หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 673
บทที่ 673
องค์หญิงฉางหรงจ้องบุตรชายตาเขม็งคล้ายกำลังขบคิดถึงจุดประสงค์ที่เขากล่าวถ้อยคำนี้ “บอกมา เจ้าตั้งใจจะทำอะไร”
นี่คือจะตั้งเงื่อนไขกับข้า?
“ปีนี้ข้าก็อายุครบยี่สิบปีแล้ว ไม่อยากอยู่ไปวันๆ แบบนี้อีกต่อไป อยากขอให้ท่านแม่หาตำแหน่งขุนนางให้ข้าสักตำแหน่งขอรับ”
“ก่อนหน้านี้เจ้าอยากเข้ากององครักษ์จินอู๋ ผลปรากฏว่าเป็นอยู่ไม่กี่เดือนก็เลิก ตอนนี้อยากทำอะไรอีกล่ะ”
องค์หญิงฉางหรงใช้น้ำเสียงเป็นเชิงว่าฉือชั่นเป็นหนุ่มเสเพลหยิบหย่งจับจดอย่างชัดเจน
ทว่าเขากลับไม่ใส่ใจสักน้อยนิด เอ่ยด้วยสุ้มเสียงไม่ทุกข์ร้อน “ข้าอยากลองเป็นข้าหลวงตรวจสอบหกกรมดู* เล่นๆ ขอรับ”
องค์หญิงฉางหรงตกอกตกใจ นัยน์ตาคู่งามเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน “ข้าหลวงตรวจสอบหกกรม? ฉือชั่น เจ้าล้อเล่นใช่หรือไม่”
ฉือชั่นคลี่ยิ้มนั่งลง “ข้าจะล้อเล่นกับท่านแม่ได้อย่างไรขอรับ”
“เหลวไหลสิ้นดี ผู้รั้งตำแหน่งข้าหลวงตรวจสอบหกกรมล้วนมาจากบัณฑิตจิ้นซื่อแท้ๆ เจ้านึกว่าเป็นกององครักษ์จินอู๋หรือไร ถึงยอมให้เจ้าเข้าๆ ออกๆ ตามใจชอบ”
ฉือชั่นหัวเราะเบาๆ “ดังนั้นถึงได้ขอให้ท่านแม่ช่วยเหลือน่ะสิขอรับ”
องค์หญิงฉือชั่นมองบุตรชายอย่างแคลงใจ
บุตรหลานผู้สูงศักดิ์ที่เข้าสู่เส้นทางขุนนางด้วยการบากบั่นพากเพียรเล่าเรียนเพื่อสอบชิงตำแหน่งบัณฑิตหลวงนั้นหาได้ยากเย็นประหนึ่งขนหงส์เขากิเลน ส่วนใหญ่ล้วนอาศัยอภิสิทธิ์ของวงศ์ตระกูลขอตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่ง แม้ว่าบุตรชายผู้นี้ของนางจะฉลาดเฉลียวแต่วัยเยาว์ ฝีมือร่ายกลอนแต่งโคลงล้วนไม่ต้องเอ่ยถึง แต่อดทนที่จะมุมานะสอบรับราชการไม่ได้มากที่สุด
หรือว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว
“ท่านแม่รู้สึกลำบากใจหรือขอรับ” ฉือชั่นอมยิ้มขัดจังหวะความคิดของมารดา
องค์หญิงฉางหรงดึงตนเองจากภวังค์มองดูบุตรชาย เห็นท่าทางไม่อนาทรร้อนใจของเขาแล้วขมวดคิ้วมุ่น “หลายปีมานี้ล้วนไม่เคยมีกรณีแบบนี้ เจ้าเห็นเป็นเด็กเล่นขายของหรืออย่างไร”
