หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 651
บทที่ 651
ณ ห้องหนังสือในคฤหาสน์ของสมุหราชเลขาธิการคนปัจจุบัน
ขณะหลันซานกำลังเคาะโต๊ะหนังสือเบาๆ หลันซงเฉวียนบุตรชายของเขาเปิดประตูเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านต้องการพบข้าหรือขอรับ”
“เจ้าดูนี่สิ” หลันซานเลื่อนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งไปให้เขา
หลันซงเฉวียนกวาดตามองแวบหนึ่ง เห็นบนนั้นเขียนเวลาตกฟากของคนผู้หนึ่งไว้โดยบอกเพียงวันเดือนปี
ในต้าเหลียงเวลาตกฟากและดวงแปดอักษรเป็นความลับส่วนตัวมาก นอกจากจะมอบให้แม่สื่อตอนทาบทามสู่ขอ ปกติจะไม่มีทางให้คนอื่นล่วงรู้ แต่บนกระดาษสีขาวที่หลันซานให้บุตรชายดูแผ่นนี้มิได้เขียนอย่างละเอียดว่าคนผู้นี้ตกฟากยามเท่าไร
“เจ้าเดาว่านี่คือใคร” หลันซานถามกลั้วเสียงหัวร่อ
หลายปีมานี้หลันซงเฉวียนเป็นดังคำกล่าวที่ว่าสีครามกลั่นจากต้นครามกลับเข้มเด่นกว่าต้นคราม อุบายที่ใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามในราชสำนักมากมายหลายอย่างล้วนเป็นเขาที่คิดออกมา สามารถพูดได้ว่าในหัวเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกงชั่วร้าย เขาได้ยินบิดากล่าวคำนี้แล้วกลอกตาไปมา จากนั้นกล่าวออกมาทันควัน “กวนจวินโหว?”
หลันซานพยักหน้ายิ้มๆ “ไม่ผิด เป็นกวนจวินโหวนั่นเอง”
หลันซงเฉวียนนั่งลงฝั่งตรงข้าม เอ่ยอย่างฉงนใจว่า “ท่านพ่อ ท่านสืบเวลาตกฟากของกวนจวินโหวมาด้วยเหตุใดกันขอรับ”
หลันซานเอนหลังเปลี่ยนอิริยาบถอยู่ในท่านั่งสบายๆ พลางพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า “เจ้าไม่ได้ยินข่าวลือข้างนอกเลย?”
หลันซงเฉวียนแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง “เรื่องที่กวนจวินโหวเป็นบุตรชายลับ? นี่เล่าลือกันไปทั่วแล้วมิใช่รึ ข้าจะไม่ได้ยินได้ฟังได้หรือ ทว่าจะใช้จุดนี้เป็นเหตุผลโจมตีเขาไม่ได้กระมัง หากท่านพ่อจะถวายฎีกาฟ้องร้องด้วยเรื่องนี้จริงๆ คงไม่แคล้วต้องโดนฮ่องเต้ด่าทอยกหนึ่งนะขอรับ”
หลันซานชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมย “แน่นอนว่าฟ้องร้องด้วยเรื่องนี้ไม่ได้ แม้ว่าหลายปีมานี้เจ้าก้าวหน้าขึ้นมาก แต่เห็นทีว่าคงมิได้สนใจเรื่องเมื่อสิบปียี่สิบปีก่อน เมื่อสมัยหนุ่มๆ จิ้งอันโหวมักยกทัพไปทำศึกอยู่เสมอ ไม่ค่อยได้อยู่เมืองหลวงมากนัก ยามนั้นเขากับภรรยารักใคร่ปรองดองกันจนเป็นที่กล่าวขวัญถึง”
หลันซงเฉวียนฟังแล้วมีท่าทางกระตือรือร้นขึ้น เขานั่งตัวตรงกล่าวว่า “ท่านพ่อ ความหมายของท่านคือ…”
หลันซานสูงวัยมากแล้ว เขาพยายามเหลือบเปลือกตาขึ้นเผยให้เห็นลูกตาที่ขุ่นมัว ก่อนกล่าวเสียงเนิบนาบ “หากกวนจวินโหวกับบุตรชายคนที่สามของจิ้งอันโหวสลับอายุกัน ยังพูดได้ว่าจิ้งอันโหวอยากได้ความตื่นเต้นแปลกใหม่เลยเลี้ยงดูนางบำเรอไว้ข้างนอกในภายหลัง ทว่าดูจากอายุของกวนจวินโหวแล้ว ตอนนั้นจิ้งอันโหวมีเวลารั้งอยู่ในเมืองหลวงไม่มาก หรือว่ายังนึกครึ้มใจเลี้ยงดูอนุลับๆ ไว้อีก”
