หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 649
บทที่ 649
บรรยากาศภายในจวนจิ้งอันโหวตึงเครียดเขม็งเกลียว จิ้งอันโหวถือดาบไปที่เรือนของซื่อจื่อด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“เจ้าลูกเนรคุณ วันนี้ข้าจะฆ่าพวกปากไม่มีหูรูดเช่นเจ้าทิ้งเสีย!”
เซ่าจิ่งยวนซื่อจื่อของจิ้งอันโหวหลบหลีกเป็นพัลวัน “ท่านพ่อ เพียงเพราะเรื่องที่เซ่าหมิงยวนเป็นบุตรของอนุลับแพร่งพรายออกไป ท่านก็จะเอาชีวิตข้าเลยหรือ”
“หุบปากเสีย!” จิ้งอันโหวฟันดาบใส่เขา
“ท่านโหวโปรดยั้งมือด้วยเจ้าค่ะ” หวังซื่อฮูหยินของซื่อจื่ออุ้มบุตรสาวคนเล็กอายุไม่กี่เดือนยืนบังอยู่หน้าสามี
ทารกน้อยแผดเสียงร้องไห้จ้าด้วยความตกใจเสียขวัญ
จิ้งอันโหวรีบดึงดาบกลับ “หวังซื่อ นี่มิใช่เรื่องของเจ้า”
หวังซื่อกล่าววิงวอนพร้อมน้ำตาร่วงเผาะๆ “ท่านโหว ท่านจะสั่งสอนซื่อจื่อ เดิมทีข้าไม่ควรปากมาก แต่ดาบกระบี่ไม่มีตา ซื่อจื่อเป็นบิดาของบุตรสามคนของข้า ข้ามองดูเขามีอันเป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ…”
“เฮ้อ!” จิ้งอันโหวถอนใจแรงๆ เฮือกหนึ่ง เขาโยนดาบลงพื้น พูดเสียงห้วนว่า “ใครก็ได้ มาพาฮูหยินของซื่อจื่อส่งกลับห้อง”
“ท่านโหว…”
จิ้งอันโหวถลึงตาใส่เซ่าจิ่งยวนอย่างดุดัน “เจ้าเดรัจฉาน หากเจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่สักนิด อย่าให้ภรรยาของเจ้ายืนบังอยู่ข้างหน้า”
ใบหน้าของเซ่าจิ่งยวนประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดง เขาเอ่ยกับหวังซื่อ “เจ้ากลับห้องไปก่อนเถอะ”
“ซื่อจื่อ…”
“กลับไป!” เซ่าจิ่งยวนวางหน้าไม่สนิท เขาตวาดเสียงกระด้าง
หวังซื่อคับใจ นางสะกดไฟโทสะตรงกลางอกไว้อุ้มลูกหันหลังเดินออกไป
จิ้งอันโหวไม่ได้เก็บดาบที่ทิ้งลงพื้นขึ้นมาใหม่ เขาง้างเท้าถีบบุตรชายทีหนึ่ง
เซ่าจิ่งยวนโดนถีบล้มลงกับพื้นส่งเสียงครางโอดโอย
พวกบ่าวไพร่ที่ยืนล้อมวงกันอยู่ไม่ไกลต่างไม่กล้าพูดห้ามปราม แต่ในดวงตาที่มองสบกันไปมาเงียบๆ ฉายแววเห็นอกเห็นใจซื่อจื่อ
ท่านโหวช่างใจร้ายเหลือเกิน มิน่าฮูหยินถึงโกรธจนเก็บตัวในศาลบรรพชนเล็กสวดมนต์กินมังสวิรัติ
จิ้งอันโหวถีบอีกทีหนึ่ง เซ่าจิ่งยวนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นร้องครางเบาๆ ในลำคอด้วยความเจ็บปวด
“เดรัจฉาน! มีชีวิตที่สุขสงบดีๆ ไม่ชอบ เจ้าอยากก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นถึงจะพอใจใช่หรือไม่”
เซ่าจิ่งยวนรู้ว่าหนนี้ต้องโดนทุบตีอย่างหนีไม่พ้นก็เลยไม่หลบอีก ปล่อยให้บิดาเตะใส่ตัวเขาทีแล้วทีเล่า เขาพูดเสียงลอดไรฟัน “ท่านพ่อ ตกลงว่าข้ามีความผิดอะไรกันแน่”
“ถึงตอนนี้เจ้ายังปากแข็งไม่ยอมรับผิดอีกหรือ”
เซ่าจิ่งยวนแหงนหน้าขึ้น “เพียงเพราะข้าดื่มสุรามากไปจนเปิดเผยชาติกำเนิดของเซ่าหมิงยวนออกมาโดยไม่ตั้งใจ ท่านก็จะทุบตีข้าจนตายหรือ ท่านพ่อ ข้าต่างหากที่เป็นซื่อจื่อ ส่วนเขาเป็นบุตรชายของอนุลับผู้หนึ่งเท่านั้น เพราะอะไรท่านต้องลำเอียงอย่างนี้อยู่ร่ำไป”
“หุบปากเสีย!” จิ้งอันโหวสะบัดฝ่ามือตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง
“ท่านพ่อ อย่าตีพี่ใหญ่อีกเลยขอรับ” เซ่าซียวนจับแขนบิดาไว้