หากนางจัดการให้บุตรชายไปรับตำแหน่งนั้นจริงๆ คะเนว่าพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นคงกินเลือดกินเนื้อนางทั้งเป็นได้
“ท่านแม่เห็นว่าทำได้ยากก็แล้วกันไปเถอะ ข้าก็เอ่ยขึ้นมาเรื่อยเปื่อยเท่านั้น” ฉือชั่นกล่าวถึงตรงนี้แล้วลุกขึ้นยืน “ถ้าท่านแม่ไม่มีสิ่งอื่นจะสั่งกำชับ ข้าจะกลับห้องแล้ว”
พอเห็นเขาเดินไปทางข้างนอก ใบหน้าขององค์หญิงฉางหรงขรึมลงน้อยๆ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ฉือชั่นชะงักเท้า
“ได้ สองวันนี้ข้าจะไปทูลขอร้องเสด็จลุงของเจ้า อย่าลืมเรื่องที่เจ้ารับปากข้าไว้ก็แล้วกัน”
ฉือชั่นหันศีรษะมาเผยรอยยิ้มกว้างขวางบนหน้า “ขอบคุณท่านแม่มากขอรับ”
เขากล่าวจบแล้วสาวเท้าปราดๆ ออกไป เจอเข้ากับตงอวี๋นางข้าหลวงข้างกายองค์หญิงฉางหรงซึ่งมาจากอีกด้านหนึ่งก็มิได้กล่าววาจา เพียงพยักหน้านิดเดียวแล้วเดินสวนไหล่ผ่านไป
ตงอวี๋แลมองชายหนุ่มที่ห่างไปไกลแล้ว ค่อยมองม่านลูกปัดที่แกว่งไกวไปมาอีกที นางลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
เฉียวเจากลับถึงเรือนล้างมือแล้วถึงหยิบพู่แดงที่เก็บไว้ในอกเสื้อออกมา
“คุณหนู นี่เป็นพู่แดงที่ท่านเขยทิ้งไว้ให้ท่านเชียวนะ” ปิงลวี่ยื่นมือไปอย่างสนใจใคร่รู้ “ข้าขอลูบได้หรือไม่เจ้าคะ”
สาวใช้ยื่นมือมา ทว่าถูกเฉียวเจาปัดออกอย่างเฉยเมย “ไม่ได้”
ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ “คุณหนู ท่านมิใช่คนใจแคบเช่นนี้กระมัง”
แม่นางเฉียวผลิยิ้มแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ข้าเป็นคนใจแคบเช่นนี้นี่เอง”
สาวใช้น้อยเดินหน้าม่อยคอตกออกไป
เฉียวเจาหยิบพู่แดงขึ้น นางเหลือบมองหน้าประตูก่อนแวบหนึ่ง จากนั้นยกมันจรดริมฝีปากจูบเบาๆ
“คุณหนู…” ปิงลวี่ที่เพิ่งออกไปพรวดพราดเข้ามาราวกับลมพัดระลอกหนึ่ง
เฉียวเจาวางพู่แดงลงอย่างฉับไว ใบหน้าร้อนวาบๆ แม้แต่น้ำเสียงก็ปึ่งชาขึ้น “ปิงลวี่ เข้ามาไม่รู้จักขออนุญาตหรือ”
