หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 642
บทที่ 642
“เป็นชาวซีเจียง!” เจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งอุทานขึ้น
“ไม่ผิด ข้าเคยเห็นไกลๆ ในงานเลี้ยงที่ท่านอ๋องทั้งสองทรงจัดขึ้นรับรองคณะทูตซีเจียงก่อนหน้านี้ ตอนนั้นคนผู้นี้ติดตามอยู่ข้างหลังกงอ๋อง”
คนที่ตายไปเป็นชาวซีเจียง เรื่องนี้ย่อมสะสางได้ยากแล้ว
พวกเจ้าหน้าที่ทางการรีบรายงานต่อผู้บังคับบัญชาโดยไม่รอช้า
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหยางอวิ้นจือรองเสนาบดีกรมอาญายังควบตำแหน่งผู้ว่าการที่ว่าการซุ่นเทียน* ด้วย หลังได้รับข่าวนี้ชายชราเรือนผมสีดอกเลาก็แทบสิ้นสติไป
เหตุใดผู้ใกล้เกษียณราชการผู้หนึ่งเช่นเขาต้องมาพบกับเรื่องตึงมือเช่นนี้ด้วยนะ จะให้เขาเป็นรองเสนาบดีกรมอาญาอย่างสงบมิได้หรือไร
หยางอวิ้นจือส่งสารไปยังจวนเสนาบดีกรมอาญาตอนค่ำมืดดึกดื่นโดยไม่รีรอ
โค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญาลุกขึ้นจากเตียงนอนพร้อมรอยคล้ำใต้ตา เขาเดินสะดุดเท้าตนเองในความมืดจนเกือบหกล้ม
“ท่านพี่ ช้าๆ หน่อย จะเรื่องใหญ่ปานใด ฟ้าก็ไม่ถล่มลงมาหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียพูดเอ็ดคำหนึ่ง
โค่วสิงเจ๋อกระทืบเท้า “ฟ้าไม่ถล่มลงมาก็จริง แต่เรื่องนี้น่าหงุดหงิดใจนัก เอาล่ะ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว เจ้านอนหลับตามสบายเถอะ ข้าจะรีบรุดไปที่ที่ว่าการ”
โค่วสิงเจ๋อเข้าสู่ที่ว่าการกรมอาญาพร้อมกระไอเย็นทั่วสรรพางค์กาย ด้านในจุดไฟสว่างไสว พวกหยางอวิ้นจือรอคอยอยู่นานแล้ว
“ใต้เท้า…”
โค่วสิงเจ๋อปั้นหน้าขรึมเดินเข้าเรือนที่ว่าการ “เรื่องมันเป็นเช่นไรกันแน่”
“นักสู้ซีเจียงตายอยู่กลางถนนกลางดึกแล้วถูกคนตีฆ้องพบเข้า ตอนนั้นเขาส่งเสียงเอะอะจนชาวบ้านละแวกนั้นได้ยิน เรื่องก็เลยแพร่กระจายออกไปแล้วขอรับ”
“ตายอย่างไร”
“ตรวจดูเบื้องต้นแล้วเสียชีวิตเพราะโดนปาดคอ ตอนนี้นักชันสูตรกำลังตรวจสอบอย่างละเอียดขอรับ”
โค่วสิงเจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือแล้วหลับตาลง
“ใต้เท้า?”
โค่วสิงเจ๋อโบกมือไปมา “มีงานอะไรก็ไปทำกัน ฟ้าสางแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
เขารีบมายังที่ว่าการในราตรีนี้เป็นการแสดงความรับผิดชอบเต็มที่แล้ว นอกเหนือจากนี้เขาก็จนปัญญาเหมือนกัน พึงสืบอย่างไรก็สืบไปตามนั้นเถอะ
ยามแสงแรกรุ่งเบิกฟ้าโค่วสิงเจ๋อลืมตาขึ้นออกคำสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา “ไปเชิญหัวหน้าสำนักตรวจการฝ่ายซ้ายกับเสนาบดีศาลยุติธรรมมาที่นี่”
ฮ่องเต้ไม่เข้าประชุมขุนนางยามเช้ามีข้อดีอยู่ประการเดียวคือพวกเขาไม่ต้องเข้าประชุมขุนนางเช่นกัน ขอแค่ไม่มีการงานใด จะนอนหลับจนตะวันสายโด่งก็ไม่มีใครสนใจ
ผ่านไปไม่นานนักหัวหน้ากองจางกับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายก็รุดมาถึง ทันทีที่เห็นหน้าโค่วสิงเจ๋อก็ถอนใจเฮือกๆ
“เลิกถอนใจได้แล้ว พวกเรามาหารือกันเถอะ” โค่วสิงเจ๋อนอนเต็มอิ่มแล้วดูสดชื่นกระฉับกระเฉงอย่างยิ่ง
