หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 648
บทที่ 648
ภายในห้องหนังสือตกแต่งประดับประดาอย่างเรียบง่าย นอกหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ปลูกต้นกล้วยไว้กอหนึ่งบดบังแสงแดดฤดูใบไม้ผลิไว้มากกว่าครึ่ง ส่งผลให้ในห้องมีเพียงแสงสว่างอ่อนๆ
เฉียวเจาขมวดคิ้วตรึกตรองพลางพูดพึมพำ “ตอนแรกสังหารนักสู้ซีเจียงก่อน อ้างสกุลหลีเพื่อดึงท่านเข้ามาพัวพันด้วย ตามมาด้วยองค์หญิงซีเจียงโดนสังหารอีก เห็นชัดว่าต้องการให้ท่านถลำลึกยิ่งขึ้น ส่วนคนเทถังส้วมที่ออกมาเป็นพยานผู้นั้นกลับพิสูจน์ได้พอดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนมิใช่ประจวบเหมาะ แต่มีคนเจตนาให้ออกมาในรูปนี้ ข้าคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่เขาทำไว้ก่อนหน้าล้วนเพื่อให้ข่าวลือแพร่กระจายไปดังเช่นตอนนี้ ยืนยันว่าเรื่องที่ท่านสังหารองค์หญิงซีเจียงเป็นความจริง”
พอกล่าวถึงตรงนี้หัวคิ้วของเฉียวเจาย่นเข้าหากันมากขึ้น “เสียงของชาวเมือง ผู้อยู่เบื้องหลังคนนี้จะใช้ประโยชน์จากเสียงของชาวเมือง เช่นนั้นแผนการก้าวต่อไปของเขาน่าจะยังเกี่ยวข้องกับจุดนี้”
ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมานวดคลึงหว่างคิ้วของนางเบาๆ เสียงทุ้มนุ่มลึกของบุรุษดังขึ้น “อย่าขมวดคิ้วแรงๆ อย่างนี้สิ ดังคำกล่าวว่ากองทัพมาขุนพลต้าน น้ำบ่ามาเขื่อนดินกั้น* ข้าเชื่อว่าความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่มีวันคงอยู่ได้ยืนยาว”
เขาเป็นนักรบผู้หนึ่ง เรื่องการหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมหรือการเล่นกลอุบายของผู้มีอำนาจพวกนั้น เขาทั้งไม่เชี่ยวชาญทั้งดูแคลน เขาเชื่อว่าเมื่อเทียบกับฝีมือความสามารถที่แท้จริง สุดท้ายพวกนั้นจะเป็นดั่งดอกถานฮวาที่บานให้เห็นเพียงชั่วครู่** เท่านั้น
เฉียวเจาคลี่ยิ้มพลางปัดมือเขาออก “ถึงแม้แมลงวันจะตัวเล็ก แต่อย่างไรก็น่ารำคาญ จับตัวคนผู้นั้นออกมาได้จึงจะดี”
เซ่าหมิงยวนได้ทีกุมมือนางไว้พลางกล่าวทอดถอนใจว่า “ไม้ใหญ่ต้านลม ในราชสำนักรวมถึงแคว้นต่างๆ อย่างเป่ยฉี ซีเจียง มีคนที่เห็นข้าขวางหูขวางตาอยู่ถมเถไป คิดจะจับตัวคนผู้นั้นออกมาหาใช่ง่ายดายไม่ มิสู้อยู่นิ่งๆ ดูความเปลี่ยนแปลง รอให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวก้าวต่อไปดีกว่า เขายิ่งทำอะไรมากก็ยิ่งเผยพิรุธได้ง่าย”
“อื้อ แค่ว่าท่านต้องระวังตัวสักหน่อย”
เซ่าหมิงยวนยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมพูดยิ้มๆ “เจาเจา ถ้าเจ้าจูบข้าทีหนึ่ง ข้าต้องโชคดีแน่นอน”
“เซ่าหมิงยวน!” เฉียวเจามองค้อนเขาวงหนึ่ง ในเวลาอย่างนี้เขายังมีแก่ใจเย้าแหย่กันอีก
“ไม่จูบจริงๆ หรือ” ใบหน้าหล่อเหลาขยายใหญ่อยู่ตรงหน้านาง นัยน์ตาของชายหนุ่มกะพริบเบาๆ แฝงรอยวาดหวัง
เดิมทีเฉียวเจาอยากยื่นมือผลักคนพาลเกเรผู้นี้ออก ทว่าริ้วสีแดงเรื่อๆ ในดวงตาคู่นั้นทำให้หญิงสาวใจอ่อนยวบลงทันใด นางเม้มปากจูบแก้มซ้ายเขาเร็วๆ ละม้ายแมลงปอแตะผิวน้ำ
เซ่าหมิงยวนยิ้มกว้างกุมแก้มซ้ายไว้
“ข้าต้องกลับไปแล้ว เพราะเรื่องของปิงอี๋เหนียงทำให้ท่านย่าไม่สบายใจมาโดยตลอด ส่วนท่านแม่ก็ใกล้คลอดแล้ว ข้าอยากอยู่เป็นเพื่อนพวกท่านมากๆ”
“ข้าไปส่งเจ้า”
เซ่าหมิงยวนออกไปส่งนางถึงหน้าประตู เฉียวเจาหยุดฝีเท้า “อยู่เรือนติดกันนี่เอง ท่านไม่ต้องไปส่งหรอก”
“ได้”
ท่าทีสงบเสงี่ยมเช่นนี้ทำให้เฉียวเจาปลอดโปร่งใจไม่น้อย นางยิ้มหวานให้เขาก่อนจะยกชายกระโปรงเดินออกไปข้างนอก
“เจาเจา…” เซ่าหมิงยวนส่งเสียงเรียกไล่หลัง
เด็กสาวเหลียวมองไป “หือ?”
ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะนางแล้วยีๆ ผม “ดูเหมือนเจ้าตัวสูงขึ้นเล็กน้อยแล้ว”
เฉียวเจายกมือจับผมของตนเองไว้ “เซ่าหมิงยวน ท่านน่ารำคาญนัก ทำผมข้ายุ่งหมดแล้ว”
นางก็แค่ตัวเตี้ยไปนิดเดียวเอง ถึงขั้นต้องจับตาดูความสูงของนางทุกวี่ทุกวันด้วยหรือ
เขายื่นหน้าไปกระซิบริมใบหูนาง “หวังว่าตอนเจ้าออกเรือนมาจะสูงเลยหัวไหล่ข้าได้”
“หุบปากเสีย!” แม่นางเฉียวอับอายจนพาลโกรธ เตะหน้าแข้งชายหนุ่มทีหนึ่งแล้วหมุนกายออกวิ่งไป
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่หน้าเรือนมองดูจนร่างของเฉียวเจาหายลับไปตรงประตูจวนสกุลหลี แล้วถึงรับสายบังเหียนที่องครักษ์ยื่นส่งให้ จากนั้นพลิกกายขึ้นขี่ม้าออกจากตรอกซิ่งจื่อ
การสอบปากคำคนเทถังส้วมของทางกรมอาญาหาได้ราบรื่นไม่ เพราะในคืนวันนั้นเขาก็ตายอยู่ในห้องขัง นักชันสูตรพลิกศพแล้วไม่พบสาเหตุการตาย สุดท้ายลงความเห็นก่อนปิดฝาโลงว่าเป็นการเสียชีวิตเฉียบพลัน ครั้นซักถามผู้คุมขังก็ล้วนบอกไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ
การสืบคดีขององค์หญิงซีเจียงหยุดชะงัก แต่ชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปกลับปักใจแล้วว่าคนที่ฆ่าองค์หญิงซีเจียงตายคือกวนจวินโหว แม้กระทั่งพวกขุนนางหรือผู้สูงศักดิ์ที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังก็ยังคิดเช่นนี้
อันว่าปากคนหลอมทองให้ละลาย คำใส่ร้ายทำลายคนให้ย่อยยับ อานุภาพของข่าวลือนั้นน่าตกใจเสมอ ถึงแม้ยามผู้คนเอ่ยถึงกวนจวินโหวจะมิได้แสดงความไม่พอใจ แต่เช่นนี้กลับเป็นการผลักเขาให้ตกเป็นเป้าสายตา
ข่าวลือใหม่เกี่ยวกับกวนจวินโหวแพร่ออกมาอย่างรวดเร็ว
ในเพิงน้ำชาทั่วทุกซอกมุมของเมืองหลวง ยามว่างหลังอาหารมีคนไม่น้อยถือกาน้ำชาเก่าๆ หรือกุมถ้วยกระเบื้องเนื้อหยาบไว้ในมือข้างหนึ่ง พูดคุยถึงข่าวซุบซิบน่าตื่นเต้นอย่างออกรสออกชาติ
“พวกเจ้าได้ยินกันแล้วหรือยังว่ากวนจวินโหวเป็นบุตรลับๆ นะ”
“ไม่กระมัง กวนจวินโหวเป็นคุณชายรองของจวนจิ้งอันโหวมิใช่หรือ จะเป็นบุตรลับๆ ได้อย่างไรเล่า”
“เจ้าไม่รู้อะไร ข่าวนี้ก็แพร่ออกจากจวนจิ้งอันโหวนี่ล่ะ” ผู้ที่ยกหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมาพูดทิ้งปริศนาไว้แล้วดื่มน้ำชาชั้นเลวคำหนึ่งอย่างละเลียด
“วันนี้ข้าเลี้ยงน้ำชาเจ้าเอง เลิกอมพะนำเสียที”
คนผู้นั้นพึงพอใจแล้วถึงเริ่มกล่าวต่อ “กวนจวินโหวน่ะนะ ทีแรกเป็นบุตรชายของอนุลับของจิ้งอันโหว เพื่อให้เขามีศักดิ์ฐานะอย่างถูกต้องชอบธรรม จิ้งอันโหวถึงอุ้มเขากลับมาเลี้ยงดูเป็นบุตรชายสายเลือดภรรยาเอก”
“นี่ไม่ถูกต้อง จิ้งอันโหวอุ้มกวนจวินโหวกลับมาเลี้ยงดูเป็นบุตรชายสายเลือดภรรยาเอก ฮูหยินของท่านจะตอบตกลงหรือ อีกอย่างถึงตอบตกลง จู่ๆ มีบุตรชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนจะปิดบังได้หรือ”
