หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 663
บทที่ 663
หลังเจียงหย่วนเฉาฟังคำรายงานจากเจียงเฮ่อแล้วมีสีหน้าขรึมลง
คุณหนูเฉียวไปวังรุ่ยอ๋องทำอะไร
เมื่อคิดถึงว่ากงอ๋องของซีเจียงพำนักอยู่ในวังอ๋อง สีหน้าของชายหนุ่มก็บึ้งตึงไป
นางรำผู้นั้นเป็นคนที่กงอ๋องส่งมา บ่งบอกได้ว่าเจ้าคนบัดซบผู้นั้นเริ่มหันเหเป้าหมายไปที่คุณหนูเฉียวแต่แรกแล้ว ตอนนี้จู่ๆ นางก็ถูกเชิญไปที่นั่น ทำให้เขาไม่อาจไม่คิดมากได้
“ไปจับตาดูวังรุ่ยอ๋องไว้ มีความผิดปกติใดๆ ให้รีบมารายงานข้าทันที”
“ขอรับ” เจียงเฮ่อขานรับแล้วออกไปอย่างขมีขมัน
เจียงหย่วนเฉานั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือสะสางงานไปได้หลายอย่าง แต่กลับรู้สึกงุ่นง่านวุ่นวายใจ เขาเลยออกจากที่ว่าการกององครักษ์จินหลินและตรงดิ่งไปที่วังรุ่ยอ๋อง
ด้านรุ่ยอ๋องนั้นยังอยู่ในเรือนของหลีเจี่ยว เพราะว่าต้องรอเฉียวเจามาที่นี่
“เจี่ยวเหนียง เจ้าบอกว่าคุณหนูสามมีอคติกับเจ้าอยู่บ้าง นี่เป็นเพราะเหตุใดหรือ” รุ่ยอ๋องถามไปเรื่อยเปื่อย
อาลักษณ์หลีเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยแสนต้อยต่ำผู้หนึ่ง สองพี่น้องก็ล้วนเป็นสตรีจะมีความขัดแย้งอะไรต่อกันได้
หลีเจี่ยวถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ข้าไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกับน้องเจา ท่านย่าเป็นผู้เลี้ยงดูตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ สองพี่น้องไม่ได้อยู่ด้วยกันบ่อยนัก ดังนั้นจึงช่วยมิได้ที่จะเข้ากันไม่ค่อยได้เพคะ”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง” รุ่ยอ๋องฟังแล้วกลับบังเกิดความสงสารเห็นใจต่อนางอยู่หลายส่วน
บุตรที่กำพร้ามารดาแต่วัยเยาว์ ไม่มีมารดาคอยปกป้อง เขาเคยลิ้มรสชาตินี้มาก่อน มันทุกข์ทรมานเหลือเกิน
ครั้นคิดไปอย่างนี้หลังหลีซื่อเข้าวังมาแล้วไม่ได้เข้าหอกับตนอยู่จนแล้วจนรอดถึงได้วางเล่ห์กลก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้แล้ว
ทว่า…
พอรุ่ยอ๋องนึกถึงที่ไม่อาจทำตามคำกำชับกำชาของหมอเทวดาหลี่ได้ครบหนึ่งปี วันหน้าร่างกายของตนจะเป็นอย่างไรก็ยังไม่แน่นั้น ความสงสารเห็นใจน้อยนิดนั่นก็อันตรธานไปทันควัน
ถ้าหลีซื่อมีครรภ์ก็แล้วกันไป แต่ถ้าไม่มีเขามิใช่คนใจอ่อนกับสตรีมากมายปานนั้น ใต้หล้านี้มีคนน่าสงสารอยู่ถมเถไป
ทั้งคู่คุยสัพเพเหระกันต่ออีกครู่หนึ่ง ข้ารับใช้ก็เข้ามารายงานว่า “คุณหนูสามสกุลหลีมาถึงแล้วเพคะ”
รุ่ยอ๋องลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปอยู่ที่ห้องหนังสือสักครู่ พวกเจ้าสองพี่น้องไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันก่อนเถอะ”
หลีเจี่ยวพยักหน้าอย่างขอไปที ด้วยในใจนางกำลังตะลึงพรึงเพริดเต็มที
หลีซานยอมมาหรือนี่
ทั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเย็นชาห่างเหินกันถึงขีดสุดแล้ว เหตุใดนางถึงมาที่นี่
หรือว่า…
หลีเจี่ยวตวัดสายตามองแผ่นหลังที่ออกไปของรุ่ยอ๋องแล้วฉุกคิดขึ้นได้
หรือว่าหลีซานมาหารุ่ยอ๋องเพื่อขอความเมตตาให้กวนจวินโหว
หลีเจี่ยวครุ่นคิดวุ่นวายไปหมด สิ่งที่เฉียวเจากระทำผิดไปจากความคาดหมายของคนทั่วไป เป็นเหตุให้จิตใจนางสับสนยุ่งเหยิง
เฉียวเจาเดินตามข้ารับใช้ของวังอ๋องเข้ามา
“พี่เจี่ยวไม่สบายตรงที่ใดหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาเอ่ยถามตรงๆ มิได้กล่าวโอภาปราศรัยอันใดกับนาง
