเบาๆ “ดีที่สวรรค์เข้าข้างเราแล้ว คู่หมั้นของกวนจวินโหวถึงกับมีรูปโฉมคล้ายคลึงกับนางรำในวังข้า”
“ความหมายของเสด็จพี่คือ…”
ภาพเงาร่างอรชรของเด็กสาวที่ยืนนิ่งสงบประหนึ่งดอกกล้วยไม้ป่าตรงกลางลานผุดขึ้นในห้วงความคิดของกงอ๋อง ดวงตาเขาทอประกายเย็นเยียบ “ข้าส่งคนกลับไปพาตัวนางรำผู้นั้นมาที่เมืองหลวงต้าเหลียงอย่างเงียบๆ แล้ว จากนั้นค่อยหาโอกาสลักพาตัวคู่หมั้นของกวนจวินโหวแล้วใช้แผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ!”
“หากกวนจวินโหวจำได้จะทำฉันใดเจ้าคะ” องค์หญิงซีเจียงนึกถึงเด็กสาวซึ่งเปล่งประกายหมื่นจั้งผู้นั้นแล้วโคลงศีรษะน้อยๆ
อันว่าผู้มีวิชาความรู้แตกฉานย่อมฉายรัศมีจับตาในตนเอง นางไม่คิดว่านางรำผู้นั้นจะปลอมตัวเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหวได้
กงอ๋องได้ยินแล้วหัวเราะ “พวกเขายังไม่แต่งงานกันสักหน่อย ไม่มีทางอยู่ด้วยกันทุกเช้าค่ำ ขอเพียงนางรำเข้าใกล้กวนจวินโหวได้ ยังต้องห่วงอีกหรือว่าจะไม่มีโอกาสลงมือ”
เขาจะเตรียมมีดสั้นอาบพิษต้นเจี้ยนเซวี่ยเฟิงโหว* เล่มหนึ่งหรือเข็มเงินอาบพิษรุนแรงให้นางรำ เพียงหลอกลวงกวนจวินโหวได้ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็สามารถปลิดชีพอีกฝ่ายได้แล้ว
“เช่นนั้นข้าขอใช้น้ำชาต่างสุราอวยพรเสด็จพี่ไว้ตรงนี้ให้ได้รับชัยชนะสมใจ” องค์หญิงซีเจียงยกถ้วยน้ำชาขึ้นแตะๆ ริมฝีปาก จากนั้นวางถ้วยลงแล้วถามไปอีกเรื่องหนึ่ง “แล้วเสด็จพี่ตั้งใจจะจัดการกับคู่หมั้นของกวนจวินโหวอย่างไรหรือเจ้าคะ”
กงอ๋องหัวเราะขลุกขลัก “นางเป็นนางรำในวังข้ามิใช่หรือ”
องค์หญิงซีเจียงฟังแล้วทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย “เสด็จพี่ถูกตาต้องใจนางหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีเรื่องพรรค์นั้น น้องพี่ เจ้าลองตรองดูนะ พอนางรำผู้นั้นลงมือได้สำเร็จ ข้าไม่มีทางไว้ชีวิตนางแน่ คนทั่วหล้าจะนึกว่ากวนจวินโหวกับคู่หมั้นตายไปพร้อมกัน ดังนั้นคุณหนูหลีก็ต้องมีชีวิตอยู่ในวังข้าแทนนางรำผู้นั้น แผนนี้ถึงจะปราศจากช่องโหว่ ไม่เช่นนั้นเกิดทางต้าเหลียงจับได้ว่าเป็นฝีมือซีเจียง ถึงตอนนั้นคงได้ปวดเศียรเวียนเกล้ากันแล้ว นี่ยังไม่พูดถึงเป่ยฉีที่จะคอยช่วยตามกัดพวกเราไม่ปล่อย”
องค์หญิงซีเจียงมองพี่ชายด้วยสายตาลึกล้ำก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เสด็จพี่ไม่ได้โดนตัณหาบังตาก็ดีเจ้าค่ะ ข้าจะบอกให้ท่านรู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย คุณหนูหลีผู้นั้นท่านบีบนางไว้ในกำมือไม่ได้หรอก หากบังเกิดความคิดที่ไม่พึงมีแล้วถูกแว้งกัดจะกลายเป็นปัญหายุ่งยาก”
