หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 657
บทที่ 657
เฉียวเจาสบตาเจียงหย่วนเฉา “ไม่รบกวนใต้เท้าเจียงให้วุ่นวายใจ ข้าเพียงอยากถามว่าคนผู้นั้นใช่ท่านหรือไม่กันแน่”
เขานิ่งเงียบไป
ครั้นรอคอยครู่หนึ่งแล้วไม่ได้รับคำตอบ นางผลิยิ้มเอ่ย “ช่างเถิด อันว่าแมลงหน้าร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง*”
ใต้หล้านี้เมื่อมีบางคนยอมสละเลือดจนหยาดหยดสุดท้ายเพื่อปกป้องแผ่นดิน เป็นธรรมดาที่ต้องมีบางคนทำลายบ้านเมืองโดยไม่ลังเลเพื่อประโยชน์ส่วนตน
กับคนพรรค์อย่างนี้ นางไม่มีอะไรจะพูดด้วย
เฉียวเจาเดินผ่านตัวเจียงหย่วนเฉาไปข้างหน้า
“เจาเจา…” เห็นเด็กสาวจากไปอย่างไร้เยื่อใยไมตรี ราวกับสิ่งที่กั้นขวางนางกับเขาไว้มิใช่แค่หมื่นสายน้ำพันภูผา ส่งผลให้เจียงหย่วนเฉาหลุดปากเรียกออกมา
เฉียวเจาขยับมือ ใบหน้าของนางแฝงรอยโทสะจางๆ ทว่าการบ่มเพาะขัดเกลาที่ดีเลิศทำให้นางสะกดอารมณ์ชั่ววูบอยากตบหน้าบุรุษเบื้องหน้าสักฉาดสุดแรงไว้
นางไม่หันหน้าไป เพียงชะงักฝีเท้าเล็กน้อยก่อนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปทางจวนกวนจวินโหว
เจียงหย่วนเฉายืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ใต้เท้า?” เจียงเฮ่อส่งเสียงเรียกอย่างระมัดระวัง
เขาไม่ปริปากตอบและก้าวขาเดินไปข้างหน้า
เจียงเฮ่อเหลียวมองแผ่นหลังของเด็กสาวที่ห่างไปไกลแล้ว ค่อยมองผู้เป็นนายที่เดินไปอีกทางหนึ่ง เขาลอบถอนใจแล้วเร่งรีบไล่ตามไป
เฉียวเจาเดินมาถึงตรงหน้าเฉียวหว่าน
“พี่หลี” ดรุณีน้อยเงยหน้ามองเฉียวเจาพร้อมกับสะอึกสะอื้น
เฉียวเจาจูงมือนาง “พวกเราไปพูดกันข้างในนะ”
เฉียวหว่านพยักหน้าอย่างน่ารักรู้ความ
ภายในจวนกวนจวินโหวกว้างใหญ่ คงเป็นเพราะไม่มีประมุขหญิง พอทอดสายตามองไปล้วนเป็นต้นไม้สีเขียวกับก้อนหิน ให้ความรู้สึกแข็งกระด้างอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อกลับถึงสถานที่คุ้นเคยความกระวนกระวายบนใบหน้าของเฉียวหว่านเลือนหายไปไม่น้อย นางเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น “พี่หลี พี่เขยจะกลับมาหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจายิ้มพลางลูบศีรษะนาง “พี่เขยของเจ้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้เจ้าเป็นเด็กดีอยู่กับเรือน อีกประเดี๋ยวเดียวเขาก็จะกลับมา”
เฉียวหว่านนิ่วหน้า “ข้ารู้ว่าพี่เขยแค่หลอกข้า เขากลัวข้าอยู่ในจวนคนเดียวแล้วจะกลัวเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาอึ้งงันไปเล็กน้อย นางรำพึงรำพันในใจว่า น้องสาวคนเล็กก็เริ่มรู้ความแล้ว
“แล้วเจ้าไม่เชื่อคำพูดของพี่เขยหรือ”
“ข้า…” เฉียวหว่านกัดริมฝีปาก “พี่หลี ข้าแอบบอกท่านนะ แต่ท่านอย่าพูดกับพี่เขย ความจริงข้าไม่ค่อยเชื่อหรอก แต่ข้ากลัวพี่เขยจะเป็นห่วงก็เลยแกล้งทำเป็นเชื่อเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาฟังแล้วขบขัน นางเอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าเชื่อคำพูดของข้าหรือไม่”
เฉียวหว่านพยักหน้า “เชื่อเจ้าค่ะ”