หลีเจี่ยวอึ้งงันไปกับคำถามของอีกฝ่าย นางกลอกตาหลุกหลิกก่อนจะยกมือกุมอกพลางกล่าวว่า “พักนี้มักรู้สึกแน่นอก”
เฉียวเจายื่นมือไป
หลีเจี่ยวงงงันไปเล็กน้อย
“พี่เจี่ยวยื่นมือมาสิ ข้าจะจับชีพจรให้”
“อ้อ” หลีเจี่ยวยื่นข้อมือไป แต่ในใจลอบหัวเราะเยาะเย้ย นางกลับอยากดูนักว่าหลีซานจะพูดอะไรได้
นิ้วมือขาวยาวเรียวของเฉียวเจาแตะบนข้อมือของหลีเจี่ยวนิ่งๆ ครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “พี่เจี่ยวรู้สึกใจหวิวๆ หายใจไม่ทั่วท้อง ตอนกลางคืนนอนหลับไม่สนิทบ่อยๆ ใช่หรือไม่”
“ใช่” หลีเจี่ยวใจหายวาบ หรือว่าข้ามีอะไรผิดปกติจริงๆ
“ไม่เป็นไรมาก พี่เจี่ยวอย่าคิดมากก็จะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปาก นี่จะประชดประชันว่านางชอบคิดฟุ้งซ่านหรือไร
เสียงฝีเท้าดังลอยมา สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูพากันแสดงคารวะ “ท่านอ๋อง”
รุ่ยอ๋องก้าวเข้ามา มุมหนึ่งของชายเสื้อคลุมปักลายมังกรสี่เล็บสีดำปลิวลอยขึ้นตามแรงลมโกรกผ่าน รองเท้าสีดำปักลายเดียวกันหยุดนิ่งกับที่ เสียงนุ่มนวลดังขึ้น “เจี่ยวเหนียง เจ้ามีแขกอยู่ในห้องหรือ”
หลีเจี่ยวลุกออกไปต้อนรับ “แขกอะไรที่ใดกันเพคะ เป็นน้องสาวของหม่อมฉันเอง”
“อ้อ น้องเจามาหรือ” มุมปากของรุ่ยอ๋องประดับรอยยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยนดุจสายลมวสันต์ยามมองไปทางเฉียวเจา
เฉียวเจาแสดงคำนับต่อเขาด้วยท่าทางเปิดเผยแล้วกล่าวอย่างไม่โอหังไม่เจียมตน “มิบังอาจรับคำเรียกขานนี้จากท่านอ๋องเพคะ”
หลีเจี่ยวเป็นอนุ รุ่ยอ๋องกลายเป็นพี่เขยของข้าตั้งแต่เมื่อไร
รุ่ยอ๋องไม่คาดว่าจะโดนปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม เขาลูบๆ จมูกด้วยท่าทางละม้ายคนอารมณ์เย็น “วันนั้นได้เห็นเป้าธนูที่คุณหนูสามยิงตอนงานเลี้ยง ข้าตกตะลึงอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าคุณหนูสามอายุยังน้อยๆ ก็มีฝีมือยิงธนูดีเพียงนี้ ทั้งยังใช้พู่กันสามด้ามเขียนพร้อมกันได้อีก ช่วยเชิดหน้าชูตาให้ต้าเหลียงเราได้ครั้งใหญ่”
หลีเจี่ยวได้ยินแล้วลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กวนจวินโหวโดนจับเข้าคุกไปแล้ว อีกไม่นานก็ต้องศีรษะหลุดจากบ่า แล้วคนที่มีฐานะเป็นคู่หมั้นของเขาจะมีบทลงเอยที่ดีอะไร เหตุใดนางอยู่เบื้องหน้าท่านอ๋องต้องเจียมเนื้อเจียมตัว ส่วนหลีซานจนตอนนี้แล้วยังวางท่าเย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตาได้อีก
“พวกเจ้าสองพี่น้องนานทีปีหนจะได้พบหน้ากัน คุยกันตามสบายเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว” รุ่ยอ๋องส่งสายตาให้หลีเจี่ยวก่อนหมุนกายจะออกจากห้อง
หลีเจี่ยวรีบกล่าวขึ้นอย่างรู้จังหวะ “ความจริงหม่อมฉันเชิญน้องเจามาที่นี่เพราะไม่ค่อยสบายเพคะ”
รุ่ยอ๋องหยุดฝีเท้าทันควัน เขามองเฉียวเจาด้วยสายตาประหลาดใจ “คุณหนูสามยังรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ”
เฉียวเจาไม่ทันเอ่ยตอบ หลีเจี่ยวก็แย้มยิ้มอ่อนหวาน “ท่านอ๋องทรงไม่ทราบว่าน้องเจาของข้าเป็นหลานสาวบุญธรรมของท่านหมอเทวดาหลี่ ได้รับถ่ายทอดวิชาแพทย์มาจากท่านด้วยตนเองเลยนะเพคะ”
“คุณหนูสามเป็นศิษย์ที่สืบทอดวิชามาจากท่านหมอเทวดาหลี่โดยตรงเชียวหรือนี่” รุ่ยอ๋องมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าแฝงรอยยินดี
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก พอได้แล้ว ขืนแสดงละครต่อไปอีก ข้าจะไม่ร่วมผสมโรงด้วยแล้วนะ!
