หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 667
บทที่ 667
ครอบครัวของจิ้งอันโหวโดนกักตัวไว้ในห้องขังอีกฟากหนึ่ง จิ้งอันโหวกับเซ่าจิ่งยวนอยู่ห้องเดียวกัน
ตอนเฉียวเจามองเห็นสองพ่อลูก พบว่าพวกเขานั่งแยกกันคนละฝั่ง บรรยากาศไม่ปกติอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
พอได้ยินว่ามีคนมาเยี่ยม เซ่าจิ่งยวนตาเป็นประกาย แต่พอเห็นว่าเป็นเฉียวเจาก็หน้าบึ้งไปทันใด เขาถามเสียงกระด้าง “เจ้ามาทำอะไร”
นับแต่เซ่าหมิงยวนกับสตรีสกุลหลีหมั้นหมายกัน จวนโหวก็เคราะห์ร้ายติดๆ กันเรื่องแล้วเรื่องเล่า นางเป็นตัวกาลกิณีโดยแท้เลยทีเดียว!
“เจ้าลูกทรพี เจ้าพูดจาอย่างไรกัน” จิ้งอันโหวถลึงตาใส่บุตรชายคนโตอย่างดุดัน แต่เขาเพิ่งพูดจบก็เริ่มส่งเสียงไออย่างรุนแรง
ใบหน้าเซ่าจิ่งยวนกลับไร้แววเป็นห่วงเป็นใยให้เห็นสักกระผีก เขาเหยียดมุมปากหันหลังเดินไปด้านใน
ความคับแค้นใจที่เซ่าจิ่งยวนมีต่อบิดาทวีเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด
เขาขบไม่แตกว่าบิดามียศถาบรรดาศักดิ์ที่มั่นคงเป็นถึงท่านโหวดีๆ ไม่ชอบ กลับปล่อยให้คนทั้งตระกูลต้องเสี่ยงหัวหลุดจากบ่าเพื่อเลี้ยงดูบุตรกำพร้าของขุนนางกบฏผู้หนึ่ง
เขายิ่งไม่อาจเข้าใจได้ว่าทั้งที่เขาเป็นซื่อจื่อผู้สืบทอดจวนจิ้งอันโหว แต่ยามเภทภัยใหญ่หลวงมาเยือน คนที่ท่านพ่อปกป้องไว้กลับเป็นน้องสาม
ในเมื่อท่านพ่อไม่สนใจเรื่องผู้สืบทอดของจวนโหว ไม่แยแสบุตรชายคนโตอย่างเขา เช่นนั้นเขายังมีอันใดน่าไยดีอีก ถึงอย่างไรก็ต้องโดนตัดศีรษะกันหมด
เสียงไอของจิ้งอันโหวที่ดังต่อเนื่องไม่ขาดสายในห้องขังที่เย็นเยือกชื้นแฉะนี้ ได้ยินแล้วชวนให้คนรู้สึกใจคอไม่ดี
ด้วยมีลูกกรงเหล็กขวางกั้น เฉียวเจาสุดปัญญาจะทำอะไรได้ นางได้แต่หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กในถุงผ้าปักออกมายื่นส่งให้ “ท่านโหว ท่านกินสักเม็ดเถอะเจ้าค่ะ”
องครักษ์จินหลินซึ่งยืนอยู่ห่างๆ อยากจะห้าม เขาสองจิตสองใจชั่วครู่สุดท้ายแล้วไม่ปริปากพูด
จิ้งอันโหวรับขวดกระเบื้องไป เขากลั้นไอไว้กล่าวขึ้น “เจ้าเด็กผู้นี้มาที่นี่ทำอะไร นี่มิใช่ที่ที่เจ้าสมควรมาเลย”
เฉียวเจาย่อเข่าคำนับ “ข้ามาเยี่ยมท่าน เดิมทีควรจะมาเร็วกว่านี้ด้วยเจ้าค่ะ”
“หมิงยวนเป็นอย่างไรบ้าง” จิ้งอันโหวย่อมรู้ว่าเฉียวเจาต้องไปเยี่ยมเซ่าหมิงยวนมาก่อนแล้ว เขาเอ่ยปากถามอย่างร้อนใจ
“เขาสบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ ท่านวางใจได้”
จิ้งอันโหวพิศดูเด็กสาว เห็นนางมีรอยยิ้มจางๆ สีหน้าสงบนิ่งก็ลอบถอนใจโล่งอก “ได้อย่างนั้นก็ดี ข้าเป็นห่วงที่สุดว่าคนพวกนั้นจะทรมานเขา…”
