หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 670
บทที่ 670
เซ่าหมิงยวนมองดูเสื้อเกราะเงิน หมวกเกราะเงิน รวมถึงเสื้อคลุมสีแดงเข้มที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยจิตใจหนักอึ้ง
เขาคาดการณ์ได้แต่แรกแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง
สำหรับราษฎรแดนเหนือ เดือนนี้เป็นฤดูกาลที่ผลเก็บเกี่ยวขาดตอนพอดี ฉะนั้นความเป็นอยู่ของชาวเป่ยฉีที่อาศัยการปล้นสะดมราษฎรต้าเหลียงแถบชายแดนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็ต้องฝืดเคืองยิ่งกว่า
ตลอดเจ็ดปีที่เขาอยู่แดนเหนือ ทุกคราที่เวียนมาถึงเดือนนี้จะเป็นเวลาที่การสู้รบดุเดือดที่สุด ในช่วงนี้ความยำเกรงที่ชาวเป่ยฉีมีต่อเขาจะลดน้อยลงถึงขีดสุด ทุกๆ ครั้งที่ต่อสู้ปะทะกันล้วนฆ่าฟันกันชนิดเลือดเข้าตา
ฤดูใบไม้ผลิปีกลาย เขายกทัพไปยึดเมืองเยี่ยนคืน โจมตีชาวต๋าจื่อจนถอยร่นไปทางทิศเหนือของเขาอาหลันด้วยความกลัวเกรงและอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมาเป็นเวลาหนึ่งปี สำหรับพวกนั้นนับได้ว่านานเหลือเกินแล้ว อีกทั้งหลายปีมานี้เขากำราบชาวต๋าจื่อไว้ได้อยู่หมัด ส่งผลให้ในการทำศึกปล้นสะดมครั้งใหญ่ของแต่ละปี ชาวเป่ยฉีไม่ได้รับอะไรเป็นกอบเป็นกำ พูดได้ว่าต้องอยู่กันอย่างอัตคัดขัดสนเหลือหลาย
ตามที่เขาคาดคะเนไว้ล่วงหน้า ปีนี้ตอนนี้ชาวต๋าจื่อซึ่งกบดานมานานหนึ่งปีจะต้องมีความเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อข่าวที่เขาถูกจำคุกแพร่ไปถึงแดนเหนือ ชาวต๋าจื่อที่ไร้สติปัญญาอันใดพวกนั้นก็จะยิ่งไม่กริ่งเกรงระวังมากขึ้น
พวกนั้นไม่มีทางคิดว่าการเคลื่อนไหวนี้จะทำให้คู่ปรับของตนได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีกครา สำหรับพวกเขาแล้วได้กินเนื้อชิ้นโตที่อยู่ข้างปากถึงจะสำคัญที่สุด
ขอแค่ในขณะนี้ได้กินอิ่มท้อง วันหน้าน้ำจะท่วมถึงแผ่นฟ้าก็ช่างปะไร
เพราะเซ่าหมิงยวนรู้จักพวกต๋าจื่อของเป่ยฉีดี และเขาก็อาศัยความเข้าใจนี้นี่เองถึงได้มั่นใจว่าตนเองไม่มีทางถูกจองจำในคุกนานเกินไป
กระนั้นเขายังคาดคำนวณผิดไปจุดหนึ่ง ชาวต๋าจื่อพวกนี้โลภโมโทสันมากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ถึงกับบุกมาปล้นชิงถึงชานเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ออกจากคุกอย่างรวดเร็วเช่นนี้
แล้วนี่ยังมีนัยความหมายว่ามีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องจบชีวิตในเภทภัยครั้งนี้มากเท่าไรก็ไม่รู้
เขาอาจคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเภทภัยอย่างนี้ได้ แต่ไม่อาจหลบหลีกได้
เจาเจากล่าวได้ถูกต้อง แต่ไรมาเขามิใช่เทพเซียนที่โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ หากแต่เป็นมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้อ ในยุคสมัยที่กษัตริย์กุมอำนาจไว้ในมืออย่างเด็ดขาด ตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด นับประสาอะไรกับปกป้องราษฎร
เจียงหย่วนเฉาติดตามเว่ยอู๋เสียมาถ่ายทอดพระราชโองการ
“ประกาศิตจากเบื้องบน องค์จักรพรรดิมีพระบัญชา มาตรว่ากวนจวินโหวเซ่าหมิงยวนเดิมทีจะเป็นบุตรชายของเฮ่อเหลียนถิงขุนนางต้องโทษ บัดนี้ให้กวนจวินโหวจงถือตราแม่ทัพออกศึกทันทีเป็นการทำคุณไถ่โทษ อย่าได้ชักช้ารีรอ จบพระราชโองการ”
เว่ยอู๋เสียอ่านพระราชโองการอย่างเป็นจังหวะจะโคนจบแล้วก็เห็นเขาคุกเข่าเงียบๆ ไม่เปล่งเสียงใดครู่หนึ่ง
“ท่านโหว รับพระราชโองการเถอะ” เว่ยอู๋เสียเอ่ยเตือนขึ้น
เซ่าหมิงยวนถึงกล่าวเสียงเรียบๆ “กระหม่อมมีความผิด มิบังอาจทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทัพนับหมื่นได้”
พอถ้อยคำนี้ดังขึ้น เว่ยอู๋เสียหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย กระทั่งใบหน้าของเจียงหย่วนเฉายังฉายแววเหลือเชื่อ
นี่กวนจวินโหวจะขัดขืนพระราชโองการ ข่มขู่ฮ่องเต้อย่างเปิดเผย?!
เขากล้าดีอย่างไร เขาทำได้อย่างไร
มือที่ถือพระราชโองการไว้ของเว่ยอู๋เสียสั่นระริก เขาจ้องตาเซ่าหมิงยวนนิ่งๆ
ในห้องขังที่มืดสลัว ชายหนุ่มยืดตัวตรงดุจต้นไผ่ อาการอิดโรยจากการโดนคุมขังในเรือนจำไม่อาจทำให้สง่าราศีของเขาต้องมัวหมองลงแม้สักเศษเสี้ยว
ดวงตาสีดำสนิทของเซ่าหมิงยวนมองสบสายตาของเว่ยอู๋เสีย
เหตุใดเขาจะไม่กล้า เหตุใดเขาจะทำไม่ได้
ฮ่องเต้มีความคิดสังหารเขาแล้ว ไม่ว่าเขาจะยอมให้ฆ่าแกงตามชอบใจหรือขัดขืนพระราชโองการอย่างเปิดเผย ฮ่องเต้ก็จะเฝ้ารอวันที่กระต่ายม้วยย่างสุนัขอยู่ตลอดเวลา
เรื่องที่ผู้อยู่ในฐานะขุนนางอย่างเขาสามารถทำได้คือจะต้องไม่มีใครแทนที่เขาได้ ไม่เปิดโอกาสให้ฮ่องเต้เห็นเขาเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่สละทิ้งได้ตลอดไป
นี่อาจจะน่าสังเวชใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือก
เกิดมาเป็นขุนนาง ทั้งน่าสังเวชใจทั้งไม่มีทางเลือกเฉกเช่นนี้เอง เขามีเพียงทวงความเป็นธรรมให้ตนเองและคนในครอบครัวถึงจะละวางความรู้สึกไม่ยอมจำนนที่สุมแน่นเต็มอกลงได้
“ท่านโหว ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านทำอะไรอยู่”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาต่ำ น้ำเสียงสงบนิ่งเอ่ยขึ้นว่า “เว่ยกงกง ข้าคิดว่าข้าพูดอย่างแจ่มแจ้งมากแล้ว”
