หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 668
บทที่ 668
สุขภาพของกงอ๋องนับวันกระเตื้องขึ้นตามลำดับ ไม่นานนักก็หายดีเป็นปกติ
หลังล้มป่วยคราหนึ่ง เขายิ่งเชื่อมั่นว่าต้าเหลียงกับตนไม่ถูกโฉลกกันจนอยากติดปีกบินกลับซีเจียงใจจะขาด ด้วยเหตุนี้เขารีบเร่งไล่เลียงหาคนร้ายที่สังหารองค์หญิงซีเจียงอย่างขมีขมันมากขึ้น
หลันซานอาศัยเรื่องนี้โหมกระพือไฟต่อเบื้องพระพักตร์ เป็นเหตุให้ฮ่องเต้หมิงคังตกอยู่ในภาวะขัดแย้งในใจอย่างหนักหน่วง
กวนจวินโหวเป็นทายาทของโจรกบฏ ลากตัวออกไปตัดหัวถึงจะสมใจเขา แต่ว่ากวนจวินโหวผู้นี้เป็นดั่งดาบที่ใช้งานได้ดีเหลือเกิน พอประหารไปแล้วจะเสาะหาดาบดีๆ เล่มหนึ่งแบบนี้จากที่ใดเล่า
หากไม่มีดาบคมกริบเล่มนี้แล้วเกิดความวุ่นวายทางเป่ยฉีจะทำฉันใดดี หากเขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจไปที่เรื่องปราบปรามชาวต๋าจื่ออีก อย่างนั้นจะถ่วงเวลาการแสวงหาวิถีแห่งความเป็นอมตะของเขาเกินไป
แต่เก็บไว้ไม่กำจัดทิ้งแล้วเกิดดาบเล่มนี้จ่อมาที่เขาจะทำฉันใด จะสังหารหรือไม่สังหารดีนะ
ฮ่องเต้หมิงคังเฝ้าตรึกตรองปัญหานี้ทุกวี่วัน แม้แต่โอสถทิพย์ยังไม่มีแก่ใจจะเสวย ทว่าวันนี้เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมอย่างตกลงปลงใจได้แล้ว “เว่ยอู๋เสีย…”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียขานตอบอย่างพินอบพิเทาพร้อมกับลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
เห็นทีฮ่องเต้ตัดสินใจได้แล้วว่าจะจัดการกับกวนจวินโหวอย่างไร
เขาเป็นคนสนิทข้างพระวรกาย ย่อมจะเห็นความยุ่งยากใจตลอดหลายวันนี้ของฮ่องเต้หมิงคังอยู่กับตา
“เอาเหรียญทองแดงมาให้เราเหรียญหนึ่ง”
หา?
คำสั่งนี้เหนือความคาดหมายเกินไป เว่ยอู๋เสียงงงันไปทันใด
“เป็นอะไร” ฮ่องเต้หมิงคังตวัดตามองเขาอย่างเย็นชา
เว่ยอู๋เสียไม่กล้าชักช้าอีก รีบกุลีกุจอหยิบเหรียญทองแดงมาถือประคองด้วยสองมือยื่นส่งให้
ฮ่องเต้หมิงคังนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทรงพระอักษร รำพึงรำพันในใจว่า หากเหรียญออกด้านที่สลักปีรัชศกก็ตัดหัวกวนจวินโหว แต่ถ้าออกด้านที่สลักคำว่า ‘ร่ำรวยเงินทอง’ ก็ไว้ชีวิตกวนจวินโหวชั่วคราวถึงวันตรุษ
ฮ่องเต้หมิงคังคิดคำนึงเงียบๆ จบก็โยนเหรียญทองแดงขึ้นสูงๆ
เหรียญทองแดงหมุนติ้วๆ อยู่กลางอากาศหลายตลบ
เว่ยอู๋เสียมองจนตาค้าง นี่ฝ่าบาทจะทำอะไร
ในระหว่างที่ฮ่องเต้หมิงคังรู้สึกใจเต้นระทึกน้อยๆ เหรียญทองแดงก็ตกลงมาอยู่บนโต๊ะ ทว่าเขากับเว่ยอู๋เสียต่างเบิกตากว้างไปพร้อมกัน
เหรียญไม่ได้ออกหัวหรือออกก้อย แต่อยู่ในแนวตั้งหรือนี่!
เหรียญตั้งตรงหมายถึงอะไร นี่มิใช่สร้างความลำบากใจให้เรารึ!
