หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 669
บทที่ 669
เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของสามี สตรีออกเรือนแล้วนางนั้นปิดปากลูกน้อยไว้แน่นๆ และซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง
ชั่วประเดี๋ยวเดียวพวกชาวต๋าจื่อก็ถือดาบกรูเข้ามารื้อค้นไปทั่ว
นางได้ยินเสียงรื้อหีบค้นตู้และเสียงหัวเราะย่ามใจของพวกมัน ก็หยิบผ้าเช็ดเหงื่อยัดใส่ปากลูกน้อยแล้วสวดภาวนาอยู่ในใจขอให้เทพยดาฟ้าดินคุ้มครองให้บุตรของตนพ้นภัยในครานี้
จนใจที่สวรรค์ไม่มีตา เพียงอึดใจต่อมาชาวต๋าจื่อซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนเหล่านั้นเอาดาบยาวแยงเข้าไปใต้เตียง และแทงโดนแขนของนางเข้าพอดี
นางส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างห้ามไม่อยู่ เลยถูกชาวต๋าจื่อลากตัวออกมา
ชั่วพริบตาที่ถูกลากออกไป นางออกแรงดันลูกน้อยในอ้อมอกไปด้านใน
ยามที่ดาบยาวหลายเล่มแยงเข้าใต้เตียงอีก ครานี้ไม่กระทบถูกสิ่งใด
เด็กน้อยซึ่งหลบอยู่ข้างในได้ยินเสียงร้องโหยหวนของมารดาประสานกับเสียงแปลกๆ ที่เขาฟังไม่เข้าใจดังลอยมา
ชาวต๋าจื่อสองสามคนที่บุกเข้ามาผลัดกันย่ำยีสตรีออกเรือนแล้วผู้นั้น นางเหลือเพียงลมหายใจอ่อนรวยริน แต่ดวงตาทั้งคู่ยังจับจ้องไปทางประตูลานเรือนอย่างไม่คลาดคลา
สามีของนางอยู่ตรงนั้น ทั้งคู่เป็นสหายวัยเยาว์ที่เติบใหญ่มาด้วยกัน ตอนแต่งงานต่างให้สัญญากันว่าหากใครตายก่อนให้ไปรอที่สะพานอนิจจัง* บัดนี้ดูไม่ต้องรอนานอย่างนั้นแล้ว
พ่อเจ้าหนู ท่านเดินช้าสักนิด ข้าตามไปประเดี๋ยวนี้แล้ว
“สตรีต้าเหลียงนี่น่าเบื่อจริงๆ แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว” ชาวต๋าจื่อผู้หนึ่งแสยะยิ้มล้วงของลับสกปรกของตนออกมาปล่อยปัสสาวะรดใส่ร่างนาง
ส่วนชาวต๋าจื่อคนอื่นเห็นภาพนี้บ่อยๆ จนชินตา เริ่มเก็บกวาดอาหารและเงินทองที่ค้นเจอ
“เรือนหลังนี้ไม่เลว มีก้อนเงินเล็กๆ ซุกซ่อนไว้ด้วย” ชาวต๋าจื่อผู้หนึ่งหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ เขาเงื้อดาบแทงเข้ากลางอกสตรีผู้นั้น “เอาล่ะ เห็นแก่ก้อนเงินพวกนี้ก็ให้นางไปสบายๆ เถอะ”
พวกชาวต๋าจื่อหัวร่อเสียงดังเดินส่ายอาดๆ ออกไปทางเรือนติดกัน
สตรีออกเรือนแล้วผู้นั้นขยับตัวไม่ไหวแล้ว ยามนี้นางถึงกล้ากลอกตามองไปทางใต้เตียง
ลูกน้อยของแม่ ภายภาคหน้าเจ้าจะทำอย่างไรดีเล่า
ลูกรักของแม่อย่าออกมานะ ห้ามออกมาเด็ดขาด วันหลังไม่มีบิดามารดาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ…
นางกระอักเลือดออกมาคำแล้วคำเล่า ท้ายที่สุดก็แน่นิ่งไม่ไหวติง
นางมิได้เบนสายตาออกจากทางใต้เตียงอยู่จนแล้วจนรอด นัยน์ตาทั้งคู่ที่เบิกโพลงมีน้ำตาปนโลหิตไหลรินลงมาเป็นทาง
