หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 675
บทที่ 675
พี่ชายของอาจูชายหางตามองนาง เห็นว่าแม้นางแต่งกายเรียบๆ ง่ายๆ แต่ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นแพรพรรณชั้นดี แววตาของเขายิ่งลุกวาวขึ้น
“เจวียนเอ๋อร์ ยามนี้เจ้าอยู่ในเรือนตระกูลใดหรือ”
อาจูไม่สนใจคำกล่าวของพี่ชาย นางเอ่ยถามว่า “คนอื่นๆ ในเรือนเล่า”
พี่ชายของอาจูฟังแล้วรีบยกมือเช็ดน้ำตา “ซุกหัวนอนอยู่ในกระต๊อบเดียวกันหมด ท่านแม่ล้มป่วยอยู่ ส่วนพี่สะใภ้เจ้ารับจ้างซักผ้าทั้งวันหาเงินซื้อข้าวสาร เจวียนเอ๋อร์ ขณะนี้เจ้ามีชีวิตสุขสบายแล้ว จะไม่เหลียวแลพวกข้าไม่ได้นะ”
อาจูไม่เปล่งเสียงพูดสักคำ
พี่ชายของอาจูจับแขนเสื้อนางไว้ไม่ปล่อย “เจวียนเอ๋อร์ ตอนนี้ท่านแม่น่าเวทนามาก จะตามหมอมาตรวจอาการก็ไม่มีเงิน ได้แต่ฝืนทนไปเรื่อยๆ สองวันนี้กระทั่งน้ำแกงก็กินไม่ลงแล้ว เจ้าไม่มีทางทอดทิ้งท่านแม่เป็นแน่ๆ ใช่หรือไม่”
อาจูดึงแขนเสื้อคืน แพขนตาของนางสั่นระริก “พี่ใหญ่ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไปบอกกล่าวคุณหนูสักคำก่อน”
“คุณหนู?” พี่ชายของอาจูตาเป็นประกาย “เจวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูในเรือนตระกูลใดอีกแล้วใช่หรือไม่ ดีเหลือเกิน ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่บอกกับพวกท่านแม่แล้วว่าเจ้าเป็นคนเก่งขนาดนี้ ไปถึงที่ใดก็ต้องได้ดิบได้ดี…”
อาจูอดทนฟังเขาพูดพล่ามไม่ไหว นางกล่าวเสียงราบเรียบ “พี่ใหญ่รอก่อนเถอะ”
ในห้องส่วนตัวติดกัน ปิงลวี่เอามือเท้าคางจ้องหน้าประตูอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง “คุณหนู ที่แท้วันนี้แมงมุมตัวนั้นมาเพราะอาจูนั่นเอง นางยังมีพี่ชายอีกด้วยหรือนี่”
ในความคิดของสาวใช้น้อย สาวใช้ที่ซื้อมาระหว่างเดินทางอย่างอาจูจะต้องไม่มีโอกาสได้พบหน้าญาติพี่น้องตลอดชีวิตแล้ว
“เช้าบอกข่าวดี เย็นให้โชคลาภ แมงมุมตัวนั้นก็ขลังดีนะเจ้าคะ นี่เป็นเรื่องน่ายินดีเรื่องหนึ่งจริงๆ” แม้ว่าปกติปิงลวี่จะชอบต่อปากต่อคำกับอาจู แต่เห็นอาจูได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าครอบครัวยังคงดีใจแทนอีกฝ่ายจากใจจริง
“จะเป็นเรื่องน่ายินดีหรือไม่ยังไม่รู้” เฉียวเจากล่าวรำพึง
อาจูได้พบกับพี่ชายแท้ๆ อีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง แต่ทำสีหน้านิ่งเฉยเกินไปสักหน่อย อีกทั้งเมื่อครู่อาจูเอ่ยว่าความเป็นอยู่ของครอบครัวตนยังพอมีพอใช้ เช่นนี้ก็ไม่อาจไม่ขบคิดให้ลึกลงไปแล้ว
ฐานะไม่เลว แต่พอตระกูลของเจ้านายของบุตรสาวประสบเคราะห์ภัยร้ายแรงกลับไม่มีคนออกหน้าไถ่ตัวอาจูกลับไป เป็นเหตุให้นางสุดปัญญาจะนึกภาพได้ออกว่าอาจูกับคนในครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวกันแน่นแฟ้น
“คุณหนู ท่านพูดอะไรนะเจ้าคะ” เสียงพูดของเฉียวเจาเบามาก ปิงลวี่ฟังไม่ถนัดหู นางอดถามซักไซ้ไม่ได้
ตอนนี้เองอาจูย่างเท้าเข้ามา
“อาจู คนผู้นั้นเป็นพี่ชายของเจ้าจริงๆ หรือ”
