หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 659
บทที่ 659
ฮ่องเต้หมิงคังคิดทบทวนไปมาแล้วพลันรู้สึกว่าวิถีแห่งความเป็นอมตะของตนเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม
“ฝ่าบาท เสนาบดีกรมอาญาโค่วสิงเจ๋อและข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายหลิวโซ่วขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียขอคำพระราชทานพระอนุญาต
ฮ่องเต้หมิงคังได้ยินแล้วทำหน้าขรึมลงเล็กน้อย “ไม่พบ!”
โค่วสิงเจ๋อเป็นญาติผูกดองกับกวนจวินโหว เขาเข้าวังมาครั้งนี้ก็เพื่อขอความเมตตาให้กวนจวินโหวเป็นแน่
สำหรับข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายหลิวโซ่ว… ฮ่องเต้หมิงคังทำเสียงฮึขึ้นจมูก
ทุกคราในเวลาอย่างนี้เขารำคาญข้าหลวงตรวจการพวกนี้เป็นที่สุด เขายังไม่ลืมว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วข้าหลวงตรวจการพวกนั้นบีบคั้นเขาอย่างไร
ฮึ ไม่ยืนกรานในความคิดตนไว้ เจ้าพวกนั้นจะไม่รู้ว่าใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้!
“บอกว่าเรานอนหลับไปแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอู๋เสียเดินออกไปทำตามพระบัญชา “ใต้เท้าทั้งสองเชิญกลับไปเถอะ ฝ่าบาททรงเข้าบรรทมไปแล้ว”
โค่วสิงเจ๋อกับหลิวโซ่วมองหน้ากันไปมา
“เว่ยกงกง เช่นนั้นข้าจะรออยู่ตรงนี้ ฝ่าบาททรงตื่นบรรทมเมื่อไร รบกวนท่านบอกกล่าวให้ทราบสักคำด้วย”
เว่ยอู๋เสียเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกล่าวทอดถอนใจ “เสนาบดีโค่ว ฝ่าบาทจะทรงตื่นบรรทมเมื่อไร ท่านยังไม่ทราบอีกหรือ”
โค่วสิงเจ๋ออึ้งงัน “…” คำกล่าวนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งดีแท้!
“ใต้เท้าทั้งสองอย่าสร้างความลำบากใจให้ข้าเลย กลับไปเถอะ”
“เฮ้อ!” โค่วสิงเจ๋อถอนใจหนักๆ แล้วเดินหน้าขรึมกลับไป
หลิวโซ่วส่ายหน้าก่อนก้าวขาเดินตามไป
เว่ยอู๋เสียกลับไปรายงานต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ใต้เท้าทั้งสองออกจากวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบเปลือกตาขึ้น “เรียกผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินคนใหม่เข้าวัง”
ไม่นานนักเจียงหย่วนเฉารุดมาถึงอย่างเร่งรีบ “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังมองสำรวจชายหนุ่มเบื้องล่างหลังโต๊ะทรงพระอักษร จู่ๆ ก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง “พี่ถังเคยเอ่ยกับเราว่าในบรรดาบุตรชายบุญธรรมสิบสามคนเจ้ามีวิชายุทธ์ดีที่สุด เป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของเขา อีกทั้งความสามารถยังโดดเด่นมาก เป็นอย่างไรบ้าง ช่วงที่ผ่านมานี้คุ้นชินแล้วหรือไม่”
เจียงหย่วนเฉามีสีหน้าปลาบปลื้มใจแกมประหม่า “ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงเป็นใย กระหม่อมเบาปัญญาเหลือทน มีเพียงทุ่มเทกายใจปฏิบัติหน้าที่ต่อจากท่านพ่อบุญธรรมอย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้เช่นนั้นก็ดี เราขอถามเจ้า กวนจวินโหวเข้าคุกแล้วมีท่าทีใดบ้าง”