“พูดไปก็บังเอิญนัก ตอนนั้นฮูหยินของจิ้งอันโหวให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่งพอดี ว่ากันว่าเด็กร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด คลอดออกมาได้ไม่นานก็ป่วยตายไป จิ้งอันโหวใช้แผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อถึงปิดบังเรื่องนี้ไว้ได้ เจ้าคิดดูนะ ทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลกล้วนมีหน้าตาคล้ายๆ กันหมด แล้วใครจะจับได้เล่า”
ผู้ฟังที่เป็นบิดาคนแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “หน้าตาคล้ายๆ กันหมดจริงๆ”
คนผู้นั้นโคลงศีรษะพลางกล่าว “น่าเสียดายที่ถึงคนอื่นดูไม่ออก แต่ผู้เป็นมารดายังคงดูออกได้ ฮูหยินของจิ้งอันโหวรู้ว่ากวนจวินโหวเป็นบุตรชายของอนุลับตั้งแต่แรก ดังนั้นหลายปีมานี้นางถึงเย็นชากับบุตรชายผู้นี้มากมาโดยตลอด นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั่วทั้งจวนจิ้งอันโหวเลยนะ”
“แล้วเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
“ข้าก็ฟังมาจากหลานชายต่างสกุลของลูกสะใภ้คนโตของนายท่านรองที่อยู่ถนนถัดไป เจ้าหนุ่มผู้นั้นเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในร้านสุรา พอดีว่าซื่อจื่อของจิ้งอันโหวไปดื่มสุราแล้วเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาด้วยความเมา ที่แท้ฮูหยินจิ้งอันโหวยังหมางใจกับจิ้งอันโหวด้วยเรื่องนี้ นางถึงโกรธเคืองจนถือศีลกินมังสวิรัติไม่ข้องแวะเรื่องทางโลกอีก ซื่อจื่อของจิ้งอันโหวลอบคับแค้นใจก็เลยดื่มสุราเมามายระบายความในใจออกมา…”
“หากเป็นเช่นนี้จิ้งอันโหวก็ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี…”
“นั่นน่ะสิ เรื่องนี้จิ้งอันโหวไม่นึกถึงใจผู้อื่นเลย จะมีบุตรชายลับก็ไม่เป็นไร แต่ทำเยี่ยงนี้ได้ที่ใดกันเล่า”
ความเห็นในทำนองนี้ไม่เพียงแพร่กระจายไปในหมู่ชาวบ้านสามัญชน ถึงเป็นครอบครัวของเหล่าขุนนางและผู้สูงศักดิ์ก็มีฮูหยินไท่ไท่ผสมโรงด่าทอไปด้วยตั้งเท่าไรก็สุดรู้
“ท่านพี่ วันหน้าท่านอย่าไปมาหาสู่กับจิ้งอันโหวผู้นี้จะดีกว่า อันว่าคบคนพาล พาลพาไปหาผิด อย่าเสียคนเพราะเขา”
“ความคิดตื้นเขิน”
“ความคิดตื้นเขินอะไรกัน ท่านก็แอบเลี้ยงดูอนุลับๆ ไว้ข้างนอกโดยไม่บอกข้าเหมือนกันใช่หรือไม่”
วันรุ่งขึ้นพวกขุนนางไปที่ที่ว่าการ มีกี่คนก็สุดรู้ที่บนใบหน้ามีรอยฟกช้ำ ทุกคนต่างสบตาแล้วยิ้มอย่างรู้แก่ใจกันดี
* กองทัพมาขุนพลต้าน น้ำบ่ามาเขื่อนดินกั้น เป็นสำนวน หมายถึงการใช้ไหวพริบรับมือกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม
** ดอกถานฮวาที่บานให้เห็นเพียงชั่วครู่ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วครู่ก็สลาย ดอกถานฮวาอยู่ในวงศ์กระบองเพชร มีสีขาวนวล ตั้งแต่ดอกบานจนเหี่ยวเฉาใช้เวลาราวสี่ชั่วโมงเท่านั้น จึงเป็นที่มาของสำนวนนี้