“ยังจะหารืออะไรอีกเล่า เรื่องนี้ปิดไม่อยู่แล้ว บอกกล่าวให้หัวหน้าสำนักพิธีกรรมรู้เรื่องโดยไวเถอะ ให้เขาไปทำความเข้าใจกับคณะทูตซีเจียงก่อน คนถูกสังหารตอนดึกๆ ดื่นๆ จะตามหาตัวฆาตกรได้ง่ายดายปานนั้นที่ใดกัน”
ดวงตาของโค่วสิงเจ๋อเปล่งประกายวูบหนึ่ง “ใต้เท้าหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ฆาตกรผู้นี้หาตัวได้ไม่ง่าย ไม่แน่ว่าทางทูตซีเจียงอาจมีเบาะแสก็เป็นได้นะ”
กลางค่ำกลางคืนพวกชาวซีเจียงน่าชังไม่อยู่ในเรือนดีๆ กลับสวมชุดสีดำออกมาข้างนอก หากบอกว่ากงอ๋องไม่รู้อะไรทั้งนั้นก็มีพิรุธแล้ว
ด้านหัวหน้าสำนักพิธีกรรมได้ข่าวแล้วแทบร่ำไห้ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือไปแจ้งให้กงอ๋องทราบ
“ท่านบอกว่าหวาเซิ่งตายแล้วหรือ” หลังกงอ๋องรู้เรื่องก็ทำสีหน้าถมึงทึง
หลายวันมานี้เขาส่งหวาเซิ่งไปเฝ้าดูจวนสกุลหลีไว้ตลอด แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นแม่เด็กน้อยผู้นั้นออกจากเรือน เขาหมดปัญญาเลยได้แต่สั่งให้หวาเซิ่งเล็ดลอดเข้าไปดูลาดเลาในจวน
หวาเซิ่งเข้าไปแล้วไม่กลับมาเสียที เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแต่แรก คิดไม่ถึงว่าหวาเซิ่งจะตายไปแล้วหรือนี่!
“ศพของเขาอยู่ที่ใด ข้าจะไปดู”
“ท่านอ๋องทรงโปรดตามกระหม่อมมาพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งคู่สาวเท้าไปถึงหน้าประตู องค์หญิงซีเจียงก็เดินมาจากทางด้านหน้า “เสด็จพี่ มีอะไรหรือเจ้าคะ”
“เกิดเรื่องกับหวาเซิ่ง ข้าจะไปดูสักหน่อย”
ครั้นเห็นกงอ๋องเดินสวนผ่านไป องค์หญิงซีเจียงส่งเสียงเรียกไว้ “เสด็จพี่ ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ”
กงอ๋องชะงักเท้าเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
ศพของหวาเซิ่งวางอยู่ในห้องเก็บศพของที่ว่าการกรมอาญา
ในฤดูนี้ข้างในห้องเก็บศพเย็นเยือกวังเวง ทันทีที่ก้าวเข้าไปก็จะขนลุกเกรียวไปทั้งแขน กลิ่นเน่าเหม็นระลอกหนึ่งชำแรกเข้าไปในโพรงจมูก
ถึงจะมีคนเข้าไปในห้องเก็บศพทั้งโขยง แต่หัวหน้าสำนักพิธีกรรมยังรู้สึกแหยงๆ เขาสบช่องไม่มีคนมองอยู่แอบถอยหลังหลายก้าว กลับพบว่าองค์หญิงซีเจียงมีสีหน้านิ่งเฉย
หัวหน้าสำนักพิธีกรรมรู้สึกแปลกใจพอดู
องค์หญิงซีเจียงที่ดูท่าทางอ้อนแอ้นบอบบางผู้นี้กลับใจกล้าเพียงนี้ก็น่าอัศจรรย์แล้ว
เขาสะกดความแปลกใจไว้ เริ่มฟังกงอ๋องซักไซ้ไล่เลียงด้วยท่าทางเอาเรื่องเอาราว “เป็นใครพบศพของหวาเซิ่ง ใต้เท้าจาง พวกข้าเดินทางมาต้าเหลียงเพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการ นับถือว่าต้าเหลียงเป็นแผ่นดินที่เจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดี ทว่าพวกท่านปฏิบัติต่อคณะทูตของพวกข้าเยี่ยงนี้น่ะหรือ หวาเซิ่งถึงกับโดนคนปาดคอตาย ด้วยวรยุทธ์ของหวาเซิ่ง นี่จะต้องมิใช่ฝีมือของคนสามัญธรรมดาอย่างเด็ดขาด ใต้เท้าจาง วันนี้ท่านต้องให้คำอธิบายกับข้าสักอย่าง!”
หัวหน้าสำนักพิธีกรรมสบถในใจว่า มารดามันเถอะ!