“กราบทูลฝ่าบาท กวนจวินโหวเข้าคุกแล้วไม่มีท่าทางผิดปกติใดๆ กินข้าวดื่มน้ำตามเวลา อารมณ์สงบนิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังฟังแล้วไม่ใคร่ชอบใจ อารมณ์สงบนิ่ง ถึงเวลากินข้าวก็กินข้าว ถึงเวลาดื่มน้ำก็ดื่มน้ำ นี่คือมั่นใจว่าตนไม่มีทางทำอะไรเขาใช่หรือไม่
“แล้วทูตซีเจียงมีท่าทีอย่างไร” ฮ่องเต้หมิงคังไต่ถามต่อ
เจียงหย่วนเฉานิ่งคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “ทางกงอ๋องแห่งซีเจียงไม่มีอะไรผิดปกติดุจเดียวกัน แค่ว่าเร่งรัดสามตุลาการอยู่ตลอดให้หาตัวคนร้ายที่สังหารองค์หญิงซีเจียงโดยเร็วที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยอู๋เสียซึ่งยืนอยู่มุมหนึ่งมองเจียงหย่วนเฉาอย่างประหลาดใจ แต่เขาเก็บงำแววตาที่ผิดแปลกไปอย่างว่องไวแล้วเริ่มขบคิดอยู่ในใจ
ผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินคนใหม่ผู้นี้กล่าววาจาได้น่าสนใจอยู่บ้าง ฮ่องเต้ถามสองคำถาม เขาตอบสองคำตอบก็ให้ร้ายกวนจวินโหวได้แล้ว
ฮ่องเต้ทรงบันดาลโทสะสั่งให้จับกวนจวินโหวจองจำในคุก เห็นชัดว่าอยากเห็นเขาแตกตื่นหวาดกลัว หากกวนจวินโหวแสดงท่าทางหยิ่งผยองพองขน ฮ่องเต้ต้องทรงรู้สึกว่าเขาถือตนว่ามีคุณความชอบไม่ยำเกรงเจ้าแผ่นดิน ตอนนี้ความคิดที่อยากสังหารเขาเพียงเจ็ดส่วนในทีแรกก็จะกลายเป็นเก้าส่วนแล้ว
อีกส่วนที่เหลือก็อยู่ที่ทางคณะทูตซีเจียง
ถ้าทูตซีเจียงได้ยินว่ากวนจวินโหวเข้าคุกแล้วไชโยโห่ร้องด้วยดีอกดีใจ ฮ่องเต้ก็จะทรงใคร่ครวญถึงประโยชน์ของกวนจวินโหวในการข่มขวัญพวกต๋าจื่อกับชาวซีเจียงได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีโอกาสรอดรำไร
ทว่าคำตอบของเจียงหย่วนเฉามีนัยชวนให้ขบคิดอยู่สักหน่อย เพียงเอ่ยถึงคนร้ายสังหารองค์หญิงซีเจียง ไม่พูดถึงท่าทีของกงอ๋อง เช่นนั้นฮ่องเต้จะทรงคิดแต่ว่ากวนจวินโหวปลิดชีพนางเพราะมีจุดประสงค์ยุยงให้สองแคว้นบาดหมางกันเพื่อล้างแค้นให้บิดา
เว่ยอู๋เสียลูบปลายคาง ในกาลก่อนไม่เคยได้ยินว่าเจียงหย่วนเฉามีความแค้นกับกวนจวินโหว แต่คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ล้วนเป็นพวกน้ำนิ่งไหลลึกจริงๆ จะปรามาสมิได้เป็นอันขาด
“เอาล่ะ เรารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
เจียงหย่วนเฉาออกจากวังหลวงเดินไปตามถนนศิลาเขียวอันกว้างขวาง ทว่าจิตใจเขาหาได้ผ่อนคลายไม่
คล้ายว่าท้องฟ้าไม่เคยสดใสเลย ผืนเมฆสีดำครึ้มก่อตัวเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่บนนั้น อาจเพราะมีสาเหตุจากอากาศ พาให้ผู้คนตามถนนหนทางแลดูบางตาไปด้วย
เขามิได้ขี่ม้า เพียงสาวเท้าเดินเอื่อยๆ อย่างนี้จนกลับไปถึงที่ว่าการก็เป็นเวลาย่ำเย็นแล้ว
เจียงเฮ่อเห็นผู้เป็นนายกลับมาก็ก้าวเข้าไปหา
เจียงหย่วนเฉากำลังอารมณ์ไม่ดี เขาชายตามองเจียงเฮ่อพลางกล่าวอย่างเฉยเมย “มีเรื่องสำคัญก็พูด ไม่มีก็ไสหัวไป”
“ใต้เท้า คุณหนูหลีมาขอรับ” เจียงเฮ่อพูดกลั้วเสียงหัวร่อ ใต้เท้าดูท่าทางหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเรื่องอื่นเขาคงไม่กล้าพูด แต่หากเป็นเรื่องของคุณหนูหลี ใต้เท้าต้องเต็มใจฟังเป็นแน่
เจียงหย่วนเฉาได้ยินแล้วอึ้งงันไป เขาเหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้า “มาที่นี่ในเวลานี้หรือ”
นางยังมีธุระมาหาข้าอีกหรือ ถ้ามีก็เหลือแค่เรื่องของกวนจวินโหวแล้ว
“คุณหนูหลีนำอาหารมาให้กวนจวินโหว ข้าตัดสินใจปล่อยให้นางเข้าไปเองขอรับ”
