หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 641
บทที่ 641
เมื่อเห็นคนผู้นั้นเกาะบนขอบกำแพงไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เฉินกวงก็ถือไม้จุดไฟพุ่งเข้าไปฟาดใส่ท้ายทอยเขาทีหนึ่ง
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นปราดมา ชายคลุมหน้าครางในลำคอเสียงหนึ่ง ก่อนสิ้นสติเขาสบถด่าคำหนึ่งในใจว่า มารดามันเถอะ เป็นเจ้าพวกลูกเต่าจากที่ใดกันถึงไม่รู้ธรรมเนียมเอาเสียเลย ในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะฟาดที่บั้นท้ายมิใช่รึ มีอย่างที่ใดมาถึงก็ตีศีรษะเลย
ชายคลุมหน้าหล่นจากขอบกำแพงลงไปกลิ้งบนพื้นหลายตลบแล้วแน่นิ่งไป
เฉินกวงกวักมือเรียกพรรคพวกที่ซุ่มอยู่ในที่ลับออกมา
องครักษ์อีกคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามากวาดตามองชายคลุมหน้าอย่างเย็นชา เขาพูดเสียงต่ำว่า “เจ้าหนุ่มผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้มานานหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่ามีแผนการร้ายอะไร”
“ดูก่อนว่าเขาเป็นใครแล้วค่อยว่ากันอีกที” เฉินกวงดึงผ้าคลุมหน้าสีดำของคนผู้นั้นลง เขาเปล่งเสียงอุทานเบาๆ ออกจากปากอย่างประหลาดใจ
“มีเหตุใด รู้จักหรือ” องครักษ์อีกคนย่อกายลงด้วย เขามองสำรวจชายคลุมหน้าที่สลบไสลไม่ได้สติแล้วขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “รูปโฉมไม่ชวนมองสักเท่าไรนี่”
เฉินกวงเบะปาก “ก็ใช่น่ะสิ เพราะหน้าตาอัปลักษณ์ ข้าถึงจดจำได้แม่นยำ คนนี้เป็นชาวซีเจียง นักสู้อันดับหนึ่งข้างกายกงอ๋องผู้นั้น หลายวันก่อนริอ่านท้าประลองท่านแม่ทัพของเราในงานเลี้ยง เลยโดนโยนออกไปเลย”
“ชาวซีเจียงเองหรือ” องครักษ์อีกคนพิศดูอย่างละเอียด “จุๆ พวกชั้นปลายแถวตัวสูงไม่ถึงขาท่านแม่ทัพเราพรรค์นี้ถึงกับกล้าลองดีหรือ”
“พูดเกินจริงไปแล้ว จะอย่างไรก็สูงกว่าขาท่านแม่ทัพเรากระมัง”
“เช่นนั้นสมควรจัดการกับคนผู้นี้อย่างไรดี” องครักษ์อีกคนเอ่ยถามเฉินกวง “นี่ถ้าเป็นคนไม่รู้จักก็ขุดหลุมฝังไปเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่เกี่ยวพันถึงแคว้นอื่นก็เป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว”
“จะยุ่งยากอะไร” เฉินกวงยื่นมือไปดึงผ้าคลุมหน้าของคนผู้นั้นขึ้นแล้วพูดกลั้วเสียงหัวร่อชอบใจ “นี่อย่างไร เท่านี้ก็ไม่รู้จักแล้ว ลากตัวไปอัดสั่งสอนให้น่วมสักตั้งแล้วโยนทิ้งไว้บนถนน เพลาๆ มือหน่อยนะ ก่อนฟ้าสางคนผู้นี้ฟื้นขึ้นเองจะได้กลับไปได้”
ทั้งคู่ลากชายคลุมหน้าเหมือนสุนัขตายไปที่มุมหนึ่ง กระหน่ำกำปั้นชกเขายกหนึ่งถึงโยนไปที่กลางถนน
“มารดามันเถอะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าวันหน้าเขายังจะกล้ามาอีก” เฉินกวงถ่มน้ำลายคำหนึ่ง ค่อยตบไหล่องครักษ์อีกคน “ไปกันเถอะ”
ในขณะเดียวกันนี้เองเงาร่างประเปรียวว่องไวสายหนึ่งออกจากตรอกซิ่งจื่อเงียบๆ มุ่งหน้าตรงไปยังจวนสกุลเจียง
“ใต้เท้า ท่านให้ข้าจับตาดูทางจวนสกุลหลีไว้ วันนี้คนที่มาดูลาดเลาหลายวันผู้นั้นมีความเคลื่อนไหวในที่สุดขอรับ”
แสงไฟในห้องไม่สว่างมากนัก เจียงหย่วนเฉาวางม้วนตำราลงแล้วขยี้ตาเบาๆ ทีหนึ่ง เขามองไปทางเจียงเฮ่อที่กลับมารายงาน “หนนี้เจ้าไม่ถูกจับได้กระมัง”