อาจูคลี่ยิ้ม “พี่ชายของตนเองยังจะจำผิดได้หรือ”
“แล้วไฉนเขากลายเป็นอย่างนี้ล่ะ”
อาจูมองไปทางเฉียวเจา
“คุยจบแล้วหรือ”
อาจูพยักหน้า นางกัดริมฝีปากคุกเข่าลง “คุณหนู ข้าอยากตามพี่ชายไปพบมารดาเจ้าค่ะ”
“เจ้าบอกเหตุผลที่ครอบครัวตกยากมาสิ”
หลังฟังอาจูเล่าจบ เฉียวเจาให้ความสนใจไปที่เรื่องอุทกภัย
ทิศใต้เกิดอุทกภัยมีคนตายไม่น้อย แต่ดูเหมือนทางเมืองหลวงจะไม่ได้ยินเสียงเล่าลืออะไรเลย
แน่นอนว่าสตรีในห้องหอผู้หนึ่งเช่นนางวันทั้งวันอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน จะไม่ได้ยินได้ฟังก็ไม่น่าแปลกนัก
บางทีอาจจะบอกกล่าวกับพี่ฉือสักคำได้ ตำแหน่งที่เขาได้รับเมื่อเร็วๆ นี้น่าจะใช้เป็นประโยชน์ได้
“กลับจวนก่อน จากนั้นให้เฉินกวงไปเป็นเพื่อนเจ้า”
“ขอบคุณคุณหนูมากเจ้าค่ะ”
ระหว่างทางกลับจวน ทั้งนายและบ่าวล้วนไม่คึกคักร่าเริงดังเช่นตอนออกจากเรือนแล้ว แม้แต่ปิงลวี่ก็ไม่พูดไม่จา นางเลิกม่านหน้าต่างขึ้นมองทิวทัศน์ข้างนอกอย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน
“อาจู พี่ชายของเจ้าผู้นั้นยืนอยู่หน้าประตูหอสุรามองตามมาตลอดเลยนะ คงไม่ได้นึกว่าเจ้าไปแล้วไม่กลับมาหาเขาอีกกระมัง”
อาจูเป็นคนเอ่ยปากเสนอให้พี่ชายรั้งอยู่ที่หอชุนเฟิง มาตรว่าปิงลวี่จะเป็นคนซื่อๆ กลับรู้สึกได้อย่างเฉียบไวว่าความสัมพันธ์ของอาจูกับพี่ชายไม่ดีนัก จึงพาให้น้ำเสียงของนางแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
อาจูมิได้ยื่นศีรษะออกไปมองดู นางก้มหน้านิ่งๆ ดูมีความในใจหนักอึ้ง
มือขาวเรียวบางข้างหนึ่งยื่นมาตบแขนนางเบาๆ “ไม่ต้องคิดมาก ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”
“คุณหนู…” อาจูเงยหน้าขวับ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับสีหน้าแววตาสงบนิ่งของผู้เป็นนาย คนที่สุขุมเงียบขรึมเป็นนิจก็มีน้ำตาไหลพรากลงมา
หลังกลับถึงจวนสกุลหลี เฉินกวงพาอาจูย้อนกลับไปที่หอชุนเฟิงอีกครา
พี่ชายของอาจูเฝ้ามองอยู่ด้วยสายตาวาดหวัง ทันทีที่เห็นอาจูลงจากรถม้า ดวงตาเขาฉายแววลิงโลดอย่างปิดไม่มิด
“ไปเถอะ” อาจูเดินมาถึงเบื้องหน้าพี่ชายแล้วกล่าวสั้นกระชับ
พี่ชายของอาจูพานางไปทางทิศตะวันออกของเมือง บ้านเรือนสองฝั่งถนนค่อยๆ กลายเป็นกระท่อมบ้านดินเตี้ยๆ โกโรโกโส จนกระทั่งตอนหลังรถม้าก็แล่นผ่านไม่ได้ จำต้องลงมาเดินเท้าต่อ
คนที่อาศัยอยู่ในกระต๊อบพวกนั้นตั้งเตาไฟไว้ด้านนอก ยามนี้เริ่มเตรียมหุงหาอาหารกันแล้ว น้ำที่ใช้แล้วสกปรกก็สาดทิ้งตามสบาย ส่งผลให้จะย่ำเท้าลงพื้นก็ต้องระมัดระวัง
พี่ชายของอาจูแอบมองนาง เห็นนางทำหน้าตานิ่งเฉยก็ลอบระบายลมหายใจ “เดินไปด้านในก็ถึงแล้ว”
อาจูสาวเท้าเข้าไปโดยไม่ปริปากพูด จู่ๆ มีเด็กน้อยสองคนวิ่งไล่จับกันโผล่พรวดออกมา คนหนึ่งในนั้นชนเข้ากับตัวอาจูทันควัน
พี่ชายของอาจูเงื้อมือฟาดเด็กชายผู้นั้นทีหนึ่ง “เจ้าลูกสุนัขตาบอดหรืออย่างไร”
เด็กชายร้องไห้จ้า เขาตั้งท่าจะตีอีกแต่อาจูห้ามไว้ “เด็กไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย”
