หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 677
บทที่ 677
วันรุ่งขึ้น ภายในตรอกสายหนึ่งเริ่มคึกคักขึ้น เรือนของชาวบ้านหลังหนึ่งในนั้นเปิดประตูออก สามีภรรยาคู่นั้นยกม้านั่งพับได้ออกมานั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่หน้าประตู
“เจ้าตัวดี เมื่อวานเจ้าเอาแต่ห้ามข้าไม่ให้พูด ไฉนเจ้าไม่ถามให้รู้เรื่องว่าน้องสาวของเจ้าทำงานอยู่ในจวนตระกูลใดกันแน่ ถ้าเกิดนางไม่มาแล้ว พวกเราทั้งครอบครัวจะทำฉันใด” นางยื่นมือไปหยิกสามีทีหนึ่ง
สามีปัดมือนางออก กล่าวเสียงกระด้างว่า “เลิกคิดเหลวไหลสักที ท่านแม่ป่วยอยู่ น้องเล็กจะไม่มาได้อย่างไร ข้าบอกเจ้าไว้นะ ตอนน้องเล็กอยู่ที่นี่ เจ้าต้องเอาใจใส่ท่านแม่มากๆ”
“รู้แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าบอกหรอก” นางถ่มเปลือกเมล็ดแตงโมออกมาอย่างหงุดหงิด
“มาแล้ว!” สามีลุกขึ้นยืน
นางรีบเก็บตะกร้าใส่เมล็ดแตงขึ้น สะบัดๆ กระโปรงแล้วเดินไปต้อนรับ
“น้องเล็กมาแล้วหรือ” พี่สะใภ้ของอาจูปั้นหน้ายิ้มแย้มเชิญนางเข้าเรือน พอชำเลืองเห็นเฉินกวงที่ยืนอยู่ข้างต้นทับทิมในลานเรือนก็ยักคิ้วหลิ่วตา “คนผู้นั้นเป็น…”
ครั้นสายตาปะทะเข้ากับใบหน้าเฉยเมยของอาจู นางกลืนคำพูดสัพยอกกลับลงคอ หากในใจนึกอิจฉาแกมชิงชังในความโชคดีของน้องสาวสามี
แม่เด็กน้อยเมื่อวานซืน ว่ากันถึงรูปโฉมยังเทียบนางไม่ได้ อาศัยอะไรได้กินดีอยู่ดีกับคุณหนูในเรือนผู้สูงศักดิ์ ยังรู้จักกับหนุ่มน้อยหล่อเหลาอย่างนั้นอีกด้วย
โลกเรานี้ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ!
พี่สะใภ้ของอาจูลอบขุ่นเคืองใจ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้สักนิด นางเชิญอาจูเข้าเรือนอย่างสุภาพเกรงใจ
อาจูไปเยี่ยมมารดาก่อน หยิบผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดๆ แล้วเช็ดหน้าเช็ดมือให้หญิงชราแล้วถึงไปสนทนาในโถงเรือน
“น้องเล็ก เจ้าเห็นสภาพของเรือนเราตอนนี้แล้ว ท่านแม่ล้มป่วย พี่ใหญ่ของเจ้ายังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน ลูกสองคนก็กำลังโตวันโตคืนพอดี ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ไหวนะ” หลังไต่ถามทุกข์สุขแล้ว พี่สะใภ้ของอาจูถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง
“ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ตั้งใจจะทำอะไรหรือไม่”
พี่สะใภ้เช็ดมือกับเสื้อก่อนหยิบน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้อาจู “น้องเล็ก เจ้ามิสู้ช่วยขอร้องคุณหนูของเจ้าให้พี่สะใภ้กับพี่ใหญ่ไปทำงานในจวนดีกว่า แบบนี้ครอบครัวเราก็จะหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปได้ตลอด ไม่ต้องพึ่งพาเจ้าอยู่ร่ำไป”
อาจูคลี่ยิ้ม นางเห็นพี่ชายมองด้วยสายตาวาดหวังดุจเดียวกันก็เอ่ยเรียบๆ “พี่สะใภ้คิดได้อย่างนี้เป็นเรื่องดี เพื่อความเป็นอยู่ของคนทั้งครอบครัวสมควรมีงานที่ยังชีพไปได้ตลอด แต่ตระกูลของเจ้านายข้ามีคนน้อย ไม่ต้องการบ่าวไพร่มากขนาดนี้ ข้าว่าเอาอย่างนี้เถอะ พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ทำการค้าเล็กๆ อะไรสักอย่าง ข้าจะลงขันให้”