เจียงเฮ่อยืดอกขึ้นทันที “ใต้เท้าวางใจได้ คราวนี้ข้าระมัดระวังตัวมาก รับรองว่าไม่มีคนจับได้ขอรับ”
“อื้อ พูดเข้าเรื่องเถอะ คนผู้นี้มีความเคลื่อนไหวอะไร”
“คนผู้นั้นปีนกำแพงจวนสกุลหลีขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาได้ยินแล้วในดวงตาทอประกายเหี้ยมเกรียมวูบหนึ่ง น้ำเสียงเขาปึ่งชาขึ้นทันที “อ้อ หลังจากนั้นเล่า คนของกวนจวินโหวไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรหรือ”
“มีสิขอรับ เจ้าเฉินกวงคนที่เป็นสารถีของคุณหนูหลีใช้ไม้จุดไฟฟาดคนผู้นั้นจนสลบเหมือด” เจียงเฮ่อเล่าถึงตรงนี้แล้วมีสีหน้าตื่นเต้นคึกคัก “ใต้เท้า ท่านเดาดูว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
เจียงหย่วนเฉาชายตามองเขาอย่างเย็นชา “ขืนให้ข้าเดาอีก ข้าจะฟาดเจ้าจนสลบเหมือดเช่นกัน”
เจียงเฮ่อทำคอย่น เขากล่าวหน้าม่อย “คนผู้นั้นเป็นนักสู้อันดับหนึ่งข้างกายกงอ๋องแห่งซีเจียงขอรับ”
เหตุไฉนใต้เท้ายิ่งมายิ่งไร้อารมณ์ขัน จะไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่นิสัยร่าเริงมองโลกในแง่ดีเช่นข้านี้มีที่ยืนบ้างหรือ
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเจียงเฮ่อ รูม่านตาของเจียงหย่วนเฉาหดแคบลง “สุดท้ายจัดการสะสางอย่างไร”
“พวกเขาอัดสั่งสอนคนผู้นั้นยกหนึ่งแล้วโยนไปกลางถนนขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาลุกขึ้นยืนโดยไม่รอช้า “พาข้าไปดู”
ผ่านไปไม่นานทั้งสองปรากฏกายที่หัวมุมถนน
เจียงเฮ่อชี้เงาดำที่ขดตัวกลมอยู่บนพื้น ลดสุ้มเสียงลงกล่าวว่า “ใต้เท้าดูสิ อยู่ตรงนั้นขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไป ก้มศีรษะลงมองสำรวจคนที่นอนอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง เขาย่อกายลงดึงผ้าคลุมหน้าสีดำของอีกฝ่ายออก
พอเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น แววตาของชายหนุ่มไหววูบ
เป็นคนของซีเจียงจริงๆ อย่างไร้ข้อกังขา
เจียงเฮ่อนั่งยองๆ อยู่ด้านข้าง เขาลูบคางพลางกล่าว “ว่ากันตรงๆ นะขอรับ พวกเขาลงมือได้มีขอบเขตยิ่ง แม้ว่าคนผู้นี้จะโดนซ้อมจนน่วม แต่ไม่กระทบกระเทือนจุดสำคัญ ต่อให้อีกประเดี๋ยวคนตีฆ้องบอกยามไม่พบเขา ถึงตอนฟ้าสางก็น่าจะฟื้นขึ้นมาแล้ว”
สิ้นเสียงเจียงเฮ่อไม่ทันไรก็เห็นประกายสีเงินเย็นเยียบวาบขึ้น ตามมาติดๆ ด้วยโลหิตสาดกระเซ็น
“ใต้…ใต้เท้า?” เจียงเฮ่ออ้าปากกว้างด้วยความตกใจ
เจียงหย่วนเฉาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะเช็ดเลือดบนมีดสั้นแล้วลุกขึ้นยืน “ไปเถอะ”
เจียงเฮ่อลุกขึ้นยืนตาม เขากวาดตามองคนบนพื้นปราดหนึ่ง
คนผู้นั้นนอนงอก่องอขิงอยู่บนพื้น แววเจ็บปวดทรมานยังติดค้างอยู่บนใบหน้า ลำคอถูกปาดเป็นแผลลึกโลหิตไหลทะลักออกมาเจิ่งนองเป็นวงใหญ่อยู่ใต้ร่างในเวลาอันสั้น
“ระวังอย่าให้เท้าเหยียบโดนเลือด” คำเตือนด้วยสุ้มเสียงเย็นชาของเจียงหย่วนเฉาดังลอยมา
เจียงเฮ่อลุกลนถอยหลังหนึ่งก้าว
“ยังไม่ไปอีก?” เจียงหย่วนเฉาเหลือบตามองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเฉยเมยแวบหนึ่งถึงก้าวขาออกเดินไปข้างหน้า
เจียงเฮ่อไล่ตามไป เขาข่มใจแล้วข่มใจอีกก่อนถามขึ้น “ใต้เท้า ท่าน...สังหารเขาด้วยเหตุใดกันขอรับ”
“พูดมาก!”