เห็นทีว่านางจะให้ท้ายเด็กสาวผู้นี้เกินไปจนไร้มารยาทมากขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าแม่เด็กน้อยนี่จะเห็นท่าทางที่นางแอบจูบพู่แดงเมื่อครู่นี้หรือเปล่า…
หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งหน้าแดง สองแก้มขาวนุ่มซับสีแดงระเรื่อคล้ายดอกท้อดอกใหญ่ผลิบาน
ปิงลวี่มองอย่างงงงันไปชั่วขณะ นางกล่าวเสียงอ้อมแอ้ม “คุณหนู ท่านหน้าแดงด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ”
เฉียวเจากระแอมเบาๆ “เจ้ามีเรื่องใดกันแน่”
“คุณหนู ท่านเขยทิ้งพู่แดงบนหมวกเกราะไว้ให้ท่านมิใช่หรือ เช่นนั้นหมวกเกราะของเขาคงดูโล่งโจ้งไม่สวยงามแล้ว ท่านสามารถถักพู่แดงชิ้นหนึ่งมอบให้ท่านเขยได้นะเจ้าคะ” ปิงลวี่กล่าวอย่างตื่นเต้นคึกคัก
แต่เฉียวเจาลอบคับอกคับใจแล้ว นางเป็นคนที่ถักพู่แดงได้หรือ
กว่าจะหาข้ออ้างให้สาวใช้น้อยออกไปอย่างไม่ง่ายดาย เฉียวเจาเอนพิงฉากกั้นจ้องมองพู่แดงอย่างใจลอย
เขาจากไปอย่างเร่งรีบปานนั้น จะต้องมีเรื่องอยากพูดกับนางมากมายกระมัง
ความจริงนางก็มีอะไรๆ อยากพูดกับเขามากมายเหมือนกัน
ถักพู่แดงชิ้นหนึ่งเองกับมือหรือ บางทีอาจลองหัดทำกับอาจูได้
จากนั้นเฉียวเจาก็ให้ปิงลวี่ตามอาจูมา
“คุณหนูเรียกข้าหรือเจ้าคะ”
เฉียวเจาโบกพู่แดงในมือไปมา “อาจู สอนข้าถักพู่ไหมแดงแบบนี้ชิ้นหนึ่งสิ”
อาจูมองพู่แดงในมือนางแล้วทำหน้าตาชอบกลอยู่สักหน่อย “คุณหนูอยากถักแบบนี้หรือเจ้าคะ”
เฉียวเจาอดหลุบตาลงมองพู่แดงไม่ได้ นางกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เจ้านี่มีปัญหาหรือ”
“ตัวพู่แดงไม่มีปัญหาอะไรเจ้าค่ะ…แค่ว่า…สามัญเกินไปบ้าง” อาจูเห็นผู้เป็นนายมิได้แสดงสีหน้าไม่พึงใจ นางจึงเอ่ยอธิบาย “ดูแบบของพู่แดงชิ้นนี้น่าจะเป็นของประดับเครื่องแต่งกายแบบเดียวกับในกองทัพ หากท่านเอาพู่แดงแบบนี้มอบให้ท่านแม่ทัพ ดีไม่ดีท่านแม่ทัพจะนึกว่าซื้อมาก็ได้เจ้าค่ะ”
ปิงลวี่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินแล้วเม้มปากยิ้ม “ท่านเขยไม่มีทางจำผิดหรอก ขนาดข้ายังจำฝีมือของคุณหนูได้ไม่ผิดเลย”
เฉียวเจาเหลือบมองนาง “…” ข้าจะขายสาวใช้ผู้นี้ทิ้งไปซะ!