รุ่ยอ๋องประสานมือคารวะเฉียวเจากะทันหัน
เฉียวเจากลับคิดไม่ถึงว่ารุ่ยอ๋องยังเป็นผู้รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว นางเบี่ยงกายหลบการคารวะแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “เหตุใดท่านอ๋องทรงทำเฉกนี้เล่าเพคะ”
ความเฉยเมยของเด็กสาวทำให้เขาเก้อกระดากไปชั่วอึดใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาเป็นถึงท่านอ๋องผู้ทรงเกียรติยังประสานคารวะให้ เด็กสาวนางหนึ่งไม่สมควรตระหนกตกใจหรือ
“อ้อ ท่านอ๋องวางพระทัยได้ เมื่อครู่หม่อมฉันจับชีพจรให้พี่เจี่ยวแล้ว ร่างกายของนางกำยำแข็งแรงมาก ไม่มีปัญหาใดๆ พระองค์ทรงไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจหม่อมฉันถึงเพียงนี้” เสียงพูดของเด็กสาวเรียบเรื่อย ดูเหมือนนางเพิ่งเข้าใจความหมายท่าทางนี้ของรุ่ยอ๋องได้ฉับพลัน
รอยยิ้มตรงมุมปากของหลีเจี่ยวนิ่งค้างไป นางกำยำแข็งแรง? พูดจาเหลวไหลสิ้นดี! นางว่าแล้วเชียวว่านางตัวดีหลีซานไม่ประสงค์ดี ไฉนกล่าวถึงสตรีร่างอรชรอ้อนแอ้นเช่นนางด้วยถ้อยคำหยาบคายเยี่ยงนี้
รุ่ยอ๋องกระแอมกระไอทีหนึ่งอย่างกระอักกระอ่วนใจ “เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ตอนนี้กงอ๋องแห่งซีเจียงพำนักอยู่ในวังของข้า ไม่คาดว่าเขาจะล้มป่วย ข้าในฐานะเจ้าของเรือนรู้สึกกังวลใจจริงๆ พอจู่ๆ ได้ยินว่าคุณหนูสามเป็นศิษย์หมอเทวดาเลยเสียมารยาทไปบ้าง หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
เฉียวเจาแย้มยิ้มเป็นเชิงว่าเข้าใจได้
รุ่ยอ๋องลอบโล่งใจ เขากล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “ในเมื่อคุณหนูสามเป็นศิษย์ของหมอเทวดา ข้าคงต้องทำหน้าหนาขอให้ท่านไปดูอาการให้กงอ๋องสักหน่อย”
เฉียวเจากล่าวอย่างอิดเอื้อน “แม้หม่อมฉันร่ำเรียนวิชาแพทย์กับท่านปู่หลี่มาบ้าง แต่อย่างไรยังอ่อนประสบการณ์นัก”
“คุณหนูสามสบายใจได้ รักษากงอ๋องให้หายได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
“เช่นนั้นหม่อมฉันไปดูก็ได้เพคะ”
รุ่ยอ๋องมองไปทางหลีเจี่ยว “เจี่ยวเหนียง เจ้าตามไปเป็นเพื่อนคุณหนูสามเถอะ”
ปากหลีเจี่ยวเปล่งเสียงขานรับแล้ว แต่ในใจกลับปนเปไปด้วยความรู้สึกนานัปการ
นับแต่นางเข้าสู่วังอ๋องก็เหมือนอยู่ในกรงขังก็ไม่ปาน โดยเฉพาะหลังจากเกิดเรื่องนั้นขึ้น แม้แต่ออกไปที่สวนดอกไม้ยังทำไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่ได้ออกไปที่อื่นเพราะได้อาศัยบารมีของหลีซาน
กงอ๋องซึ่งจับไข้ติดกันมาหลายวันรู้สึกหัวหนักๆ มึนงง ได้ยินรุ่ยอ๋องบอกว่าเชิญหมอเทวดาน้อยผู้หนึ่งมา เขาอดลืมตาขึ้นไม่ได้ แต่พอเห็นหน้าเฉียวเจาก็ร้องโวยวายราวกับเห็นผีก่อนสิ้นสติสมประดีไป