หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 644
บทที่ 644
เซ่าหมิงยวนทำมือบอกให้เฉินกวงรออยู่หน้าประตูแล้วย่างเท้าก้าวเข้าไป
เหล่าขุนนางเดินมาต้อนรับ “ท่านโหว”
ชายหนุ่มกล่าวทักทายทุกคนแล้วไต่ถามขึ้น “ได้ยินว่าท่านพ่อตาของข้าถูกเชิญตัวมารับการไต่สวนที่ที่ว่าการ ไม่ทราบว่าคืบหน้าไปถึงที่ใดแล้ว”
คืบหน้า?
ขุนนางทั้งหลายมองหน้ากันไปมา
จะมีความคืบหน้าอะไรที่ใดกัน ได้แต่ฟังพ่อตาท่านยั่วโทสะคนอย่างสนุกสนาน
“ท่านโหว ท่านมาก็ดีแล้ว ข้า…”
เซ่าหมิงยวนกวาดตามองกงอ๋องแวบหนึ่ง สุ้มเสียงของเขาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “ได้ยินว่าเมื่อคืนพวกท่านอ๋องส่งคนเล็ดลอดเข้าจวนของท่านพ่อตาในยามวิกาล คิดจะสอดแนมคู่หมั้นของกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เรือนกายของกงอ๋องค่อนไปทางผอมบางตามแบบฉบับบุรุษรูปงามสะโอดสะองนุ่มนวลซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบมากที่สุดในซีเจียง ทักษะขี่ม้ายิงธนูเป็นเพียงเรื่องสนุกฆ่าเวลาที่เป็นหน้าเป็นตาของผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ไหนเลยจะมีฝีมือเชิงยุทธ์อย่างแท้จริง ครั้นต้องเผชิญหน้ากับเซ่าหมิงยวนที่แผ่รัศมีอำมหิตดุดันในเสี้ยวเวลานี้ เขารู้สึกได้ว่าแรงบีบคั้นกดดันทวีเพิ่มขึ้นกะทันหัน ถึงกับไม่รู้ว่าสมควรกล่าวตอบอย่างไรดีไปชั่วขณะ
เขาประจักษ์ถึงความแตกต่างของบัณฑิตกับนักรบได้อย่างแท้จริงเป็นคราแรก
อีกฝ่ายเป็นดั่งสุนัขป่าเดียวดายตัวหนึ่ง ยามมองอยู่ไกลๆ นึกว่าเป็นสุนัขตัวใหญ่ไร้พิษภัย แต่พอเผยความดุร้ายออกมาก็ทำให้คนได้กลิ่นของความตายแล้ว
เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับแล้วมองไปทางเหล่าขุนนางของต้าเหลียง “หากใต้เท้าทั้งหลายไม่มีอะไรจะถามแล้ว ข้าก็จะพาท่านพ่อตากลับไป ว่ากันจริงๆ แล้วครอบครัวของท่านพ่อตาข้าต่างหากที่เป็นเจ้าทุกข์ พวกท่านไม่เกี่ยวข้องกับการตายของนักสู้ซีเจียงแต่อย่างใด วันหน้าทุกท่านพยายามอย่าเชิญท่านพ่อตาข้ามาดื่มน้ำชาที่นี่เลย”
“นั่นสิ ข้ายังต้องไปที่ที่ว่าการนะ พวกท่านทำให้ข้าเสียเวลาไปตั้งมากเพียงนี้ เกิดถูกผู้บังคับบัญชาตัดเบี้ยหวัดล่ะก็จะคิดบัญชีกับใคร” หลีกวงเหวินเอ่ยอย่างไม่พอใจ
พวกขุนนางแอบกลอกตาขึ้น
ข้าวสารเดือนละไม่กี่ตั้นของท่านนั่นน่ะหรือ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนใดกันถึงใจดำเพียงนี้
“ประเดี๋ยวก่อน” พอเห็นเซ่าหมิงยวนจะไปจริงๆ องค์หญิงซีเจียงส่งเสียงเรียกไว้
ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าทว่าไม่หมุนกายไป
นางเห็นดังนั้นก็เดินไปเบื้องหน้าเขาเสียเอง นางเหยียดแผ่นหลังน้อยๆ “ท่านโหวจะไปเช่นนี้หรือ”
เสด็จพี่กลับกริ่งเกรงกวนจวินโหวจนไม่กล้ากล่าววาจา แต่นางไม่ใช่
คิ้วเข้มพาดเฉียงของเซ่าหมิงยวนมุ่นเข้าหากัน
“อาลักษณ์หลีบอกว่าในเรือนไม่มีผู้คุ้มกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่คนในจวนพวกเขาจะฆ่าคนตาย แล้วท่านโหวเล่า ส่งคนไปอารักขาคู่หมั้นของท่านหรือไม่”
เขาเม้มเรียวปากบางแน่นๆ ยามมองไปทางองค์หญิงซีเจียง “กระหม่อมส่งคนไปอารักขาคู่หมั้นหรือไม่ เรื่องนี้น่าจะไม่จำเป็นต้องรายงานต่อผู้ใดกระมัง”
เขากล่าวจบแล้วไม่มององค์หญิงซีเจียงอีก กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่ง “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม เอาหลักฐานมาพูดกัน”
“เจ้า…” องค์หญิงซีเจียงกัดริมฝีปากอย่างอับจนวาจา