“ท่านพ่อ ท่านพูดตรงๆ เถอะขอรับ ข้ามิได้สนใจเรื่องในอดีตสักเท่าไรจริงๆ” มาตรว่าหลันซงเฉวียนไม่เข้าใจว่าบิดาเล่าเรื่องพวกนี้เพื่ออะไร แต่กลับรู้สึกได้รางๆ ว่าเขาใกล้จะล่วงรู้เรื่องใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเรื่องหนึ่งแล้ว
สายตาฝ้าฟางของหลันซานหยุดอยู่ที่กระดาษสีขาวซึ่งเขียนเวลาตกฟากของเซ่าหมิงยวนไว้ เขาลดสุ้มเสียงลง “รัชศกหมิงคังปีที่ห้า เจิ้นหย่วนโหวโดนข้าโค่นล้มด้วยการถวายฎีกาฟ้องร้อง คนทั้งตระกูลถูกตัดศีรษะ ทว่าบุตรชายคนเล็กของเขากลับไม่ได้รวมอยู่ในนั้นด้วย ยามนั้นให้คำอธิบายว่าบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหย่วนโหวอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในครรภ์เลยอายุสั้น ตายไปแล้วก่อนการลงทัณฑ์”
หลันซงเฉวียนตาเป็นประกายทันใด “รัชศกหมิงคังปีที่ห้า นับแล้วเป็นเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน ส่วนกวนจวินโหวปีนี้มีอายุยี่สิบสองปีพอดี ท่านพ่อคาดเดาว่ากวนจวินโหวคือบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหย่วนโหวใช่หรือไม่ขอรับ”
หลันซานพยักหน้าช้าๆ “ไม่ผิด เดิมทีตอนยังไม่มีข่าวเล่าลือกันข้างนอก ข้าก็มิได้คิดไปทางนั้น แต่พอขณะนี้เกิดเสียงโจษจันว่ากวนจวินโหวเป็นบุตรชายลับของจิ้งอันโหว แทนที่จะเชื่อว่าเขาเลี้ยงดูนางบำเรอไว้ข้างนอกเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ข้าขอเชื่อว่านี่เป็นการใช้แผนต้นหลี่ตายแทนต้นท้อของเขา เพื่อปกป้องบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหย่วนโหวไว้มากกว่า”
หลันซานหลับตาลงย้อนความทรงจำกลับไปเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน
รัชศกหมิงคังปีที่ห้า นั่นเป็นปีแห่งการนองเลือดขนานแท้
ซู่อ๋องก่อการกบฏ เขาอาศัยเรื่องนี้โค่นล้มเจิ้นหย่วนโหว เขายังจำได้ว่าตอนนั้นขุนนางที่วิงวอนขอความเมตตาให้เจิ้นหย่วนโหวคุกเข่ากับพื้นเต็มพรืดไปหมด ถึงขั้นมีผู้ตรวจการเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงใช้ความตายเป็นการทูลทัดทาน ดีที่เพลานั้นฮ่องเต้โกรธแค้นเกลียดชังเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซู่อ๋องถึงขีดสุดจึงมิได้โอนเอนเปลี่ยนการตัดสินใจ
จิ้งอันโหวเป็นหนึ่งในบรรดาขุนนางที่วิ่งวุ่นขอความเมตตาให้เจิ้นหย่วนโหวนั่นเอง
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้ดวงตาพร่ามัวของหลันซานทอประกายกร้าววูบหนึ่งกะทันหัน
ขอสังหารผิดพันคนดีกว่าปล่อยให้หนึ่งคนหลุดรอดไป! กวนจวินโหวจะใช่หรือไม่ใช่บุตรกำพร้าของเจิ้นหย่วนโหวที่ล่วงลับไปแล้วก็ช่าง เขาไม่มีทางเสี่ยงอันตรายนี้ จะต้องตัดรากถอนโคนให้จงได้!