พวกต๋าจื่อปล้นฆ่าวางเพลิงไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งคืนถึงจากไปอย่างพึงพอใจพร้อมกับทรัพย์สินสิ่งของติดไม้ติดมือเป็นกอบเป็นกำ
ใต้เบื้องบาทโอรสสวรรค์ ในใจหมู่ราษฎรต้าเหลียงมันคือที่อาศัยที่หากินเลี้ยงชีพอันสงบสุขเสมอมา ทว่ายามแสงตะวันสาดส่องพื้นดินผืนนี้ของชานเมืองหลวงทางทิศเหนืออีกคราหนึ่ง หมู่บ้านชาวนาซึ่งเดิมทียังนับว่ามีผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์เหล่านั้นกลับเห็นแต่ภาพความเสียหายย่อยยับทั่วทุกหนแห่ง
ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านชิงหนิวคุกเข่าอยู่หน้าศาลบรรพชนที่ถูกชาวต๋าจื่อจุดไฟเผาจนเป็นเถ้าถ่าน เขาหมอบตัวลงเอาหน้าผากแนบพื้นหลั่งน้ำตานองหน้า “สวรรค์ ท่านไม่มีตาหรือไรถึงปล่อยให้หมู่บ้านชิงหนิวของข้าประสบเภทภัยอย่างคาดไม่ถึงเฉกนี้ ชาวบ้านสองร้อยกว่าชีวิตต้องตายด้วยน้ำมือชาวต๋าจื่ออย่างโหดเหี้ยม…”
เมื่อคืนเจ้าคนชั่วพวกนั้นพูดภาษาต้าเหลียงได้ไม่คล่อง หนำซ้ำส่วนใหญ่ยังคุยโต้ตอบกันด้วยภาษาของเป่ยฉี ไหนเลยพวกเขาจะไม่กระจ่างแจ้งอีกว่านี่เป็นชาวต๋าจื่อบุกมาแล้ว
หญิงชรานางหนึ่งคุกเข่ากับพื้นเบื้องหน้าผู้ใหญ่บ้าน แผดเสียงร่ำไห้คร่ำครวญ “ผู้ใหญ่บ้าน นี่เป็นเพราะอะไรกัน ชาวต๋าจื่อพวกนั้นถูกกวนจวินโหวไล่ตะเพิดหนีไปแล้วมิใช่หรือ เพราะอะไรถึงข้ามด่านซานไห่กวนมาถึงหมู่บ้านเราที่นี่ได้ น่าเวทนานัก ครอบครัวข้าสิบหกคนเหลือข้าอยู่คนเดียว ลูกชายลูกสะใภ้สามคู่ หลานชายห้าคน หลานสาวสามคน ยังมีหลานสะใภ้คนโตที่เพิ่งแต่งเข้าเรือน นางยังตั้งครรภ์อยู่เลยนะ! เพราะอะไรคนที่ตายไม่ใช่ข้า เพราะอะไร…เพราะอะไรกัน”
นางลุกพรวดขึ้นวิ่งเอาหัวพุ่งชนหินก้อนใหญ่
หญิงชราอายุปูนนี้แล้วกลับวิ่งได้รวดเร็วไม่แพ้คนหนุ่มสาว แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือชาวบ้านที่บ้างคุกเข่าบ้างนั่งอยู่เหล่านี้กลับไม่มีคนขัดขวาง
ชั่วอึดใจเดียวมีเสียงดังตึงลอยมา หญิงชราล้มลงข้างหินก้อนใหญ่ ศีรษะอาบเลือดสิ้นใจ
ผู้ใหญ่บ้านมองดูหญิงชราที่ตายในสภาพน่าอนาถแล้วพูดเสียงพึมพำ “สิ้นเวรสิ้นกรรมแล้ว…”
หนึ่งครอบครัวสิบหกชีวิตเหลือรอดอยู่คนเดียว ได้ไปอยู่พร้อมหน้ากับญาติพี่น้องในปรโลกโดยเร็วบางทีอาจโชคดีมากกว่า
ชาวบ้านนั่งอยู่รวมกันอย่างนิ่งเฉยเลื่อนลอยราวกับไร้วิญญาณ
ผ่านไปนานสองนาน ชายหนุ่มผู้หนึ่งลุกพรวดขึ้นยืนพูดเสียงดัง “ข้ารู้ว่าเพราะอะไร ข้ารู้แล้วว่าเพราะอะไร!”
“เอ้อร์หวา เจ้าว่าอะไรนะ!” เมื่อชายหนุ่มตะโกนขึ้น เหล่าชาวบ้านที่เป็นเหมือนซากศพเดินได้เริ่มมีปฏิกิริยา
“เพราะกวนจวินโหวถูกฮ่องเต้จับกุมเข้าคุกหลวง ชาวต๋าจื่อรู้ว่าเทพสงครามของพวกเราไม่อยู่ ถึงได้กล้าบุกมาปล้นสะดมถึงที่หมู่บ้านเรา”
“จริงหรือ เจ้าเดรัจฉานพวกนั้นมาที่นี่เพราะฮ่องเต้ขังกวนจวินโหวไว้จริงๆ หรือ!”