พี่ชายพี่สะใภ้ของอาจูคิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ ทั้งคู่อดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
เป็นนานครู่หนึ่ง พี่สะใภ้ถึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ากับพี่ชายเจ้าไม่มีฝีมือทำอะไรเลย คิดไม่ออกว่าจะทำการค้าทุนน้อยๆ ทางไหนดี ให้พวกข้าไปทำงานในจวนของเจ้านายเจ้าเถอะ ได้เงินค่าจ้างเป็นเดือนๆ ตามเวลา ไม่ต้องวุ่นวายใจใดๆ ทั้งนั้น”
“ข้าบอกแล้วว่าครอบครัวของเจ้านายข้าไม่ใช่ตระกูลเศรษฐีสูงศักดิ์ที่ไหน ไม่ต้องใช้คนมากขนาดนั้น ถ้าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรตอนนี้ พวกท่านก็ค่อยๆ คิดกันไป ข้าจะกลับไปทำงานรับใช้คุณหนูของข้าก่อน สาวใช้อย่างพวกข้าขอลาบ่อยๆ ไม่เป็นการดี” อาจูลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์
พี่ชายของอาจูรีบรั้งตัวนางไว้ “น้องเล็กอย่าเพิ่งไปสิ พวกข้าทำการค้าเล็กๆ ตามที่เจ้าบอกก็ได้”
“พี่ใหญ่ตั้งใจจะทำอะไร”
“เมื่อก่อนข้าเคยเชือดหมูมิใช่หรือ ก็ทำอาชีพเดิมแล้วกัน”
สำหรับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ขายเนื้อหมูนับเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง นอกจากจะได้เงินมากกว่าทำไร่ไถนา พวกเนื้อหมู กระดูกและเครื่องในต่างๆ ที่ขายเหลือยังเอามากินให้อิ่มหนำสำราญได้ เสียเพียงอย่างเดียวคือลงทุนสูงมาก แต่มีน้องเล็กอยู่ทั้งคน เท่านี้ไม่นับว่ามีอะไร
พี่ชายของอาจูยิ่งคิดยิ่งดีใจ
ด้านอาจูเห็นพี่ชายยอมทำอาชีพเดิมก็ลอบระบายลมหายใจเฮือก
เมื่อมีเงินอยู่ในมือ พี่ชายกับพี่สะใภ้ของอาจูตั้งแผงขายหมูได้ในเวลาสั้นๆ อาการป่วยของมารดาก็เริ่มกระเตื้องขึ้น ไม่นานนักถึงกับลงจากเตียงได้แล้ว
อาจูโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แต่ผ่านไปไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้น พี่ชายของนางทะเลาะวิวาทกับแผงขายของติดกัน โดนอีกฝ่ายตีจนขาหัก
“ฮือๆๆ มิใช่ง่ายดายกว่าชีวิตจะเข้าที่เข้าทางแล้ว ไฉนต้องมาเจอกับเรื่องพรรค์นี้ด้วยนะ ขอให้มันไม่ได้ตายดี! น้องเล็ก เจ้าต้องเอาคืนให้พี่ใหญ่เจ้านะ จะปล่อยให้เขาโดนคนอื่นข่มเหงรังแกเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ได้”
ได้ยินเสียงร่ำไห้ของพี่สะใภ้ อาจูเอือมระอาสุดจะกล่าว “พี่สะใภ้อย่าร้องไห้อีกเลย คนที่ทำร้ายพี่ใหญ่ย่อมต้องให้เจ้าหน้าที่ทางการลงโทษ สิ่งสำคัญตอนนี้คืออาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่นะ”
พี่สะใภ้ของอาจูร้องไห้ฟูมฟาย “น้องเล็ก พี่ใหญ่เจ้าขาหักแล้วคงตั้งแผงขายหมูไม่ไหว ส่วนข้าเป็นสตรีผู้หนึ่งจะออกไปตากหน้าทำงานข้างนอกโดยไม่มีพี่ใหญ่เจ้าไปด้วยก็ไม่ดี แล้วคนทั้งครอบครัวนี้จะอยู่กันอย่างไร! เจ้าช่วยข้าด้วยนะ หาหน้าที่อะไรสักอย่างก็ได้ในจวนเจ้านายเจ้าให้ข้าทำเถอะ ฮือๆๆ ถ้าข้ากับพี่ใหญ่เจ้าไปทำงานที่นั่นแต่แรก เขาคงไม่ต้องขาหักแล้ว…”