“คุณหนู ข้าสอนท่านถักพู่ไหมลายห้าค้างคาวดีกว่า ไม่ยากเจ้าค่ะ” อาจูคลายยิ้มพูดแก้สถานการณ์ให้
สามวันต่อมา
เฉียวเจามองดูพู่ไหมลายห้าค้างคาวหน้าตาแปลกประหลาดแล้วถอนใจเฮือก นางคงไม่มีพรสวรรค์ในเชิงเย็บปักถักร้อยจริงๆ
ปิงลวี่กล่าวปลอบใจ “คุณหนู ท่านเก่งเหลือเกิน ก้าวหน้าขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
มาตรว่าคำชมอย่างนี้จะขัดกับมโนธรรมในใจเกินไป แต่ใครใช้ให้นางเป็นสาวใช้อาวุโสที่น่ารักเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเฉกนี้เล่า
อาจูพยักหน้ากล่าว “คุณหนูก้าวหน้าขึ้นมากจริงๆ พวกเราถักใหม่อีกชิ้นเถอะเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว เอาชิ้นนี้เถอะ” เฉียวเจาเก็บพู่แดงขึ้นอย่างทะนุถนอมแล้วผลักประตูเดินออกไป
ในลานเรือนเห็นหมู่ไม้แตกยอดอ่อนแล้ว เพราะเมื่อคืนเพิ่งฝนตกไป ลมเย็นสดชื่นที่ลอยมาปะทะใบหน้ายังเจือกลิ่นไอดินชื้นๆ ด้วย
เฉียวเจาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขับไล่อาการเวียนหัวตาลายตลอดสามวันที่ผ่านมาออกไปจนหมดสิ้น จากนั้นออกเดินไปทางเรือนใหญ่ของเรือนหยาเหอ
เหอซื่อกับหลีกวงเหวินกำลังกล่อมทารกน้อยเป็นพัลวัน
“ท่านออกไปเลยนะ ออกไป!” เสียงคำรามเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของเหอซื่อดังขึ้น ตามติดมาด้วยสุ้มเสียงคับข้องหมองใจของหลีกวงเหวิน
“ทุกวันข้าเข้ามาดูได้ครู่เดียวแค่นี้ นี่ยังไม่หมดเวลานะ”
“ฟางมามา เชิญนายท่านออกไป”
เฉียวเจาได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่แล้วลอบตกใจ
ที่ผ่านมาท่านแม่ก้มหน้าเจียมตนกับท่านพ่อเสมอ วันนี้เป็นอะไรไป
“เจาเจา เจ้ามาแล้วหรือ” หลีกวงเหวินเห็นเฉียวเจาแล้วถอนใจโล่งอก
มีบุตรสาวอยู่ ไม่ต้องกลัวโดนไล่ออกไปแล้ว
เฉียวเจาแสดงคำนับต่อบิดามารดาก่อนเอ่ยถามยิ้มๆ “ท่านแม่ ท่านพ่อทำอะไรผิดหรือเจ้าคะ”
“ข้าเพียงมาดูน้องชายเจ้า แม่เจ้าก็รำคาญข้า”
เหอซื่อได้ยินแล้วเบิ่งตาโต “ข้ารำคาญท่านเพราะมาดูลูกหรือ เจาเจา เจ้าเป็นคนตัดสินที ตอนเขาเข้ามา ฝูเกอเอ๋อร์กำลังหลับอยู่ แต่เขากลับมาหยิกแก้มน้องชายเจ้า ทีนี้เป็นอย่างไรล่ะ หยิกจนเด็กตื่นขึ้นมาร้องไห้โยเยใหญ่…”
“ข้าอุ้มฝูเกอเอ๋อร์มาปลอบแล้วนะ” นายท่านใหญ่สกุลหลีพูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
เหอซื่อทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ท่านยังมีหน้ามาพูดอีก ข้าบอกแล้วว่าท่านปลอบลูกไม่เป็น ให้แม่นมทำเอง ท่านก็ไม่รู้ฟัง ผลปรากฏว่าพอฝูเกอเอ๋อร์ฉี่ราด ท่านก็หันตัวลูกมาที่ข้าเลยฉี่ใส่หน้าข้าพอดี!”
“ก็…ก็ข้าเห็นลูกฉี่ออกมากะทันหันถึงทำอะไรไม่ถูกน่ะสิ”
“ยังจะแก้ตัวอีก! เอาเป็นว่าวันหลังห้ามอุ้มลูก”
หลีกวงเหวินส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางเฉียวเจา
นางเบนหน้าไปอีกทางหนึ่งอย่างเงียบๆ ถ้าวันหน้าเซ่าหมิงยวนทำอย่างนี้ นางคงอยากตีเขาให้ตายเหมือนกัน
เอ๊ะ ประเดี๋ยวก่อน ข้าคิดไปถึงไหนกันล่ะนี่…
แม่นางเฉียวหน้าแดงด้วยความขัดเขินอยู่ในใจ