“ถิงเฉวียนก็เป็นห่วงท่านมาก ดังนั้นท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดีๆ นะเจ้าคะ”
“หึ เป็นห่วงแล้วมีประโยชน์อะไร พวกเรากลายเป็นอย่างนี้มิใช่เพราะเขาเป็นตัวการรึ” เซ่าจิ่งยวนนั่งอยู่ในมุมหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวแฝงความเจ็บใจไว้เต็มเปี่ยม
สายตาของเฉียวเจาที่มองไปทางเขาทอแววเยาะหยันระคนเวทนา
เป็นซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ทรงเกียรติมานานยี่สิบกว่าปี ต้องตกต่ำเป็นนักโทษในชั่วข้ามขืน ถึงจิตใจกำลังอ่อนแอไม่ปกติ แต่กลับไร้ความอดกลั้นสักนิด ต่อให้คนเฉกนี้ได้สืบทอด จวนจิ้งอันโหวก็คงไม่ยืนยาวเป็นแน่แท้
จิ้งอันโหวทั้งผิดหวังทั้งเจ็บปวดใจ แต่เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น
เขาอาจผิดหวังกับพฤติกรรมของบุตรชายผู้นี้ แต่ในใจก็รู้สึกผิดด้วย
เขามิใช่บิดาที่ดีผู้หนึ่งจริงๆ
เฉียวเจาย่อมไม่มีเรื่องพูดกับเซ่าจิ่งยวนเป็นธรรมดา นางปล่อยให้เขาพูดถากถางสองสามคำโดยไม่ตอบโต้ พอเขารู้สึกเบื่อหน่ายจนหุบปากแล้ว นางถึงพูดกล่อมจิ้งอันโหวเสียงนุ่มนวล “อันว่าสวรรค์ไม่ตัดหนทางของคน ข้าเชื่อว่าถิงเฉวียนต้องไม่เป็นไรแน่ ท่านเพียงทำใจให้สบายๆ รักษาสุขภาพไว้ นี่คือสิ่งที่จะปลอบประโลมใจเขาได้มากที่สุดเจ้าค่ะ”
จิ้งอันโหวพยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าบอกกับหมิงยวนว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตาเฒ่าอย่างข้ายังแข็งแรงดี ไม่มีทางเป็นอะไรไป แม่หนูเจา เจ้ารีบกลับไปเถอะ ในนี้หนาวเกินไป หาใช่ที่ที่เจ้าสมควรรั้งอยู่นานๆ ไม่”
“เช่นนั้นท่านถนอมตัวด้วยนะเจ้าคะ” เฉียวเจายอบกายคารวะแล้วพูดกำชับ “ทุกคืนก่อนนอนกินยาลูกกลอนในขวดกระเบื้องหนึ่งเม็ด ช่วยต้านพิษเย็นได้เจ้าค่ะ”
รอเมื่อเฉียวเจาออกไปพร้อมกับองครักษ์จินหลินแล้ว จิ้งอันโหวถึงเดินไปนั่งลงข้างกายบุตรชายคนโต ถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าว “จิ่งยวน เจ้าคือซื่อจื่อของจวนจิ้งอันโหว ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น จงแสดงศักดิ์ศรีที่พึงมีออกมา”
ถือกำเนิดในเรือนหลัง เติบใหญ่ด้วยมือสตรี บุตรชายคนโตกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ เขาผู้เป็นบิดาสมควรรับผิดชอบมากที่สุด
นี่คือผลลัพธ์ที่ได้จากการออกศึกสู้รบตลอดเวลาซึ่งเขาไม่อาจไม่ยอมรับ