จิ้งอันโหวมองเซ่าซียวนด้วยสายตาขุ่นเขียว
ผ่านไปหนึ่งปีเรือนกายของเซ่าซียวนสูงใหญ่ขึ้นไม่น้อย สลัดเค้าความอ่อนเยาว์ของวัยเด็กทิ้งไปสิ้น กลายเป็นหนุ่มน้อยคึกคะนองเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง
“ท่านพ่อ ถึงแม้พี่ใหญ่จะมีความผิด แต่ก็เป็นการพลั้งพลาดโดยไม่เจตนา ต่อให้ท่านตีพี่ใหญ่จนตาย ชาติกำเนิดของพี่รองยังคงรู้กันไปทั่วอยู่ดีขอรับ”
จิ้งอันโหวไม่สนใจคำพูดของบุตรชายคนเล็ก เขามองเซ่าจิ่งยวนอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าลูกเนรคุณ เจ้าคงมั่นใจในจุดนี้สินะ ถึงได้กระทำเรื่องที่เป็นการแทงข้างหลังพี่น้องพรรค์นี้ออกมาได้ใช่หรือไม่”
เซ่าจิ่งยวนหลุบตาลง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ท่านพ่อคิดมากไปแล้ว ข้าดื่มสุราเมาแล้วพลั้งปากจริงๆ ขอรับ”
หึ เซ่าหมิงยวนนับเป็นพี่น้องอะไรกัน บุตรชายของอนุลับผู้หนึ่งยึดครองฐานะของน้องชายคนรองตัวจริงไว้ เป็นต้นเหตุให้ท่านพ่อท่านแม่ที่เดิมรักใคร่ให้เกียรติกันต้องผิดใจถึงขั้นหมางเมินเหินห่างกันเช่นนี้ แต่กลับยังได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากคนทั่วหล้าอีก อาศัยอะไร!
ข้านี่ล่ะอยากให้ชาติกำเนิดที่น่าอัปยศของเซ่าหมิงยวนถูกเปิดโปง ชื่อเสียงย่อยยับป่นปี้
เสียงฝีเท้าดังลอยมา ตามมาด้วยเสียงเรียกแฝงรอยละล้าละลังของพวกบ่าวไพร่ “คุณชายรอง…”
จิ้งอันโหวกับบุตรชายสองคนหันขวับไปมอง เห็นเซ่าหมิงยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามา
วันนี้เขาสวมเสื้อคลุมยาวตัวหลวมสีเขียวไม้ไผ่ ขับเน้นให้แลดูสดใสมีชีวิตชีวาดุจสายลมเย็นรื่นกลางแสงจันทร์กระจ่าง บันดาลให้เบนสายตาออกไม่ได้
บ่าวไพร่ทั้งหลายเห็นเขาเดินมาอย่างนี้ ในใจบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
มารดาบังเกิดเกล้าของคุณชายรองต้องเป็นหญิงงามเลิศเป็นแน่แท้ จะทำให้ท่านโหวหลงใหลได้ก็มิใช่เรื่องแปลก
“ท่านพ่อ” เซ่าหมิงยวนเดินไปหยุดยืนเบื้องหน้าจิ้งอันโหวแล้วแสดงคารวะ
“หมิงยวน เจ้ามาได้อย่างไรกัน” จิ้งอันโหวมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุตรชายผู้นี้ในเวลาเช่นนี้
ใบหน้าของชายหนุ่มกลับนิ่งเรียบดุจผิวน้ำ เขากล่าวเสียงนุ่มว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากสนทนากับพี่ใหญ่ตามลำพังขอรับ”
จิ้งอันโหวมองเซ่าจิ่งยวนปราดหนึ่งอย่างสองจิตสองใจอยู่บ้าง
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “ท่านพ่อสบายใจได้ ข้าแค่จะพูดกับพี่ใหญ่เท่านั้น”
จิ้งอันโหวถอนใจเฮือก “พวกเจ้าคุยกันเถอะ”
เซ่าหมิงยวนเดินไปตรงหน้าเซ่าจิ่งยวน ก้มลงยื่นมือไปจะพยุงเขา
เซ่าจิ่งยวนปัดมือเขาออก “ข้าลุกขึ้นเองได้ ไม่ต้องรบกวนเจ้า”
เซ่าหมิงยวนยืดกายขึ้นแล้วไม่เปล่งวาจาใด
เซ่าจิ่งยวนลุกขึ้นยืน เขาทำหน้าตาไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “ไปคุยกันในศาลาทางนั้นเถอะ”
ทั้งคู่ก้าวเข้าไปในศาลา ทั้งไม่ลับหูลับตาผู้คน ทั้งไม่ต้องเป็นกังวลว่าพูดคุยกันแล้วจะถูกใครได้ยิน
เซ่าจิ่งยวนยกสองมือกอดอกพลางพูดเสียงเฉยเมย “เซ่าหมิงยวน ข้าไม่รู้ว่ามีอะไรพูดกับเจ้าได้ เจ้ามีเรื่องใดก็รีบพูดมา”