“น้องพี่วางใจได้ ข้ารู้ขอบเขตดี” ปากเขากล่าวปลอบน้องสาวให้สบายใจอย่างนี้ แต่ในใจแอบหัวร่อ
พระขนิษฐาของเขาไม่เข้าใจบุรุษอยู่ดี สตรีที่ปราบให้เชื่องได้ยากเป็นดั่งม้าดีย่อมมีพยศ ถึงกระตุ้นความสนใจของบุรุษให้อยากเอาชนะได้ นางรำน้อยในวังเขาผู้นั้นโอนอ่อนคล้อยตามเขาทุกอย่าง ต่อให้ยามนอนร่วมเตียงก็ยอมให้เขาตักตวงความสุขได้ตามชอบใจ นานวันเข้าจะหลงเหลือความสนุกตื่นเต้นอีกที่ใดกัน
เฉียวเจากลับถึงจวนก็เอ่ยสั่งอาจูให้ยกพิณปิงชิงอันเลื่องชื่อซึ่งสวี่จิงหงมอบให้ไปตั้งไว้ในห้องหนังสือ จากนั้นไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเหอซื่อแล้วไปที่ห้องหนังสือเริ่มคัดลอกทำนองเพลงพิณ
อีกฝ่ายมอบพิณชื่อดังให้ นางย่อมกำนัลคืนด้วยเพลงพิณอมตะ
คราบหมึกเพิ่งแห้ง เฉียวเจาสั่งให้อาจูนำทำนองเพลงพิณที่เขียนขึ้นใหม่ใส่ในกล่องนำไปส่งให้ที่สกุลสวี่
สวี่จิงหงเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ ทุกคราในเพลานี้นางจะดีดพิณเสมอๆ แต่วันนี้ลานเรือนอันสงบเงียบกลับไม่ได้ยินเสียงพิณ
สวี่ฮูหยินพาสาวใช้สองคนมาหานางแล้วพูดดุ “หงเอ๋อร์ แม่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยกปิงชิงให้คุณหนูสามสกุลหลี”
สวี่จิงหงมองมารดาด้วยสายตาไม่บอกอารมณ์ใด “ท่านแม่ไม่รู้สึกว่าปิงชิงอยู่ในมือของคุณหนูหลีแล้วดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเด็กซื่อ เจ้ายกปิงชิงให้ผู้อื่นไปแล้ว วันหน้าจะดีดพิณคันใดเล่า”
สวี่จิงหงหลุบตาลง กล่าวเสียงเอื่อยๆ “หากไม่มีตัวที่ต้องใจ ไม่ดีดก็ได้เจ้าค่ะ”
แทนที่จะฟังเสียงที่ไม่บริสุทธิ์พวกนั้นให้แปดเปื้อนหู นางขอยอมอยู่อย่างสงบเงียบดีกว่า
สวี่ฮูหยินพยักพเยิดกับสาวใช้ด้านหลัง “เอาพิณไปตั้งไว้ที่ห้องหนังสือให้คุณหนู”
“ท่านแม่…”
สวี่ฮูหยินคลี่ยิ้ม “ใช้ไปก่อนเถอะ วันหน้าพบพิณดีๆ ค่อยเปลี่ยนอีกที แล้วคุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้น…”
เมื่อนึกถึงว่าเฉียวเจารับของรักของหวงของบุตรสาวไว้โดยไม่ปฏิเสธสักนิดเช่นนี้ สวี่ฮูหยินไม่ค่อยพอใจ แต่พอคิดไปถึงเรื่องในงานเลี้ยงวันนี้ นางก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยความไม่พอใจนี้ออกจากปากได้
เป็นนางที่ใจคอคับแคบแล้ว บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของนางก็แค่แสดงน้ำใสใจจริงเท่านั้นเอง