“ท่านพ่อ จนบัดนี้แล้วท่านยังติว่าข้าทำให้ท่านขายหน้าอีกหรือ” สีหน้าของเซ่าจิ่งยวนเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ “แล้วท่านเคยคำนึงถึงความรู้สึกของข้าหรือไม่ หลายปีมานี้ข้าถูกเซ่าหมิงยวนข่มรัศมีไปเสียทุกเรื่อง ทั้งที่ข้าต่างหากที่เป็นบุตรชายคนโต ทว่าคนพวกนั้นเอ่ยถึงว่าเขาดีเลิศเช่นนั้นเช่นนี้ต่อหน้าข้าโดยไม่หลบเลี่ยงเกรงใจ มีผู้ใดเห็นอกเห็นใจข้าบ้าง ตอนนั้นข้าคิดว่าเขาเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ใครให้ข้ามีน้องชายเก่งกล้าสามารถผู้หนึ่งเฉกนี้เองเล่า แต่จู่ๆ เขากลายเป็นบุตรชายลับของท่าน ถ้าอย่างนั้นความกดดันที่ข้าแบกรับมาตั้งแต่เล็กจนโตนั้นมันคืออะไรกัน”
เซ่าจิ่งยวนยิ่งพูดยิ่งพลุ่งพล่าน “แล้วต่อมายังมีเรื่องเหลวไหลยิ่งกว่า เขากลายเป็นทายาทของโจรกบฏ ส่วนท่านทำให้คนทั้งจวนโหวต้องตกอยู่ในอันตรายเพื่อเขา ท่านพ่อ ข้าอยากถามท่านสักคำว่าในใจท่านเห็นข้าเป็นอะไร เป็นสิ่งของที่ทิ้งขว้างได้ตามสบายใช่หรือไม่”
จิ้งอันโหวยิ้มขื่นๆ “พี่น้องมีลำดับศักดิ์ เจ้าคือซื่อจื่อของจวนโหวมาโดยตลอด”
“เช่นนั้นเหตุใดพอเภทภัยมาเยือน ท่านแอบส่งน้องสามไปที่อื่น แต่ไม่แย้มพรายให้ข้ารู้เลยสักครึ่งคำ” เมื่อนึกถึงว่าบิดาลำเอียงเพียงนี้ จิตใจของเซ่าจิ่งยวนก็ท้อแท้สิ้นหวังเต็มที
จิ้งอันโหวมองบุตรชายเงียบๆ เนิ่นนานถึงถอนใจเฮือกแล้วกล่าวขึ้น “ก็เพราะว่าเจ้าคือซื่อจื่อ แต่ไรมาผู้มีเกียรติยศสูงเพียงไหน ก็มีความรับผิดชอบสูงเท่านั้น”
เขากล่าวจบแล้วปิดปากเริ่มไออีก
ดวงตาของเซ่าจิ่งยวนไหวระริก ก่อนจะค่อยๆ จมลงสู่ภวังค์ความคิด
ต้นพุทธรักษาที่เรือนของหลีเจี่ยวในวังอ๋องพุ่มนั้นแตกหน่อใหม่เป็นสีเขียวอ่อน
รุ่ยอ๋องสะกดอารมณ์ตื่นเต้นไว้สาวเท้าเร็วรี่เดินเข้ามา
หลีเจี่ยวนั่งปักผ้าอยู่ใต้ต้นไม้ด้านนอก
“เจี่ยวเหนียงปักอะไรอยู่หรือ”
นางยื่นสะดึงปักผ้าไปให้เขาดู “ตั้งใจจะปักผ้าซับพระพักตร์ให้พระองค์หลายๆ ผืนเพคะ”
รุ่ยอ๋องมองลายต้นไผ่เหยียดตรงบนผืนผ้าแวบหนึ่ง เขาอดพยักหน้าไม่ได้ “คิดไม่ถึงว่าเจี่ยวเหนียงยังมีฝีมือในด้านเย็บปักถักร้อยอีกด้วย แต่ระวังจะเสียสายตานะ ในวังก็มีกองตัดเย็บอาภรณ์อยู่แล้ว”
หลีเจี่ยวเม้มปากแล้วกล่าว “ถึงอย่างไรก็เป็นของใช้ที่พกติดพระองค์นะเพคะ”
รุ่ยอ๋องไม่ใคร่สนใจหัวข้อสนทนานี้ เขาแย้มยิ้มพอเป็นพิธีแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงรอยคึกคัก “เมื่อครู่กงอ๋องตื่นแล้ว”
“อ้อ กงอ๋องทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” หลีเจี่ยวลอบคับอกคับใจ แต่ยังเอ่ยถามตามเรื่องที่เขาชวนคุย
บุรุษคงเป็นเยี่ยงนี้สินะ ชมชอบคนผู้หนึ่ง ไม่ว่าคนผู้นั้นทำอะไรก็ดีไปหมด ทว่ากับคนที่มิได้ทุ่มเทใจให้ ไม่ว่าคนผู้นั้นทำอะไรก็ไม่มีวันประทับใจเขาได้
นางหลุบตามองนิ้วมือขวานุ่มที่เต็มไปด้วยรอยโดนเข็มตำแล้วแทบกระอักเลือด
เอาเข็มจิ้มนิ้วจนพรุนโดยเปล่าประโยชน์แท้ๆ ท่านอ๋องไม่เหลือบแลแม้แต่แวบเดียว!