“พี่ใหญ่…”
เซ่าจิ่งยวนโบกมือไปมา “ไยต้องเสแสร้งเช่นนี้ ถึงตอนนี้แล้วยังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่อีกหรือ”
รอยยิ้มขื่นๆ ผุดขึ้นตรงมุมปากเซ่าหมิงยวน “ถึงข้าจะเป็นบุตรชายลับ ข้าก็เป็นบุตรชายของท่านพ่อวันยังค่ำ”
ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยฝันลมๆ แล้งๆ ว่าท่านแม่ใหญ่และพี่ใหญ่กับน้องสามจะมีความรักผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้ง กระนั้นเขาก็ไม่อยากเห็นภาพที่พี่น้องต้องเป็นศัตรูกันอย่างนี้
“พี่ใหญ่ วันนั้นท่านดื่มสุรากับใคร”
เซ่าจิ่งยวนนิ่งขึงไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นแค่นเสียงพูด “เหตุใดรึ เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้เลยคิดจะลงมือกับสหายข้าหรือ”
“พี่ใหญ่ ข้าหวังว่าพวกเราจะพูดคุยกันอย่างใจเย็นได้”
“ใจเย็น? เซ่าหมิงยวน ข้าจะบอกเจ้าตามตรงก็ย่อมได้ เพียงคิดว่าเจ้าสวมรอยเป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกับข้า ทำให้ท่านแม่ข้าขุ่นข้องใจมายี่สิบกว่าปี พอเห็นหน้าเจ้าข้าก็อยากให้เจ้าไสหัวไปไกลๆ ชาตินี้ทั้งชาติไม่มีทางพูดคุยกับเจ้าอย่างใจเย็นได้!”
ริมฝีปากบางของเซ่าหมิงยวนเม้มแน่น เขารอเซ่าจิ่งยวนกล่าวจบแล้วยกมุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ “ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่อยากคุยกันอย่างใจเย็น เช่นนั้นข้าจะพูดตรงๆ แล้ว เรื่องราวในครั้งนี้พุ่งเป้ามาที่ข้า ส่วนท่านกลายเป็นดาบเล่มหนึ่งให้ฝ่ายตรงข้ามใช้ประโยชน์ ถ้าข้าหาตัวผู้บงการเบื้องหลังออกมาไม่ได้ ดาบเล่มนี้ไม่เพียงทำร้ายข้า ยังจะทำลายจวนจิ้งอันโหวด้วย”
เซ่าจิ่งยวนยิ้มเยาะ “เซ่าหมิงยวน เจ้าไม่ต้องขู่ข้า ก็แค่ชาติกำเนิดน่าอับอายของเจ้าเปิดเผยออกมาแล้ว กวนจวินโหวผู้โด่งดังลือลั่นมีรอยมลทินติดตัว เจ้าก็นั่งไม่ติดแล้วรึ น่าเสียดายนะ คนบางคนถือกำเนิดมามีฐานะต่ำต้อย ถึงจะเก่งกาจมากความสามารถปานใดก็เป็นเรื่องที่สุดปัญญาจะเปลี่ยนแปลงได้”
สายตาของเซ่าหมิงยวนที่มองเซ่าจิ่งยวนปึ่งชาขึ้น “พี่ใหญ่ ท่านเป็นซื่อจื่อของจิ้งอันโหว ข้าคิดว่าท่านพึงเห็นอนาคตของจวนโหวมาก่อนความชมชอบเกลียดชังส่วนตน…”
“เจ้าไม่ต้องอ้างถึงอนาคตของจวนโหวอะไรเลย หรือว่าพอคนทั้งแผ่นดินรู้ว่าเจ้าเป็นบุตรชายลับก็จะส่งผลต่ออนาคตของจวนโหวได้ น่าขันสิ้นดี ข้าว่าเจ้าเป็นห่วงว่าจะกระทบกับอนาคตของตนเองกระมัง เอาล่ะ ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าแล้ว หากเจ้ามียางอายอยู่สักนิด วันหน้าอย่ามาที่นี่ได้หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนมองเซ่าจิ่งยวนนิ่งๆ พร้อมกับหัวเราะเสียงเบาๆ “ก็ได้ ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่ยอมบอก ข้าก็ไม่ฝืนใจ ใต้หล้านี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ช่องลม เรื่องที่ข้าอยากรู้ย่อมต้องสืบออกมาได้”
เซ่าหมิงยวนออกจากศาลารับลม เขากล่าวอำลาจิ้งอันโหวแล้วเดินไปทางหน้าประตู เซ่าซียวนวิ่งมาหา
“พี่รอง ท่านจะไปแล้วหรือขอรับ”