ฮ่องเต้หมิงคังตบโต๊ะสุดแรงด้วยความกริ้วจัด เหรียญทองแดงกระเด็นหวือออกไปหล่นลงบนพื้น
เจ้าแผ่นดินก้าวขาจะออกเดินไปแต่กลับชะงักเท้าแล้วออกคำสั่ง “เว่ยอู๋เสีย ดูสิว่าเหรียญทองแดงบนพื้นออกหัวหรือออกก้อย”
รอครู่หนึ่งแล้วไม่เห็นเว่ยอู๋เสียปริปากพูดสักที น้ำเสียงของฮ่องเต้หมิงคังไม่พึงใจมากขึ้น “เว่ยอู๋เสีย เจ้าอยู่ตรงนั้นทำอะไรอยู่ เหตุใดถึงไม่ส่งเสียงสักแอะ”
เว่ยอู๋เสียลอบถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วลุกลนกล่าวตอบ “ฝ่าบาท เหรียญทองแดงหล่นลงไปในร่องตรงบันไดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังสาวเท้าก้าวใหญ่เดินมา ถีบเว่ยอู๋เสียที่กำลังโก้งโค้งหาเหรียญอยู่ออกไป เห็นตรงระหว่างขั้นบันไดที่ก่อด้วยอิฐทองมีรอยแตกเป็นร่องอยู่จริงๆ เขาทำหน้าบึ้งตึงอย่างสุดระงับ “บ่าวไพร่อย่างพวกเจ้ามีหน้าที่ทำอะไร ใช่หรือไม่ว่าต้องรอให้บัลลังก์มังกรของเราพังครืนลงมาถึงคิดจะซ่อมแซม”
เว่ยอู๋เสียรู้ว่าฮ่องเต้หมิงคังสบช่องนี้ระบายโทสะจึงคุกเข่าอยู่ด้านข้างโดยไม่เปล่งวาจาสักคำ
ฮ่องเต้หมิงคังจ้องเขม็งที่รอยแตกเล็กๆ จุดนั้นอย่างดึงดันไม่ยอมแพ้ “เว่ยอู๋เสีย เรียกคนมาแงะตรงนี้ออก วันนี้เราต้องเห็นให้ได้ว่าเหรียญทองแดงออกด้านไหนกันแน่”
ก็แค่ร่องเล็กเท่านี้ เหรียญทองแดงกลับหล่นเข้าไปพอดิบพอดี นี่มิใช่สวรรค์จงใจกวนโทโสเขาหรือ
เว่ยอู๋เสียพาคนเข้ามาแงะก้อนอิฐทองออกอย่างว่องไว พลางบ่นพึมพำในใจ เจ้าเหรียญทองแดงเอ๊ย เจ้าให้ความร่วมมือกันสักนิดเถอะนะ ช่วยออกหัวหรือออกก้อยให้สิ้นเรื่องสิ้นราวได้หรือไม่
ชั่วพริบตาที่อิฐทองถูกแงะขึ้น ทุกคนรวมถึงฮ่องเต้หมิงคังล้วนชะเง้อคอมองไป เห็นบนพื้นใต้ก้อนอิฐมีช่องใหญ่เท่ากำปั้นช่องหนึ่ง
“นี่คือ…” ฮ่องเต้หมิงคังงุนงงไม่เข้าใจ
คนอื่นๆ พากันตัวสั่นงันงกไม่กล้าปริปาก
“นี่มันคืออะไรกันแน่ บอกเรามาเดี๋ยวนี้!” ฮ่องเต้หมิงคังพิโรธแล้ว
ขันทีน้อยผู้หนึ่งต้านทานบารมีของโอรสสวรรค์ไม่อยู่ กล่าวโพล่งขึ้นว่า “รูหนูพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ” ฮ่องเต้หมิงคังนึกว่าตนเองฟังผิดไป
“กราบทูลฝ่าบาท นั่นก็คือรูหนูพ่ะย่ะค่ะ” พอหลุดปากพูดออกไป ขันทีน้อยก็พร้อมเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว
“รูหนู?” ฮ่องเต้หมิงคังเพ่งตามองรูโหว่มืดมิดพร้อมกับเปล่งเสียงกล่าวคำนี้ช้าๆ ชัดๆ เขาโมโหจนริมฝีปากขาวซีด
ห้องทรงพระอักษรของเจ้าครองแคว้นผู้ทรงเกียรติเช่นเขาถึงกับมีรูหนูอยู่ แล้วเหรียญทองแดงสมควรตายเหรียญนั้นยังหล่นลงไปในรูหนูด้วย
“ขุดพื้นลึกสามฉื่อหาเหรียญทองแดงเหรียญนั้นให้เจอ!”
เขาไม่เชื่อเรื่องอาถรรพ์แบบนี้หรอก!
รออีกเกือบครึ่งชั่วยาม ห้องทรงพระอักษรที่งดงามก็ไม่ต่างจากซากปรักหักพัง พื้นถูกขุดจนไปถึงก้นรูหนูในที่สุด ในนั้นมีพวกเศษผ้าที่โดนหนูกัดขาดกับเศษขนม
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้หมิงคังบูดบึ้ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ค้นหาเหรียญทองแดงเหรียญนั้นออกมา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนปรี่เข้าไปพร้อมกัน ได้ยินเสียงร้องจี๊ดๆ หลายเสียง หนูขนสีดำตัวหนึ่งมุดลอดออกจากช่องว่างระหว่างตัวคน และวิ่งหนีไปเร็วรี่ปานลมกรด
ฮ่องเต้หมิงคังเห็นหนูตัวนั้นวิ่งคาบเหรียญทองแดงหายลับไปกับตาอย่างว่องไวแล้วโกรธแทบหงายหลังตึง “ไล่จับหนูตัวนั้นมาให้ข้า!”