รุ่ยอ๋องย่อมไม่ล่วงรู้ว่าในหัวใจของหลีเจี่ยวชั่วขณะนี้คล้ายมีโลหิตไหลหยาดหยดอยู่ เขากล่าวต่อไปเรื่อยๆ “กงอ๋องดูท่าทางกระฉับกระเฉงขึ้นเป็นอันมาก ยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกให้คนยกข้าวปลาอาหารมาให้ เจี่ยวเหนียง หนนี้ต้องขอบคุณคำแนะนำของเจ้าแล้ว”
เขาพูดพลางดึงมือนางมากุมเบาๆ ทีหนึ่ง
หลีเจี่ยวรีบหงายฝ่ามือขึ้นกำนิ้วเข้าหากัน กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ช่วยคลายความกังวลของท่านอ๋องได้ เป็นสิ่งที่หม่อมฉันพึงกระทำเพคะ”
คราวนี้ท่านอ๋องน่าจะเห็นนิ้วมือที่มีรอยแผลจนลายพร้อยของข้าแล้วกระมัง
รุ่ยอ๋องหัวร่อเสียงดัง เขาปล่อยมือของหลีเจี่ยวแล้วตบแขนนางเบาๆ “เจี่ยวเหนียงคือบุปผาช่างจำนรรจาขนานแท้ ข้าว่าคุณหนูสามไม่ได้มีอคติต่อเจ้าอย่างที่เจ้าพูดไว้นะ พอเจ้าเชิญ นางก็มาทันทีเลยมิใช่หรือ
หลีเจี่ยวอึ้งงัน “…” ข้าต้องเอานิ้วจิ้มตาท่านอ๋องใช่หรือไม่
“วันหลังเจี่ยวเหนียงชวนคุณหนูสามมาเที่ยววังบ่อยๆ สิ จะอย่างไรก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ห่างเหินกันไปจะไม่ดี”
บัดนี้ดูไปวิชาแพทย์ของคุณหนูสามสกุลหลีได้รับการถ่ายทอดมาจากหมอเทวดาหลี่อย่างแท้จริง ตอนนี้หมอเทวดาหลี่จากโลกนี้ไปแล้ว ถ้าหากร่างกายของเขามีปัญหาอะไร ไม่แน่ว่ายังฝากความหวังไว้ที่นางได้
หลีเจี่ยวไม่ล่วงรู้ความคิดในใจรุ่ยอ๋อง ได้ยินเขากล่าวอย่างนี้ก็ใจกระตุกวูบทันใด
นี่ท่านอ๋องหมายความว่าอะไร คงมิใช่ว่าถูกตาต้องใจหลีซาน?
“ยามนี้กวนจวินโหวถูกจองจำในคุก หม่อมฉันเห็นว่าเชิญน้องเจามาที่วังบ่อยๆ จะไม่ใคร่เหมาะสม หวั่นใจว่าจะก่อปัญหาให้ท่านอ๋อง…”
รุ่ยอ๋องยกยิ้ม “พวกเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ สนิทสนมกันจะมีอันใดไม่เหมาะ แม้ว่ากวนจวินโหวจะอยู่ในเรือนจำ แต่เกี่ยวข้องอะไรกับสตรีที่ยังไม่แต่งเข้าตระกูลผู้หนึ่งเช่นนาง อีกประการหนึ่ง…”
อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากวนจวินโหวโดนตัดสินโทษจริงๆ สตรีอ่อนแอที่ยังไม่แต่งเข้าตระกูลไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ไปด้วย และถ้าท้ายที่สุดกวนจวินโหวไม่เป็นไร เขาจะต้องรู้สึกว่าจวนรุ่ยอ๋องมีคุณธรรมน้ำใจเป็นแน่
หลีเจี่ยวรอฟังประโยคหลังของคำว่า ‘อีกประการหนึ่ง’ อย่างใจจดใจจ่อ ทว่ารุ่ยอ๋องกลับลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป
ไฟโทสะที่พลุ่งขึ้นมาจุกติดอยู่ที่ลำคอ พาให้นางคิดถึงเฉียวเจาแล้วบังเกิดความชิงชังมากขึ้นไปอีกขั้น