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าขุนนางต้าเหลียงจะให้ความยำเกรงต่อกวนจวินโหวเช่นนี้ พอเขาถามไล่เลียงถึงกับไม่กล้าพูดจาแสดงความใหญ่โตสักคำ
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนละมุนลงเล็กน้อย เขาผายมือไปทางหลีกวงเหวิน “ท่านพ่อตาเชิญขอรับ ข้ามาถึงช้าไป ท่านไม่ได้รับความคับข้องหมองใจอะไรกระมัง”
ทุกคนที่อยู่ในโถงพูดอะไรไม่ออกยิ่งกว่าเดิม “…” กวนจวินโหว ท่านจะแสดงความเป็นห่วงต่อคนที่ได้รับความคับข้องหมองใจจริงๆ สักหน่อยได้หรือไม่ อย่างเช่นพวกเราที่อดหลับอดนอนมาทั้งคืนแล้ว
“ท่านอ๋อง องค์หญิง พวกพระองค์มิสู้เสด็จกลับไปพักผ่อนก่อน เมื่อทางพวกกระหม่อมสืบพบเบาะแสอะไรจะแจ้งให้พวกพระองค์ทรงทราบทันทีพ่ะย่ะค่ะ” โค่วสิงเจ๋อกล่าวขึ้น
พอเซ่าหมิงยวนไปแล้ว ความรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกที่แผ่มาปกคลุมรอบตัวกงอ๋องถึงนับว่าสลายหายไป เขาเอ่ยบอกด้วยใบหน้าซีดเผือด “น้องพี่ พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
“เสด็จพี่…”
“กลับไปค่อยพูดกัน” กงอ๋องตบตัวองค์หญิงซีเจียงเบาๆ ทีหนึ่ง
เมื่อกลับถึงที่พำนักองค์หญิงซีเจียงอดพูดเสียงขุ่นไม่ได้ “เสด็จพี่ นี่ท่านเป็นอะไรไป กวนจวินโหวมาถึงแล้วเหตุใดไม่พูดไม่จาสักคำ”
กงอ๋องทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือ เอนหลังพิงพนักพรูลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
“เสด็จพี่ ท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ” นางยื่นมืออังหน้าผากของพี่ชาย มือเล็กๆ สัมผัสถูกความเย็นชื้น
กงอ๋องล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าผาก เขากล่าวเสียงขรึม “กวนจวินโหวผู้นั้นพิลึกพิลั่นอยู่สักหน่อย”
“พิลึกพิลั่น?”
กงอ๋องนั่งตัวตรงมององค์หญิงซีเจียง “น้องพี่ หลังจากกวนจวินโหวก้าวเข้ามาแล้วอ้าปากพูด เจ้าไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลยหรือ”
นางไม่เข้าใจความหมายของเขา นิ่งคิดครู่หนึ่งถึงส่ายหน้า “ความผิดปกติกลับไม่มี เพียงรู้สึกว่าเขาอวดดีเผด็จการ แคว้นซีเจียงเราเพียงมีคนน้อยอาณาเขตเล็ก แต่ว่ากันถึงแสนยานุภาพในยามนี้หาได้ด้อยกว่าต้าเหลียงที่กำลังง่อนแง่นไม่มั่นคงสักเท่าไร หนนี้คนที่ตายเป็นชาวซีเจียง พวกขุนนางใหญ่ของต้าเหลียงล้วนให้ความสำคัญมาก แต่กวนจวินโหวไม่แยแสเช่นนี้ ถึงขั้นไม่แม้แต่จะแก้ต่างก็กลับไปเลย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้องค์หญิงซีเจียงรินน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่งยื่นให้เขาพลางเอ่ยถามอย่างกังขา “เสด็จพี่ ท่านพูดว่ากวนจวินโหวพิลึกพิลั่นหมายถึงอะไรเจ้าคะ”
กงอ๋องดื่มน้ำชาร้อนไปหลายคำแล้วสีหน้าดีขึ้นมาก “ตอนเขามองข้าพร้อมกับพูด ข้ารู้สึกคล้ายถูกสุนัขป่าจับจ้องอย่างไรอย่างนั้น กล่าวอะไรไม่ออกสักนิด”
“เสด็จพี่ ท่านเลิกคิดจะลักพาตัวคู่หมั้นของกวนจวินโหวได้แล้ว ข้าว่านะ นั่นเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็น อีกทั้งกลับจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นโดยง่าย” นางนึกถึงความตั้งใจแรกของพี่ชายแล้วไม่ชอบใจเป็นอันมาก จึงสบช่องพูดกล่อม “รอเมื่อนางรำของท่านมาถึง ให้นางปลอมตัวเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหวแล้วฉวยจังหวะสังหารเขาเท่านั้นเป็นพอ ขอเพียงกวนจวินโหวตาย แผ่นฟ้าของต้าเหลียงก็ถล่มลงมาครึ่งหนึ่งแล้ว”
เพลานี้กงอ๋องปราศจากความคิดในเชิงชู้สาวอันใดแล้ว เขาพยักหน้ากล่าวว่า “น้องพี่กล่าวได้ถูกต้อง กวนจวินโหวต้องตายสถานเดียว!”