“แค่กๆ…” เสียงไอของมารดาอาจูดังลอยมา
อาจูลูบหลังมารดาเบาๆ แต่มารดาของนางจับมือนางไว้ “เจวียนเอ๋อร์ เจ้ารับปากพี่สะใภ้ของเจ้าเถอะ หรือเจ้าจะดูคนทั้งครอบครัวอดตายต่อหน้าต่อตาใช่ไหม แค่กๆๆ…”
อาจูหลุบเปลือกตาลง “ขอข้าตรองดูอีกทีเถอะ”
หลังจากกลับถึงจวนสกุลหลี อาจูเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางมีความในใจหนักอึ้ง
ปิงลวี่ตบตัวนางทีหนึ่งจากทางข้างหลัง “อาจู มัวใจลอยอะไรอยู่”
อาจูหลุดจากภวังค์ หลุบตาลงซ่อนประกายน้ำตาไว้ เอ่ยเสียงเบาๆ “มีอะไรหรือ คุณหนูสั่งกำชับอะไรใช่หรือไม่”
ปิงลวี่พิศดูนางอย่างฉงนสงสัย “คุณหนูไม่มีเรื่องอะไร เจ้าต่างหากล่ะ หมู่นี้เป็นอะไรถึงชอบใจลอยบ่อยๆ”
“ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรได้อย่างไร ตั้งแต่พี่ชายเจ้ามาหา ข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้ายิ้มอีกเลย รอประเดี๋ยว ข้าจะไปบอกคุณหนูเอง”
“ปิงลวี่ อย่าไปนะ..”
ปิงลวี่กลับไม่สนใจอาจู รีบวิ่งออกไปราวกับลมพัด
เฉียวเจาเรียกอาจูมาพบแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อาจู ข้าเคยบอกไว้ว่ามีปัญหาอะไรก็บอกข้า”
พอเห็นสาวใช้ไม่พูดไม่จา นางกล่าวทอดถอนใจ “ข้าได้ยินจากเฉินกวงแล้วว่าพี่ชายเจ้าโดนคนตีขาหัก”
อาจูหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เดิมทีนางขอร้องเฉินกวงไว้ว่าไม่ให้เล่าให้คุณหนูฟัง ตอนนั้นเขาไม่ปริปากพูด นางนึกว่าเขาตอบตกลงแล้ว ไม่คิดว่า…
เฉินกวงซึ่งอยู่ห่างไปอีกมุมหนึ่งคิด ก็ท่านแม่ทัพกำชับข้าไว้ว่าไม่ว่ามีเรื่องอะไรจะปิดบังคุณหนูสามไม่ได้นี่ ถึงได้บอกว่าเจอปัญหายุ่งยากใจให้นิ่งเงียบไว้เป็นการแบ่งรับแบ่งสู้เป็นดีที่สุด อย่างไรก็ไม่ผิดแน่
“สองวันนี้เจ้าคิดวิธีดีๆ ออกแล้วหรือยัง”
อาจูกัดริมฝีปากก้มศีรษะลง “พอเกิดเรื่องกับพี่ชายข้าแล้วจะเปิดแผงขายของเล็กๆ ก็ทำไม่ได้อีก พวกเขาเป็นคนต่างถิ่น ครอบครัวทั่วไปไม่เต็มใจจ้างไว้ใช้งาน ข้าอยาก…”
นางลังเลใจชั่วประเดี๋ยวก่อนตกลงปลงใจกล่าวขึ้นในที่สุด “ข้าอยากขอให้คุณหนูช่วยมอบหมายหน้าที่สักอย่างให้พี่สะใภ้ข้าทำ…”
พอเห็นอาจูยังพูดไม่จบก็หน้าตาแดงก่ำไปหมด เฉียวเจาลอบถอนใจเฮือกแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าจะไปพูดกับท่านแม่เอง ในเรือนเพิ่งมีเด็กทารกเพิ่มขึ้นอีกคน ต้องการคนมาช่วยงานจริงๆ”
ในจวนต้องการคนเป็นเรื่องจริง แต่จะจ้างคนที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาก็ไม่กล้า นางเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหว พบเจอเรื่องใดในช่วงเวลาที่หมิ่นเหม่ล่อแหลมเช่นนี้ จึงไม่อาจไม่คิดมาก
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้ เฉียวเจายกมุมปากโค้งขึ้น
หากครอบครัวของอาจูแค่มาพึ่งพาญาติมิตรแต่เพียงประการเดียวก็ถือว่าช่วยเหลืออาจูสักครั้ง แต่ถ้ามีจุดประสงค์อื่น นางให้มาอยู่ใกล้ๆ คอยจับสังเกตดูได้พอดี