เฉียวเจายังไม่ทันได้ถาม นางก็กล่าวอธิบาย “สิ่งที่พี่หลีพูดกับคนที่มุงดูอยู่พวกนั้นเมื่อครู่นี้ข้าได้ยินหมดแล้ว พี่หลีถามจนคนพวกนั้นพูดไม่ออกได้ ข้ารู้สึกว่าท่านเก่งมาก ดังนั้นข้าเชื่อคำพูดของท่านเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอบอกเจ้าว่าพี่เขยของเจ้าจะกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน ดังนั้นหว่านวานอยู่ในจวนต้องกินข้าวให้ตรงเวลา จะร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่ได้ ตกลงหรือไม่”
เฉียวหว่านเม้มปากยิ้มออกแล้ว “พี่หลี ข้าอายุเก้าขวบ ไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วหรอกนะ ร้องไห้ขี้มูกโป่งไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านแม่ใหญ่เคยบอกข้าว่าคนฉลาดจากหนังสือตำราเลยให้ข้าเล่าเรียนเขียนอ่านมากๆ เมื่อก่อนข้าไม่ประสีประสา มักห่วงแต่เล่นสนุก แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว วันหน้าข้าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ยามพบกับปัญหาจะได้เป็นอย่างท่าน แล้วก็…พี่สาวคนโตของข้า…”
พอกล่าวถึงตรงนี้แม่นางน้อยดูเศร้าสร้อยอยู่บ้าง นางไม่เปล่งเสียงพูดแล้ว แต่แพขนตาคล้ายพัดเล็กๆ นั่นสั่นระริก ดวงตาจับจ้องที่หัวรองเท้า
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นพานางเดินเข้าไปด้านใน จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่าแม่นางน้อยกระตุกแขนเสื้อของตน นางจึงหยุดฝีเท้าแล้วมองเฉียวหว่าน “มีเหตุใดหรือ หว่านวาน?”
ดรุณีน้อยมีท่าทางลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
“พี่เขยของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรก็พูดกับข้าได้”
เฉียวหว่านกัดริมฝีปากแล้วตัดสินใจกล่าวออกมา “พี่หลี วันหน้าท่านกับพี่เขยแต่งงานกันแล้ว อย่าให้พี่เขยข้าลืมพี่สาวคนโตของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
แม่นางน้อยมีสีหน้าประหม่าแฝงรอยกระสับกระส่ายไว้หลายส่วน
ฝ่ายเฉียวเจาพลันกล่าววาจาไม่ออกแล้ว
แม่นางน้อยหวั่นใจว่านางจะไม่พึงใจ จึงรีบเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าพี่เขยดีต่อท่าน แต่พี่เจาของข้าน่าสงสารเหลือเกินจริงๆ…”
“สบายใจเถอะ พี่เขยของเจ้าไม่มีทางลืมพี่สาวคนโตของเจ้าเด็ดขาด ข้าขอรับรองต่อเจ้า”
เฉียวหว่านถึงยิ้มออกในเวลานี้เอง
เฉียวเจากินอาหารเป็นเพื่อนนางแล้วถึงกลับจวนสกุลหลี ทันทีที่ก้าวเข้าประตูก็เห็นพวกผู้อาวุโสล้วนชุมนุมตัวกันอยู่ในเรือนชิงซง
“หลานเจา ทางท่านโหวเป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถามไถ่
“เวลานี้เขาถูกองครักษ์จินหลินพาตัวไปแล้ว…”
เฉียวเจายังกล่าวไม่จบ เหอซื่อก็ลุกพรวดขึ้นยืนรวบตัวนางไปกอดไว้ “เจาเจา ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ว่าเรื่องอะไรยังมีแม่อยู่ทั้งคน ต่อให้กวนจวินโหวกลายเป็นสามัญชน ขอเพียงเขาดีต่อเจ้าก็พอ พวกเรามีสินเจ้าสาว ไม่มีวันอดอยาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
ลูกสะใภ้โง่งมผู้นี้ กวนจวินโหวเป็นบุตรชายของเจิ้นหย่วนโหวที่ล่วงลับไปแล้ว ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้จับเข้าคุกหลวง บทลงเอยที่รอคอยเขาอยู่มีเพียงสองทาง ถ้าไม่ใช่เจิ้นหย่วนโหวล้างมลทินได้ก็โดนโทษประหารในฐานะบุตรชายของขุนนางต้องโทษ จะมีทางเลือกกลายเป็นสามัญชนคนธรรมดาที่ใดกัน
ขณะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดคำนึงอยู่อย่างนี้ หลีกวงซูนายท่านรองพูดออกมาตรงๆ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าไร้เดียงสาไปเลย ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้จับกุมกวนจวินโหวเข้าคุกหลวง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น เกรงว่าครอบครัวของจิ้งอันโหวคงต้องจบชีวิตกันหมด ดีไม่ดีจวนสกุลหลีเราก็ยากจะพ้นเคราะห์ร้ายได้”
เหอซื่อหน้าเสีย “เจ้าหมายถึงว่าฮ่องเต้จะตัดศีรษะบุตรเขยข้าหรือ”
หลีกวงซูเบะปากเหยียดยิ้ม เรื่องที่ประจักษ์ชัดเพียงนี้ยังต้องถามด้วยหรือ เขาก็เคราะห์ร้ายเหมือนกัน หลานสาวหมั้นหมายกับกวนจวินโหวกลับไม่ทันได้พึ่งใบบุญสักนิดไม่ว่า ตอนนี้ยังมีโอกาสโดนลงดาบเพราะกวนจวินโหวโดนตีตรวนจำคุก
“แล้ว…แล้วเจาเจาของพวกเราจะทำอย่างไร” เหอซื่อมองบุตรสาวอย่างว้าวุ่นใจ นางหลั่งเหงื่อเต็มใบหน้าด้วยความร้อนรน จู่ๆ ก็รู้สึกปวดท้องหน่วงๆ ระลอกหนึ่ง
“ท่านแม่…” เห็นท่าทางของเหอซื่อไม่ค่อยปกติ เฉียวเจาใจหายวูบ รีบประคองนางไว้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งผุดลุกขึ้นยืน “เหอซื่อ เจ้าเป็นอะไรไป”
“ข้า…ข้าปวดท้อง…” เหอซื่อเจ็บจนยืดตัวตรงไม่ไหว ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ
“แย่แล้ว นี่คือเจ็บท้องคลอดก่อนเวลา!” หญิงชราค้อนควักใส่หลีกวงซู นางไม่มีเวลาด่าทอคน รีบเอ่ยสั่งสาวใช้ให้ไปเชิญหมอตำแยโดยไม่รอช้า
“ท่านแม่ ใจเย็นๆ ไว้นะเจ้าคะ” เฉียวเจาค้นหาขวดกระเบื้องใบหนึ่งในกล่องอาหารที่นำกลับมาแล้วเทยาลูกกลอนป้อนให้มารดากิน
เหอซื่อรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย นางเกาะเฉียวเจาไว้กล่าวอย่างอ่อนระโหยโรยแรง “แม่ไม่เป็นไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสั่งให้พวกสาวใช้พยุงเหอซื่อไปยังห้องคลอดบุตรที่จัดเตรียมไว้แต่แรก
เฉียวเจาอยากตามไปด้วย แต่นางห้ามไว้ “หลานเจา ถึงอย่างไรเจ้าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน รออยู่ข้างนอกเถอะ หากมีปัญหาจริงๆ ค่อยเข้าไปก็ยังไม่สาย”
“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าเข้าไปดูเองเจ้าค่ะ” หลิวซื่อนายหญิงรองกล่าวขันอาสาขึ้น
“ตกลง เจ้าไปเถอะ มีเจ้าอยู่เป็นเพื่อนสะใภ้ใหญ่ นางจะได้อุ่นใจขึ้น”
เหอซื่อเจ็บท้องคลอดตอนนี้ ส่งผลให้ทั้งจวนสกุลหลีตกอยู่ในบรรยากาศตึงเครียดขึ้นกะทันหัน
หลีกวงเหวินเฝ้าอยู่นอกห้องคลอดบุตรได้ยินเสียงร้องโอดโอยของเหอซื่อลอยออกมาเสียงแล้วเสียงเล่าก็ย่ำเท้าวนไปวนมาด้วยร้อนรน
พวกสาวใช้ที่ยกน้ำปนเลือดออกมาข้างนอกได้เห็นก็งงงันไปตามๆ กัน
หลีกวงเหวินยิ่งเห็นยิ่งแตกตื่น ทุกครั้งที่สาวใช้ยกน้ำปนเลือดออกมาหนึ่งอ่างก็วิ่งไปเตะบั้นท้ายน้องชายทีหนึ่ง
พอหลีกวงซูอยากตอบโต้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็จะแค่นเสียงฮึพร้อมกับเงื้อไม้เท้าขึ้น เขาจึงได้แต่สงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้ว
ตอนหลังๆ หลีกวงซูซึ่งโดนเตะจนบั้นท้ายชาด้านเหลือเพียงความคิดเดียวในหัวสมองว่า เมื่อไรพี่สะใภ้ใหญ่จะคลอดเสียที ขืนไม่คลอดอีก ข้าจะโดนเตะตายแล้ว!
* แมลงหน้าร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง เป็นสำนวน หมายถึงหูตาคับแคบ ความคิดอ่านตื้นเขิน