เว่ยอู๋เสียมองเจียงหย่วนเฉาปราดหนึ่งถึงพูดเสียงลอดไรฟัน “ท่านโหว ท่านรับพระราชโองการไปซะ ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินคำพูดนี้ก็ได้”
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้นหยักยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณในความหวังดีของกงกงเป็นอันมาก แต่กงกงโปรดนำความกลับไปกราบทูลฝ่าบาทตามนี้โดยไวเถอะ จะอย่างไรราษฎรกับพวกชาวต๋าจื่อล้วนรอไม่ได้แล้ว”
“ท่าน...” เว่ยอู๋เสียเห็นเซ่าหมิงยวนไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาถอนใจแรงๆ เฮือกหนึ่งก่อนถือพระราชโองการตรงดิ่งไปที่วังหลวง
“อะไรนะ! กวนจวินโหวขัดขืนพระราชโองการ?” ฮ่องเต้หมิงคังลุกพรวดขึ้นยืน
เว่ยอู๋เสียก้มหน้ากล่าวตอบ “กวนจวินโหวกล่าวว่าตนเป็นบุตรชายของขุนนางต้องโทษ ละอายใจเกินกว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการกองทัพพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องทรงพระอักษรที่ซ่อมแซมเสร็จได้ไม่นานอย่างหัวเสีย เขากล่าวด้วยความเดือดดาลสุดระงับ “เจ้ากวนจวินโหวตัวดี ถึงกับกล้าตีชิงตามไฟมาต่อรองกับเรา นี่เขาจะข่มขู่เรารึ!”
บรรดาขุนนางใหญ่ทั้งหลายเช่นหลันซานไม่กล้าแม้แต่หายใจเสียงดัง
ฮ่องเต้หมิงคังสะบัดแขนเสื้อแทบจะฟาดโดนหน้าพวกเขา “พวกเจ้าว่ามา คนบัดซบเช่นกวนจวินโหวนี้สมควรฆ่าใช่หรือไม่!”
ทุกคนล้วนก้มหน้าไม่กล่าววาจา
“พูดสิ ตกลงว่าสมควรฆ่าหรือไม่”
เหล่าขุนนางฟังแล้วนึกในใจ เอาเถอะ ฝ่าบาทกริ้วถึงขนาดนี้ พวกข้ายังจะพูดอะไรได้ ก็ต้องเออออคล้อยตามแน่นอน ไม่เช่นนั้นกวนจวินโหวจะโดนตัดหัวหรือไม่ยังไม่รู้ แต่ศีรษะของพวกข้าคงหลุดจากบ่าก่อน
“สมควรฆ่าพ่ะย่ะค่ะๆ”
ได้ยินเสียงตอบของขุนนางทั้งหลาย ฮ่องเต้หมิงคังชะงักกึก
“เว่ยอู๋เสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ่ายทอดบัญชาของเรา หลังจากกวนจวินโหวต้องเข้าคุก เรารู้สึกเสียดายคนเก่งมากความสามารถ จึงสั่งให้เจียงหย่วนเฉาผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินฟื้นคดีของเจิ้นหย่วนโหวเมื่อยี่สิบเอ็ดก่อน บัดนี้สืบพบว่าสารที่ส่งข่าวถึงกันระหว่างเจิ้นหย่วนโหวกับซู่อ๋องมิได้เขียนด้วยลายมือของเจิ้นหย่วนโหว คดีนี้ตัดสินลงโทษคนผิดจริงๆ เรานึกถึงสหายเก่าแล้วเจ็บปวดเสียใจสุดจะกล่าว จึงขอแต่งตั้งเจิ้นหย่วนโหวผู้ล่วงลับให้เป็นเจิ้นหย่วนกง บรรดาศักดิ์นี้ตกทอดไปชั่วลูกชั่วหลาน...”