เจียงเฮ่อทำคอย่นไม่กล้าถามอีก
ถนนหนทางในยามราตรีไร้วี่แววผู้คน มีเพียงเสียงตีฆ้องบอกยามดังก้องอยู่ไกลๆ บนถนนที่ว่างโหรงเหรง “อากาศแห้ง ระวังฟืนไฟ…”
คนตีฆ้องที่เดินมาเรื่อยๆ แลเห็นเงาดำตะคุ่มๆ บนพื้นถนนศิลาเขียว เขาขยี้ตาแล้วเปล่งเสียงรำพึงเบาๆ “นี่เป็นคนเรือนใดดื่มสุราเมามายจนนอนหลับอยู่ตรงนี้”
เขาพบเจอพวกคนขี้เมาพรรค์นี้อยู่บ่อยๆ มีครั้งสองครั้งยังเป็นคนรู้จักด้วย
เขามิได้รู้สึกแปลกใจ เดินถือฆ้องเข้าไปใกล้ๆ จนได้กลิ่นบางอย่างในอากาศก็ชักรู้สึกไม่เข้าที
คนตีฆ้องสูงวัยมากแล้ว แม้นรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ แต่ยังคิดตามไม่ทันในชั่วขณะ เขาก้มลงไปตบๆ ตัวคนบนพื้น “ตื่นเร็วเข้า กลับไปนอนที่เรือนเสีย ขืนนอนต่อไปจะหนาวจนป่วยได้นะ”
คนบนพื้นไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
คนตีฆ้องยกตะเกียงดับยากขึ้นส่องใบหน้าของคนผู้นั้น หลังจากตะลึงงันไปในทีแรก เขาโยนตะเกียงทิ้งกะทันหันแล้ววิ่งหนีตาลีตาเหลือกพร้อมร้องตะโกน “ฆ่ากันตาย! ฆ่ากันตายแล้ว…”
เขาตีฆ้องดังสนั่นหวั่นไหวด้วยความตกใจหวาดกลัว
เรือนชาวบ้านริมถนนสองฝั่งทยอยกันจุดไฟสว่างอย่างรวดเร็ว มีคนเอาเสื้อคลุมตัวถือโคมไฟออกมาดูเหตุการณ์ไม่น้อย
“มีอะไรหรือ เหล่าหลี่?” ผู้อยู่อาศัยในละแวกนี้ล้วนคุ้นเคยกับคนตีฆ้องบอกยามดี มีคนเอ่ยปากถามขึ้น
คนตีฆ้องจับมือคนผู้นั้นไว้แน่นพลางพูดละล่ำละลัก “ตาย…มีคนตาย…ตรงนั้นมีคนตาย!”
คนมากพาให้ใจกล้า พอได้ยินว่ามีคนตาย พวกเขาวิ่งกรูกันเข้าไปยืนล้อมรอบศพของนักสู้ซีเจียงจนไม่มีที่ว่าง
ใต้แสงโคมไฟสภาพน่าสยดสยองของคนตายทำให้มีหลายคนร้องอุทานเสียงดัง
“มารดามันเถอะ คอห้อยร่องแร่งเลย น่ากลัวยิ่งนัก!”
“ถอยหลังไปๆ เลือดเต็มพื้นไปหมด!”
ความรู้สึกต่างๆ นานาทั้งประหลาดใจ สะพรึงกลัว และตื่นเต้นที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้ผู้คนในที่นั้นไม่แยกย้ายกันไป ยังคงยืนมุงดูอยู่ด้านข้างกันหมด
เจ้าหน้าที่ทางการซึ่งได้รับข่าวรุดมาถึงอย่างว่องไว
“ทุกคนหลีกทาง หลีกทางไปให้หมด” เจ้าหน้าที่ทางการถือไม้กระบองไล่คน
คนที่มุงดูยืนห่างไปไกลขึ้นทว่ายังชะเง้อมองคอยืดคอยาว
พวกเจ้าหน้าที่ทางการก็จนปัญญากับเหตุการณ์เช่นนี้เช่นกัน จำต้องปล่อยให้พวกเขาดูไปแล้วเริ่มตรวจดูสภาพคนตาย
“เอ๊ะ ข้ารู้สึกคุ้นหน้าคนผู้นี้นะ”