ชาวบ้านแถบชานเมืองหลวงไม่เหมือนกับราษฎรแดนเหนือหรือแดนใต้ พวกเขาอยู่อย่างสงบสุขมาหลายสิบปี ถึงในใจพวกเขาจะเห็นว่าทหารนักรบที่ออกศึกอยู่แดนไกลคู่ควรให้เลื่อมใสศรัทธาก็จริงอยู่ กระนั้นความรู้สึกนั้นมิได้ลึกซึ้งถ่องแท้ทัดเทียมราษฎรที่ตกอยู่กลางความวุ่นวายของศึกสงคราม
มนุษย์เราเป็นเฉกนี้เอง ไหนเลยไฟสงครามทุกหย่อมหญ้าซึ่งห่างไกลไปพันลี้จะทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงได้เท่ากับมีนักเลงหัวไม้ปล้นชิงทรัพย์อยู่ใกล้ๆ ตัวผู้หนึ่ง
หากมิใช่ภัยพิบัติในคราวนี้ ชั่วชีวิตของคนเหล่านี้คงไม่คิดว่าชาวต๋าจื่อจะมาโจมตีถึงเมืองหลวงได้
“ย่อมต้องจริงแน่นอน หลายวันก่อนข้าเข้าเมืองไปยังได้ยินผู้คนถกเถียงกันว่าฮ่องเต้จะตัดหัวกวนจวินโหวเมื่อไรเลยนะ พวกท่านลองคิดดู หลายปีที่กวนจวินโหวประจำการอยู่แดนเหนือมานี้มีเรื่องแบบนี้เสียที่ไหนกัน!”
ชาวบ้านทั้งหลายไม่สงสัยอีกต่อไป ต่างปิดหน้าร้องไห้ฟูมฟาย “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี”
ชายหนุ่มตะเบ็งเสียงพูด “ถึงอยู่ในหมู่บ้านต่อไป พอชาวต๋าจื่อมาก็ต้องตายอยู่ดี ข้าจะเข้าเมืองไปวิงวอนพวกใต้เท้าเหล่านั้นให้ปล่อยตัวกวนจวินโหว!”
“ใช่ ขอให้พวกใต้เท้าปล่อยตัวกวนจวินโหว!”
จากนั้นเหล่าชาวบ้านรวมตัวกันยกขบวนมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองทิศเหนือ เด็กน้อยที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงจนพ้นภัยมาได้วิ่งสุดฝีเท้าไล่ตามอยู่ข้างหลัง
ในหัวของเด็กน้อยวัยเยาว์มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า เขาจะไปหากวนจวินโหวที่พี่เอ้อร์หวาพูดถึง กวนจวินโหวน่าเกรงขามปานนั้นจะต้องคืนบิดามารดาให้เขาได้แน่
วันนี้มีชาวบ้านแถบชานเมืองหลวงแห่กันไปที่ตัวเมืองมากมายเท่าใดก็สุดรู้ กระทั่งอาวุธในมือทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ก็ไม่อาจข่มขู่ให้พวกเราถอยกลับไปได้
เรื่องที่ชาวต๋าจื่อแห่งเป่ยฉีปล้นสะดมหมู่บ้านชานเมืองหลวงประหนึ่งอสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมา สร้างแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วราชสำนักอย่างฉับพลันทันใด
“เพราะอะไรถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ ไฉนชาวต๋าจื่อบุกมาโจมตีถึงเมืองหลวง” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่นับไม่ถ้วนกลุ้มรุมกันเข้าไปถามสมุหราชเลขาธิการหลันซานกับรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋า
ชั่วขณะนี้พวกเขาไม่เหลือความกริ่งเกรงระวังและชั้นเชิงเล่ห์เหลี่ยมใดๆ เช่นยามปกติ ต่างทำคอแข็งร้องเอะอะกันหมดว่า “พวกข้าจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้!”
ฮ่องเต้หมิงคังไม่เข้าประชุมขุนนางมาเนิ่นนาน โดยทั่วไปคนที่ได้พบพระพักตร์โอรสสวรรค์มีแค่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสภาขุนนาง กระทั่งขุนนางคนสำคัญในหกกรมเก้ากองอยากเข้าเฝ้าก็ไม่ง่ายดาย
สมุหราชเลขาธิการหลันมีอำนาจล้นฟ้า ที่ผ่านมาพวกเขาไม่กล้าตอแยด้วย แต่หากตอนนี้ไม่นำข่าวนี้กราบทูลฮ่องเต้อีก เมื่อคืนชาวต๋าจื่อตระเวนไปทั่วแถบชานเมืองหลวงรอบหนึ่งแล้ว ไม่แน่ว่าคืนพรุ่งนี้อาจบุกเข้ามาในเมืองก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นต้าเหลียงคงไม่แคล้วต้องผลัดแผ่นดิน
“ทุกท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ เพลานี้ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้แล้ว” หลันซานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชาวต๋าจื่อบุกมาถึงเมืองหลวงได้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ความพยายามที่เขาทุ่มลงไปในช่วงที่ผ่านมาคงละลายหายไปกับสายน้ำแล้ว
หลันซานสมกับเป็นคนที่เข้าใจฮ่องเต้หมิงคังมากที่สุด พอฮ่องเต้ได้ยินคำรายงานก็เลิกโยนเหรียญเสี่ยงทายและไม่ยุ่งยากใจอีกต่อไป เขามีบัญชาให้ปล่อยตัวกวนจวินโหวพร้อมทั้งสั่งให้นำทัพออกรบทันทีทันใด