เขาเป็นเพียงผู้รับรองอาคันตุกะต่างแคว้นคนหนึ่ง ไม่ได้มีหน้าที่สืบคดีสักหน่อย เขาจะให้คำอธิบายอะไรได้เล่า
“ท่านอ๋องอย่าเพิ่งร้อนพระทัย พวกใต้เท้าของสามตุลาการเรากำลังพยายามสืบหาฆาตกรโดยไม่หลับไม่นอนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“สามตุลาการ?” กงอ๋องเบนสายตาไปหยุดที่ตัวพวกโค่วสิงเจ๋อสามคน
หัวหน้าสำนักพิธีกรรมกุลีกุจอกล่าวแนะนำ “ท่านนี้คือใต้เท้าโค่วเสนาบดีกรมอาญา ท่านนี้คือใต้เท้าหลิวข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย ท่านนี้คือใต้เท้าจางเสนาบดีศาลยุติธรรม…”
กงอ๋องมองไปทางโค่วสิงเจ๋อ “เสนาบดีโค่ว ไม่ทราบว่าทางกรมของท่านสืบหาฆาตกรได้แล้วหรือยัง”
โค่วสิงเจ๋อกล่าวเสียงเรียบ “หากท่านอ๋องทรงตรวจดูเรียบร้อยแล้ว พวกเราออกไปสนทนากันข้างนอกได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
คนชราอย่างเขาอยู่ในที่เช่นนี้นานๆ ข้อศอกข้อเข่าก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว
ทุกคนกลับไปยังโถงรับรองแขกของที่ว่าการ
“ในเมื่อพวกท่านหัวหน้าคณะสามตุลาการอยู่ที่นี่แล้ว วันนี้ต้องให้คำอธิบายกับข้าสักอย่างหนึ่ง!”
“ท่านอ๋องวางพระทัยได้ พวกกระหม่อมจะสืบสาวราวเรื่องให้ถึงที่สุด แต่มีคำถามข้อหนึ่งหวังว่าท่านอ๋องจะทรงไขความกระจ่างให้กระหม่อมได้ เหตุใดนักสู้ของแคว้นซีเจียงถึงสวมชุดเช่นนั้นตายอยู่กลางถนนพ่ะย่ะค่ะ”
กงอ๋องนิ่งขึงไป เขาสบตากับองค์หญิงซีเจียงแวบหนึ่ง
คำถามนี้ตอบได้ยากจริงๆ เขาคงบอกไม่ได้กระมังว่าตนส่งคนไปสอดแนมคู่หมั้นของกวนจวินโหวในยามวิกาล
“ข้าเป็นคนสั่งให้เขาไปทำงานให้ข้าเอง” องค์หญิงซีเจียงกัดริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้น
พอนางปริปากพูดเช่นนี้ก็ดึงสายตาของทุกคนให้มองไป
“น้องพี่…” กงอ๋องสะกดความหลากใจไว้พลางเปล่งเสียงเรียกขาน
“หากข้าเดาไม่ผิด พบหวาเซิ่งบนถนนสายตะวันตกกระมัง”
“ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ” โค่วสิงเจ๋อมององค์หญิงซีเจียงอย่างฉงนใจ
หากจะพูดว่านักสู้ซีเจียงผู้นั้นเป็นกงอ๋องที่ส่งออกไปปฏิบัติงานกลับไม่น่าแปลกใจ ทว่าไฉนองค์หญิงผู้นี้ต้องออกหน้า
“ก่อนหน้านี้ข้าสอบถามได้ความมาว่าตรงถนนสายตะวันตกมีตรอกสายหนึ่งชื่อตรอกซิ่งจื่อ เรือนของคู่หมั้นกวนจวินโหวตั้งอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่”
เมื่อได้รับคำตอบยืนยัน องค์หญิงซีเจียงแสดงคำนับต่อกงอ๋องกะทันหัน “เสด็จพี่ ขออภัยด้วย ข้าก่อปัญหาขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
“น้องพี่ ไฉนเจ้ากล่าวเช่นนี้”
องค์หญิงซีเจียงทำหน้าเจื่อน “คุณหนูหลีเอาชนะข้าได้ในงานเลี้ยงเมื่อหลายวันก่อน ในใจข้าไม่ยอมจำนน อีกทั้งบังเกิดความสนใจใคร่รู้ว่าเหตุใดทั้งที่คุณหนูหลีอ่อนวัยกว่าข้ากลับเก่งกาจถึงเพียงนี้ได้เช่นไร ถึงได้ส่งหวาเซิ่งไปสืบดู ใครจะรู้ว่า…”
ได้ยินคำกล่าวขององค์หญิงซีเจียงแล้ว พวกโค่วสิงเจ๋อปวดเศียรเวียนเกล้าไปในทันใด
เรื่องนี้โยงใยไปถึงกวนจวินโหวอีกได้อย่างไรกัน
“ความหมายขององค์หญิงคือการตายของนักสู้แคว้นซีเจียงเกี่ยวข้องกับสกุลหลีหรือ”
* ที่ว่าการซุ่นเทียน เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจปกครองสูงสุดในระดับท้องถิ่น ตั้งอยู่ในเมืองหลวง