ตราบใดที่คนผู้หนึ่งอย่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาซีเจียงก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้
องค์หญิงซีเจียงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ความจริงหวาเซิ่งตายไปก็มิใช่เรื่องร้าย เดิมทีพวกเราสมควรกลับไปแล้ว คิดจะถ่วงเวลาจนนางรำมาถึงยังต้องคิดหาข้ออ้างที่เข้าท่าสักอย่าง ตอนนี้ก็ไม่ต้องแล้ว ตราบเท่าที่ยังลากตัวฆาตกรสังหารหวาเซิ่งออกมาไม่ได้ พวกเราก็มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ในต้าเหลียงได้เต็มที่”
กงอ๋องถอนใจเฮือกหนึ่ง “ก็แค่เสียดายหวาเซิ่งเท่านั้น”
นางแค่นยิ้ม “เสด็จพี่ใจอ่อนเฉกอิสตรีได้อย่างไร หวาเซิ่งจะมีวิชายุทธ์ดีปานใด แต่ประมือกับกวนจวินโหวได้ไม่ถึงสามกระบวนเก็บไว้จะมีประโยชน์อันใด ตามความเห็นข้าเขายังมีค่าไม่เท่านางรำในวังท่านเลย อีกอย่างได้พลีชีพเพื่อซีเจียง หวาเซิ่งต้องเต็มใจเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“อื้อ ข้าอยากชำระกายสักหน่อย เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ” เพราะเซ่าหมิงยวนทำให้ขวัญเสีย กงอ๋องหลั่งเหงื่อเย็นโซมกายจนรู้สึกเปียกชื้นไปทั้งเนื้อทั้งตัวชวนให้อึดอัด
“เช่นนั้นเสด็จพี่ตามสบายเถอะเจ้าค่ะ เมื่อคืนข้าหลับไม่สนิท ขอกลับห้องไปนอนก่อน หากท่านมีธุระก็ส่งคนไปเรียกข้าได้”
องค์หญิงซีเจียงกลับถึงห้องผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้วไล่พวกสาวใช้ออกไปจนหมด จากนั้นนอนตะแคงบนเตียงปิดตานอนงีบ
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมา นางมุ่นคิ้วพูดเอ็ด “บอกให้ออกไปให้หมดมิใช่รึ”
นางนอนหลับไม่สนิทมาแต่ไหนแต่ไร หมอหลวงเคยบอกว่านางเป็นคนคิดมากช่างกังวล ต้องทำจิตใจให้สบายจึงจะอาการดีขึ้นได้ ทว่านิสัยที่บ่มเพาะแต่วัยเยาว์ นางอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ที่ใดกัน ในยามปกติเวลานางต้องการพักผ่อน สิ่งที่กลัวที่สุดคือมีคนรบกวน
เสียงฝีเท้าเนิบนาบเยือกเย็นยังไม่หยุดลง
“มันเรื่องอะไรกัน” องค์หญิงซีเจียงลุกขึ้นนั่ง นางทำหน้าบึ้งหมุนกายไป ทว่านัยน์ตาคู่งามกลับเบิกกว้างกะทันหัน
นางไม่ทันเปล่งเสียงออกมา ผู้มาเยือนก็ปิดปากนางไว้แน่นสนิท มืออีกข้างหนึ่งจับลำคอขาวผ่องเรียวระหงดุจคอหงส์แล้วออกแรงบีบทันใด
“อือๆๆ…” องค์หญิงซีเจียงดิ้นรนขัดขืนสุดแรงเกิด มือข้างนั้นกลับไม่ขยับสักนิดดุจปลอกเหล็ก
ในชั่วเวลาสั้นๆ องค์หญิงซีเจียงก็แน่นิ่งไม่ไหวติงอีก