พอเห็นเจียงเฮ่อทำสีหน้าท่าทางทวงคำชมแล้ว เจียงหย่วนเฉาข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากถีบคนไว้ เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “คุณหนูหลีเข้าไปนานเท่าไรแล้ว”
“เอ่อ…เพิ่งเข้าไปได้ไม่นานขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาก้าวขาเดินไปทางคุกของกององครักษ์จินหลิน แต่พอถึงที่นั่นแล้วกลับยืนอยู่ข้างนอกไม่เข้าไป
“ใต้เท้า ไฉนท่านไม่เข้าไปขอรับ”
“มีแต่เจ้าที่ปากมากนัก” เจียงหย่วนเฉายืนเอามือไพล่หลัง มองดูเมฆสีดำที่ลอยปั่นป่วนอยู่กลางฟ้าพลางนับเวลาอยู่ในใจ
ฝนจะตกแล้ว ไม่รู้ว่านางจะอยู่ในนั้นนานเพียงใดถึงจะออกมา
ภายในคุกมีแสงสว่างสลัวราง เซ่าหมิงยวนนั่งอยู่ด้านในลึกสุด เอนหลังพิงผนังเย็นเฉียบนิ่งๆ ไม่ขยับกาย
“ท่านโหว คุณหนูหลีมาเยี่ยมท่านขอรับ” องครักษ์จินหลินผู้หนึ่งเปล่งเสียงเรียก
เด็กสาวร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนอยู่หน้าซี่กรงเหล็ก
“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาเยี่ยมข้ามิใช่หรือ ในนี้เย็นชื้นเกินไป…” เซ่าหมิงยวนเดินฉับๆ ไปหา เสียงพูดของเขาหยุดชะงักกะทันหัน
ใต้แสงไฟมืดสลัวๆ เขามองเห็นโครงหน้าของเด็กสาวเพียงรางๆ แต่สีหน้าของนางกลับเห็นได้ไม่ชัดเจนจะแจ้ง
ทว่าต่อให้เด็กสาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาจะละม้ายคล้ายคลึงสตรีที่เขารักปานใด ถึงขั้นไม่ต้องอ้าปากพูด เขาก็ยังคงแยกออกได้ทันทีว่า ‘นาง’ ไม่ใช่นาง
แต่ไรมายามเขามองคนผู้หนึ่งมิใช่มองเพียงรูปโฉม ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น กลิ่นอายตลอดจนจังหวะการหายใจของพวกนางล้วนแตกต่างกัน
สตรีที่โผล่มาจากที่ใดก็สุดรู้ผู้นี้จะเป็นเจาเจาของเขาได้อย่างไรเล่า
กระนั้นใบหน้าของชายหนุ่มอาจไม่เผยอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย ทว่าในใจยังคงแตกตื่นอยู่ดี
สองสามวันที่เขาอยู่ในคุกนี้ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุไฉนมีสตรีที่รูปโฉมเหมือนเจาเจาราวกับแกะปรากฏกายขึ้น เช่นนั้นเจาเจาเล่า เกิดเรื่องขึ้นกับนางหรือไม่
“ข้านำอาหารมาให้ท่าน” เด็กสาวยื่นกล่องอาหารให้ สุ้มเสียงของนางทุ้มต่ำคล้ายโดนลมเย็น ได้ยินไม่ชัดถนัดหู
เซ่าหมิงยวนมองกล่องอาหารปราดหนึ่ง เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นปกติ “องครักษ์จินหลินไม่อนุญาตให้นำของพวกนี้เข้ามามิใช่หรือ”
เด็กสาวนิ่งขึงไป นางอดหันไปมององครักษ์จินหลินที่พานางเข้ามาไม่ได้
เขาอ้าปากกล่าว “ตรวจดูแล้ว ล้วนเป็นอาหาร”
เซ่าหมิงยวนรับกล่องอาหารไว้ พูดเสียงเรียบเฉยว่า “รีบกลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะที่เจ้าจะรั้งอยู่นานๆ”
เด็กสาวพยักหน้าหงึกหงัก พูดเสียงต่ำๆ ว่า “รักษาตัวด้วย” จากนั้นเดินตามองครักษ์จินหลินออกไป
เซ่าหมิงยวนหิ้วกล่องอาหารไปวางไว้ในมุมหนึ่งแล้วเปิดออกดู กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งไปทั่ว เขาหยิบเข็มเงินที่เฉียวเจาแอบยัดใส่มือเขาตอนมาส่งที่หน้าประตูจวนกวนจวินโหวออกมาจิ้มลงในอาหารจานหนึ่ง
เข็มเงินเปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็วมาก