สุดท้ายไล่จับหนูกลับมาไม่ได้ ฮ่องเต้หมิงคังมองดูห้องทรงพระอักษรที่ไม่เหลือสภาพเดิมแล้วอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา เขาขบคิดแล้วก็ไม่ได้คำตอบ
หรือว่าเจ้าหนูตัวนั้นสติไม่ปกติกระมัง ยามเภทภัยมาเยือนไม่คาบเศษขนมหนีไป กลับคาบเหรียญทองแดงไปทำอะไร
เหล่าขันทีไม่กล้าแสดงสีหน้าใดๆ แต่ต่างนึกในใจ หรือว่าฮ่องเต้ถูกคุณไสยแล้วกระมัง ขุดพื้นห้องทรงพระอักษรเพื่อหาเหรียญทองแดงเหรียญเดียว?
เว่ยอู๋เสียลอบยิ้มเยาะ เขารำพึงในใจเช่นกัน เฮอะ มองหน้าก็รู้แล้ว คนโฉดเขลาเยี่ยงพวกเจ้าจะไปรู้อะไร ฮ่องเต้สนใจเหรียญทองแดงที่ใดกัน แต่เป็นความเป็นความตายของกวนจวินโหวต่างหาก!
เมื่อวีรกรรมโยนเหรียญเสี่ยงทายที่เกิดจากความคิดชั่วเสี้ยวแล่นจบลงโดยไร้คำตอบ บันดาลให้ฮ่องเต้หมิงคังวุ่นวายใจมากขึ้น
ยามรู้สึกหงุดหงิด ฮ่องเต้หมิงคังก็อยากเก็บตัวจำศีล แต่พอคิดถึงผลลัพธ์จากการจำศีลสองสามครั้งเมื่อเร็วๆ นี้แล้วก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปเงียบๆ ส่งผลให้เขาอารมณ์เสียมากขึ้น
ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักล้วนรับรู้ถึงไฟโทสะของฮ่องเต้ได้ ทุกคนหนาวๆ ร้อนๆ ไปกันหมด ต่างสังหรณ์ใจว่าพายุกำลังจะพัดมาแล้ว
และแล้วลมพายุที่แท้จริงก็พัดมาหลังจากนั้นไม่นาน
พายุครั้งนี้มิได้เริ่มต้นจากเมืองหลวง แต่เกิดขึ้นที่ด่านซานไห่กวน มันเพิ่งตั้งเค้าก็มีทีท่าว่าจะเป็นมรสุมลูกใหญ่
ในคืนเดือนมืดลมแรง กีบเท้าม้าเหล็กของชาวต๋าจื่อแห่งเป่ยฉีย่ำผ่านด่านซานไห่กวนอ้อมทางอำเภอเหออวี๋มุ่งหน้าตรงมาที่เมืองหลวง
ราตรีนั้นชาวบ้านชานเมืองหลวงกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุข เสียงฝีเท้าม้ากับเสียงสุนัขเห่าดังสลับกันปลุกพวกเขาให้สะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา
“ท่านพ่อท่านแม่…ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น” มีเด็กน้อยขยี้ตาลุกขึ้นนั่ง
ผู้เป็นมารดารวบตัวลูกน้อยมากอดไว้กล่อมนอน นางเอ่ยถามสามีข้างกาย “พ่อเจ้าหนู ข้างนอกคงไม่ได้มีโจรป่าออกอาละวาดกระมัง”
สามีของนางเป็นพลทหารที่ถอดเกราะหวนคืนสู่บ้านเกิด เขาเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวครู่เดียวก็เอาเสื้อคลุมกายจะลุกจากเตียง “ฟังแล้วไม่คล้ายจะใช่ เสียงกีบเท้าเหล็กเป็นระเบียบเกินไป ข้าออกไปดูสักหน่อย…”
นางรั้งตัวสามีไว้สุดแรง “พ่อเจ้าหนู อย่าออกไปเลย”
“ข้าไม่ออกจากเรือน จะไปลงกลอนประตูใหญ่ให้สนิท”
ภรรยาเขาได้ยินดังนั้นถึงยอมปล่อยมือ
น่าเสียดายที่กำลังของคนผู้เดียวช่างน้อยนิดเหลือเกินยามมหันตภัยอุบัติขึ้น ประตูใหญ่ถูกถีบเปิดออกอย่างรวดเร็ว บุรุษที่ต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกสิ้นชีพใต้คมดาบที่กระหน่ำฟันใส่เขาในพริบตาเดียว