“อาหญิง?” เด็กชายหยุดร้องไห้กะทันหัน เขาแหงนหน้ามองอาจู
อาจูตกอกตกใจ คนที่โดนพี่ใหญ่ตีเป็นหลานชายของนางเองหรือนี่ นางจำได้ว่าพี่ใหญ่รักใคร่หวงแหนหลานชายสองคนมากที่สุด
“ท่านเป็นอาหญิงจริงๆ ใช่หรือไม่”
อาจูเผยรอยยิ้มน้อยๆ “จิ้นเป่ายังจำอาหญิงได้ด้วยหรือ จิ้นเป่าไม่ร้องไห้นะ อาหญิงเอาขนมมาฝากเจ้าด้วย”
นางหยิบขนมสายไหมรังนกห่อหนึ่งออกมายื่นให้จิ้นเป่า เด็กชายที่อายุมากกว่าอีกคนเบิ่งตาโตแล้ว
พี่ชายของอาจูเขกหัวเขาทีหนึ่งแล้วพูดดุ “งงไปแล้วรึ จำอาหญิงของเจ้าไม่ได้หรือ”
สายไหมรังนกนี้มีราคาไม่ถูก เมื่อก่อนตอนในเรือนยังมีเงินทองคล่องมือก็น้อยครั้งนักที่จะหักใจซื้อให้ลูกๆ กิน คิดไม่ถึงว่าน้องสาวออกนอกเรือนไม่เพียงมีรถม้าพามาส่ง ยังใจกว้างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพียงนี้ เห็นได้ว่าเป็นที่โปรดปรานของเจ้านายอย่างมาก
พี่ชายของอาจูยิ่งคิดแววยินดียิ่งฉายชัดบนหน้า เขาตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านแม่ ฮูหยินข้า ข้าตามหาเจวียนเอ๋อร์พบแล้ว!”
เขาตะโกนเรียกแบบนี้ เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงชะเง้อคอมองมาทันใด
อาจูมุ่นคิ้วพูดเสียงเบา “เข้าไปค่อยคุยกันเถอะ”
ประตูของกระต๊อบทั้งเตี้ยทั้งแคบ เฉินกวงจึงยืนอยู่ข้างนอกไม่ตามเข้าไป
อาจูเข้าไปก็มีสตรีออกเรือนนางหนึ่งเดินออกมา นางมีวัยราวยี่สิบเศษ ถึงแม้จะให้กำเนิดบุตรหลายคน แต่กลับยังไม่เสียทรวดทรง หนำซ้ำใบหน้าก็มิได้แต่งแต้มด้วยผงชาดชั้นเลว พอนางอยู่ในที่แบบนี้กลับดูไม่กลมกลืนอยู่บ้าง
พี่สะใภ้กวาดตามองอาจูอย่างฉับไวแวบหนึ่ง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม “ดีเหลือเกิน ในที่สุดก็ตามหาน้องเล็กเจอ ท่านแม่บ่นถึงเจ้าทั้งวันเลยนะ รีบเข้ามาสิ”
ในเรือนเย็นเยือกชื้นแฉะมีกลิ่นอับโชยมา หญิงชรานางหนึ่งนอนอยู่บนผ้านวมเก่าขาด สองตาของนางปิดสนิท
อาจูเดินเข้าไปมองเงียบๆ ชั่วครู่ถึงเรียกขานมารดาคำหนึ่ง
เปลือกตาของหญิงชรากระดุกกระดิก แต่ไม่ได้ลืมตาขึ้น
“ท่านแม่เป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว แต่ไม่มีเงินเชิญหมอมา” พี่สะใภ้ของอาจูเช็ดน้ำตาพลางพูด
อาจูขมวดคิ้ว นางหยิบก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งในถุงผ้าปักยื่นส่งให้พี่ชาย “พี่ใหญ่ไปเชิญหมอมาเถอะ”
พี่ชายของอาจูนิ่งขึงไปก่อนจะรับก้อนเงินไว้แล้วเดินออกไปอย่างว่องไว
“อุ๊ย น้องเล็กนั่งก่อนนะ ข้าจะไปบอกให้พี่ใหญ่เจ้าซื้ออาหารกลับมาสักสองสามอย่าง”
นางไล่ตามออกมา แอบชำเลืองมองเฉินกวงที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้แวบหนึ่งถึงดึงตัวสามีมากระซิบพูด “เจ้าตัวดี เจ้าจะไปเชิญหมอมาให้ท่านแม่จริงๆ หรือ นี่มันเงินนะ!”
พี่ชายของอาจูถลึงตาใส่นาง เอ่ยด่าเสียงเบาๆ “เจ้าอย่ามาคิดไม่ซื่อตอนนี้ ข้าไม่เพียงจะเชิญหมอมา ยังต้องเชิญหมอเก่งๆ มาให้ท่านแม่ด้วย!”