พอกล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้หมิงคังกวาดตามองหลันซานอย่างปึ่งชา “ในครั้งนั้นสมุหราชเลขาธิการหลันซานถวายฎีกาฟ้องร้องผิดพลาด แม้ว่าจะมาจากความจงรักภักดี แต่ไม่เอาโทษไม่ได้ ลงโทษให้ตัดเบี้ยหวัดสามปีและไปขอขมาต่อกวนจวินโหวที่คุกหลวงด้วยตนเอง…”
ขุนนางทั้งหลายต่างอึ้งงัน “…” ไหนล่ะที่บอกว่าจะตัดหัว ฝ่าบาทปากไม่ตรงกับใจแบบนี้ เคยคิดถึงความรู้สึกของพวกข้าบ้างหรือไม่เล่า
หลันซานพูดไม่ออก “…” ข้าเหยียบโดนอึสุนัขแล้วจริงๆ!
ฝ่ายฮ่องเต้หมิงคังก็คับข้องหมองใจเต็มทีเช่นกัน เราก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้เหมือนกันนะ แต่เจ้าเดรัจฉานน้อยกวนจวินโหวนั่นเอาแผ่นดินต้าเหลียงมาข่มขู่เรา!
สำหรับฮ่องเต้หมิงคังผู้ใฝ่ฝันความเป็นอมตะหมายนั่งบัลลังก์มังกรไปชั่วนิรันดร์ใจจะขาด เมื่อเทียบกับแผ่นดินบ้านเมืองแล้ว จะขุนนางคนโปรดหรือการถือทิฐิดันทุรังอะไรๆ ก็ตามล้วนต้องหลีกทางให้
สมุหราชเลขาธิการหลันซานในวัยเกือบเจ็ดสิบปีจำต้องให้ขันทีผู้น้อยสองคนช่วยประคองเดินตรงไปที่คุกหลวงทันที
ด้านเว่ยอู๋เสียมาถึงพร้อมกับพระราชโองการฉบับใหม่ เขามองชายหนุ่มที่มีสีหน้าเรียบเฉยแล้วได้แต่ยอมศิโรราบหมดใจ
พระทัยกษัตริย์ยากเกินหยั่ง ความคิดเพียงชั่วแล่นของโอรสสวรรค์ก็ตัดสินความเป็นความตายของขุนนางได้แล้ว แทนที่จะเฝ้าคิดว่าภายภาคหน้าจะถูกฮ่องเต้ไล่เลียงเอาผิดวันใดก็สุดรู้ กวนจวินโหวใช้กลยุทธ์ทุบหม้อข้าวจมเรือ ฉวยโอกาสนี้พลิกคดีให้ตระกูลของตน เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
พอถ่ายทอดพระราชโองการฉบับใหม่จบ เซ่าหมิงยวนถึงกล่าวอย่างเยือกเย็น “กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
เขาลุกขึ้นยืนชูพระราชโองการไว้ในมือพร้อมกับมองหลันซานเงียบๆ
หลันซานประสานมือกล่าวขอขมาต่อเขาอย่างงกๆ เงิ่นๆ
ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ท่านสมุหราชเลขาธิการไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ใต้เท้าเจียง ตอนนี้ข้าออกไปได้แล้วกระมัง”
แต่ไรมาสิ่งที่เขาต้องการมิใช่คำขอขมา แต่เป็นชีวิตของหลันซาน!
ความแค้นสังหารบิดา หากไม่สะสางจะคู่ควรเรียกตนว่าเป็นบุตรได้ละหรือ
“ท่านโหวเชิญ ม้าศึกกับองครักษ์ของท่านรออยู่ด้านนอกแล้ว” เจียงหย่วนเฉาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
กวนจวินโหวเข้าตาจนแล้วยังพลิกสถานการณ์กลับได้ เป็นเขาที่ประเมินอีกฝ่ายต่ำไป
เซ่าหมิงยวนก้มลงหยิบเกราะเงินขึ้นมาสวมบนตัว คาดสายรัดเอวและสวมหมวกเกราะเงินแท้ให้เข้าที่
เสื้อคลุมสีแดงเข้มกับพู่แดงบนหมวกเกราะสะบัดไหวอยู่ด้านหลังตามจังหวะการเดินของเขา คนอื่นๆ ในที่นั้นสาวเท้าตามไปอย่างเงียบเชียบ