“ท่านพ่อ ยอมสังหารผิดพันคนดีกว่าปล่อยให้หนึ่งคนหลุดรอดไป พวกเราต้องเอาชีวิตกวนจวินโหว” หลันซงเฉวียนหน้าแดงไปถึงลำคอด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน
หลันซานตบไหล่บุตรชายพลางรำพึงในใจว่า เป็นบุตรชายข้าอย่างแท้จริง!
“ท่านพ่อ เรื่องในอดีตครั้งนั้นท่านมีเบาะแสอะไรหรือไม่ขอรับ” หลังอารมณ์พลุ่งพล่านคลายลง หลันซงเฉวียนกลับมาเยือกเย็นอีกครา
หลันซานหรี่ตาถอนใจเฮือก “ผ่านมานานเกินไป ถึงมีเบาะแสอะไรก็คงขาดตอนไปแล้ว”
หลันซงเฉวียนเหยียดยิ้มอย่างร้ายกาจ “เบาะแสขาดตอนไม่สำคัญ หลักฐานมิใช่คนทำขึ้นหรอกหรือ อีกอย่างฮ่องเต้ของเราอยากสังหารใคร ไม่ต้องการหลักฐานแน่นหนาอันใดนะขอรับ”
หลันซานพยักหน้าเนิบๆ เขาเป็นขุนนางมาหลายสิบปีจนประจักษ์แจ้งมานานแล้วว่าฮ่องเต้ผู้สูงส่งเลิศลอยพระองค์นั้น ยามจะลงดาบกับขุนนาง ต้องการข้ออ้างมากกว่าหลักฐานมาแต่ไหนแต่ไร
“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าไปจัดการเองขอรับ จะได้ฉกฉวยโอกาสนี้สร้างความตื่นเต้นประหลาดใจให้ฮ่องเต้ตอนเสด็จออกจากการจำศีล”
หลันซานโบกมือไปมา “ไปเถอะ ข้าอายุมากแล้วกำลังวังชาถดถอยลง เรื่องพวกนี้ต้องอาศัยเจ้าแล้ว”
เมื่อบุตรชายออกไปอย่างคึกคักกระปรี้กระเปร่า หลันซานดื่มน้ำชาคำหนึ่งแล้วเอนกายพิงพนักเก้าอี้ก่อนหลับตาทำสมาธิ
ภายในจวนจิ้งอันโหวตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึมเต็มที พวกบ่าวไพร่ล้วนก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่เบาลง ด้วยหวาดหวั่นสุดใจว่าจะสร้างความไม่พึงใจให้ผู้เป็นนายแล้วโดนดุด่าเปล่าๆ ปลี้ๆ
ในกาลก่อนฮูหยินของจิ้งอันโหวเป็นประมุขหญิงดูแลเรือน แต่หลังจากนางถือศีลปฏิบัติธรรม ฮูหยินของซื่อจื่อก็รับหน้าที่นี้แทน ส่วนท่านโหวนั้นในสายตาของคนทั้งจวนเห็นท่านเป็นคนดีแสนประเสริฐยิ่ง ไม่มีใครเคยเห็นท่านบันดาลโทสะมากถึงเพียงนี้
ณ เรือนพำนักของซื่อจื่อ เซ่าจิ่งยวนโดนตีสั่งสอนอย่างหนักหน่วงยกหนึ่งจนลงจากเตียงไม่ไหว หวังซื่อฮูหยินของเขานั่งอยู่ข้างเตียงใส่ยาให้เขาอยู่
“โอ๊ย! เจ้าเบามือหน่อยสิ”