“ฮูหยิน คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูสามสกุลหลีให้คนนำสิ่งของมามอบให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“เชิญคนเข้ามา”
อาจูก้าวเข้ามาในห้องแล้วยื่นกล่องด้วยสองมือส่งให้สวี่จิงหง
นางไม่ชอบพูดอะไรมาก จึงมิได้ถามไถ่อาจูว่าในกล่องเป็นสิ่งใดแต่เปิดมันออกเลย
กลิ่นหมึกหอมจางๆ ลอยมาแตะปลายจมูก สวี่จิงหงมองเห็นตัวอักษรสี่ตัวเป็นคำว่า ‘คัคนานต์กำสรวล’ บนปกหนังสือในกล่องก็หน้าเปลี่ยนสีทันควัน นางยื่นมือหยิบมันออกมาเปิดดูอย่างรวดเร็ว ตอนพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หางตาของนางเปียกชื้นแล้ว “เป็นครึ่งหลังของเพลงพิณอมตะ ‘คัคนานต์กำสรวล’ ที่สูญหายไปแล้วจริงๆ ทำนองเพลงพิณนี้เป็นคุณหนูหลีซานเขียนออกมาหรือ”
อาจูพยักหน้า “คุณหนูของข้าเป็นคนเขียนเองเจ้าค่ะ คุณหนูเขียนเสร็จแล้วสั่งให้ข้าใส่กล่องอย่างดีนำมามอบให้คุณหนูสวี่ทันที”
“แล้วนาง…” สวี่จิงหงกลืนถ้อยคำหลังกลับลงคอ นางลูบหน้าปกหนังสือทำนองเพลงพิณอย่างทะนุถนอมพลางกล่าวทอดถอนใจ “ช่างเถอะ นางมอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้เป็นของขวัญตอบกลับให้ข้า แล้วข้าจะถามอย่างอื่นให้มากความไปไย”
จากนั้นพวกหลันซีหนงก็ออกเทียบในนามพวกนางเชิญเฉียวเจามาสังสรรค์กันเป็นวงเล็กๆ อย่างรวดเร็ว
เฉียวเจาขบคิดเล็กน้อยก็คาดเดาจุดประสงค์ของพวกนางได้ จึงปฏิเสธไม่ไปโดยยกเหตุผลว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยังไม่หายดี
นางไม่ใช่สาวน้อยในห้องหอที่ไร้ทุกข์ไร้โศกอย่างแท้จริง บนบ่าของนางแบกความแค้นใหญ่หลวงไว้ ภายภาคหน้ายังต้องประจันหน้ากับสมุหราชเลขาธิการหลันซานผู้มีอำนาจล้นฟ้า ย่อมไม่มีแก่ใจเป็นหัวหน้าชุมนุมอะไร
กงอ๋องแห่งซีเจียงส่งคนมาลอบเฝ้าดูจวนสกุลหลีนานหลายวันก็ไม่เห็นเฉียวเจาออกนอกเรือน เลยตัดสินใจเล็ดลอดเข้าไปที่นั่นในยามวิกาลเพื่อดูลาดเลาก่อน
ราตรีนี้เป็นคืนเดือนมืดลมแรงพอดี สายสืบของซีเจียงสวมผ้าคลุมหน้าเดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่แถวเชิงกำแพงด้านนอกจวนสกุลหลี ในที่สุดก็พบจุดที่เหมาะแก่การปีนกำแพงเข้าไป
ชายคลุมหน้ากระโดดขึ้นไปเกาะบนขอบกำแพง เฉินกวงยืนยิ้มยิงฟันถือไม้จุดไฟอยู่ด้านหลังเขา
* ต้นเจี้ยนเซวี่ยเฟิงโหว หมายถึงต้นยางน่อง (Antiaris Toxicaria Lesch.) เป็นพืชมีพิษ ชาวป่าใช้น้ำยางสีขาวที่กรีดจากลำต้นทาลูกดอกเพื่อล่าสัตว์หรือป้องกันตัว