หวังซื่อเบะมุมปากเล็กน้อย “ซื่อจื่อ ไยท่านต้องยั่วโทสะท่านโหวด้วยเล่า…”
“เจ้าจะรู้เรื่องอะไร!” นางยังกล่าวไม่จบเซ่าจิ่งยวนก็ชักสีหน้า แต่แล้วก็ต้องร้องครางโอดโอยขึ้นอีกเพราะกระเทือนถูกบาดแผล “ท่านแม่มีน้ำโหแทบตายอยู่แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือไร อาศัยอะไรให้เซ่าหมิงยวนยิ้มย่องลำพองใจ เจริญก้าวหน้าได้ดิบได้ดี ส่วนข้าเห็นท่านแม่ทุกข์ทรมานอยู่กับตากลับได้แต่นิ่งเป็นเบื้อใบ้”
หวังซื่อหาได้คล้อยตามคำพูดของสามีไม่ “ตอนนี้ใครต่อใครล้วนรู้ว่าท่านโหวยกอนุเหนือภรรยาเอก จนจวนโหวของเราโดนผู้คนชี้หน้านินทาแล้วจะมีผลดีอะไรอีกเล่าเจ้าคะ”
บัดนี้นางปกครองดูแลจวนโหวอยู่ก็ต้องคำนึงถึงบุตรทั้งสามคนของตนเองอย่างแน่นอน รอถึงตอนบุตรชายสองคนพูดคุยทาบทามเรื่องแต่งงานในวันหน้า หากอีกฝ่ายกล่าวคำเดียวว่าคานไม่ตรงเสาย่อมเอียง กลัวว่าบุตรชายของนางจะทำตามอย่างท่านปู่ นั่นถึงเข้าตำราที่ว่าคนใบ้กินหวงเหลียน* แล้ว
เซ่าจิ่งยวนผลักนางออกไปทันที “ถ้าเจ้าไม่อยากใส่ยาให้ข้าก็เปลี่ยนให้คนอื่นทำ”
“ซื่อจื่อ…”
“ออกไป!”
หวังซื่อหลับตาลง สะกดไฟโทสะไว้เดินออกไปเงียบๆ นางเรียกผู้ดูแลมาถามไถ่ “วันนี้ท่านโหวยังไม่ยอมกินอาหารอีกหรือ”
“ขอรับ สำรับอาหารที่ยกเข้าไปเมื่อเช้าถูกยกออกมาโดยไม่ถูกแตะต้องเลย”
หวังซื่อฟังแล้วนิ่วหน้า “ท่านโหวอายุมากแล้ว ไม่กินอาหารจะทนไม่ไหว ตอนเที่ยงเจ้ากำชับทางเรือนครัวทำของที่ย่อยง่ายๆ ข้าจะยกเข้าไปให้ท่านโหวเอง”
ด้วยนิสัยอย่างซื่อจื่อ พอได้สืบทอดบรรดาศักดิ์แล้วจะดีต่อนางหรือไม่ก็ยังไม่แน่ นางภาวนาให้ท่านโหวมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกๆ หลายปีจะดีกว่า
เพลานี้จิ้งอันโหวเอนกายอยู่บนตั่งขาเตี้ยในห้องหนังสือ จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เอ่ยสั่งบ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตู “ไปเรียกคุณชายสามมา”
* หวงเหลียน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน รากมีรสขมมาก มักใช้อุปมาถึงจิตใจที่กลัดกลุ้มอมทุกข์ ‘คนใบ้กินหวงเหลียน’ จึงเป็นคำเปรียบเปรยที่แสดงถึงการมีความคับแค้นใจแต่ไม่อาจพูดออกมาได้