หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 683
บทที่ 683
ด้านนอกประตูใหญ่จวนสกุลหลีมีคนยืนล้อมวงมุงดูเต็มไปหมด
สตรีออกเรือนแล้วอุ้มเด็กน้อยผู้หนึ่งแผดเสียงร้องไห้ดังลั่น “สวรรค์! สกุลหลีจะทุบตีคนให้ตาย เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหลาย ดูสิดู สกุลหลีวางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกชาวบ้านทุบตีสตรีผู้หนึ่งอย่างข้าจนกลายเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะเดินเหินแล้ว น่าสงสารเจ้าโก่วตั้นลูกข้าอายุยังไม่ถึงสองขวบเลย แม่ทำอาหารให้เจ้ากินไม่ไหว เจ้าก็ต้องอดตายแล้ว…”
ขณะที่นางร่ำไห้โหยหวนอยู่ สังเกตเห็นเด็กน้อยในอ้อมแขนไม่มีท่าทีจะร้องไห้สักนิด เพียงเบิ่งดวงตาคู่โตสุกใสมองซ้ายมองขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางอดก่นด่าในใจไม่ได้
เจ้าลูกผู้นี้ไม่ได้เรื่องจริงๆ ในตอนสำคัญอย่างนี้เหตุใดถึงไม่ร้องไห้เล่า
นางหมดหนทาง ได้แต่หยิกแขนเขาทีหนึ่ง เด็กน้อยร้องไห้จ้าเสียงดังด้วยความเจ็บในที่สุด
เมื่อเด็กน้อยร้องไห้อย่างนี้ คนที่มุงดูอยู่ก็เริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมด้วยน้ำเสียงแฝงความเห็นอกเห็นใจ
“ทุกคนดูกันเถอะ วันหน้าโก่วตั้นลูกข้าไม่มีมารดาคอยดูแลแล้ว น่าเวทนาปานใดหนอ...”
สกุลหลีเป็นตระกูลขุนนางสามัญธรรมดามีคฤหาสน์หลังเล็กๆ คนในครอบครัวก็ไม่มากมายวุ่นวาย ข้อสำคัญคือนับว่ายากจน ดังนั้นจึงมีผู้ดูแลประจำตระกูลไว้ประดับบารมีเพียงผู้เดียว
น่าสงสารผู้ดูแลสูงวัยที่ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เขายืนอยู่ข้างสตรีผู้นั้นกล่าวอย่างอ่อนใจ “นี่ตกลงเจ้าคิดจะเอาอย่างไรกันแน่”
ครอบครัวอย่างพวกเขาต่างจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ กลัวคนประเภทที่ตามตอแยไม่เลิกราเหมือนเนื้อเหนียวหั่นไม่ขาดอย่างนี้นี่เอง
สตรีนางนั้นหยุดร้องไห้ นางเช็ดน้ำตาออกกล่าวว่า “ข้าคิดจะเอาอย่างไรนั่นหมายถึงอะไร สกุลหลีของพวกเจ้าทุบตีข้าจนเป็นแบบนี้ หรือว่าไม่สมควรชดใช้เงิน”
พอได้ยินคำว่า ‘ชดใช้เงิน’ สตรีวัยกลางคนที่อุ้มสุนัขไว้ตาเป็นประกายทันใด
ไม่ได้ ต่างโดนสาวใช้สกุลหลีทุบตีเหมือนกัน ข้าจะยอมน้อยหน้าไม่ได้
“สวรรค์เบื้องบน!” เสียงร้องไห้แหลมสูงดังขึ้นกะทันหัน เป็นเหตุให้คนที่มุงดูอยู่ไม่น้อยสะดุ้งเฮือกอย่างเสียขวัญ
สตรีที่อุ้มสุนัขพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดจากเสียงนี้ของตนเป็นอันมาก นางร้องไห้รำพึงรำพันต่อไปอย่างไม่ลดละ “ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีตรงไหนไม่เจ็บ น่าเสียดายเจ้าหู่จื่อของข้า อายุยังไม่ถึงสามเดือนเลย ถ้าข้าทำงานไม่ไหว มันก็ต้องอดตายแล้ว สกุลหลีไร้คุณธรรมจริงๆ ข่มเหงรังแกสตรีเช่นข้า…”
สตรีนางนั้นร้องไห้พลางหยิกสุนัขในอ้อมแขนอย่างคล่องแคล่วฉับไว เจ้าสุนัขรู้สึกเจ็บ แต่จนใจว่านางเป็นเจ้านายเลยไม่กล้าขัดขืน มันส่งเสียง “โฮ่งๆ” อ่อยๆ สองทีเหมือนไม่มีแรง
คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเอ่ยถามคนด้านข้าง “น่าแปลกนัก บุตรสาวคนสุดท้องของสกุลหวังออกเรือนไปแล้วมิใช่หรือ แล้วเด็กทารกอายุสามเดือนมาจากไหนกัน”
คนด้านข้างอดขบขันไม่ได้ “เด็กทารกอายุสามเดือนอะไรกัน หู่จื่อคือหมาเหลืองในอ้อมแขนนางตัวนั้น”
คนถามอ้าปากค้าง แบบนี้ก็ได้ด้วยรึ
สตรีที่อุ้มสุนัขยิ้มอย่างลำพองใจ เลิกคิ้วท้าทายสตรีที่อุ้มเด็กน้อยอยู่ข้างๆ
โชคดีที่นางมองการณ์ไกล คนอื่นมีบุตรตัวน้อย นางมีสุนัข อย่างไรก็จะให้น้อยหน้าคนอื่นไม่ได้
สตรีที่อุ้มเด็กเห็นท่าทางลำพองใจของอีกฝ่ายแล้วมีน้ำโหอย่างสุดระงับ นางเบะปากกล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็ช่างน่าขันนัก สุนัขตัวหนึ่งอดตายแล้วจะมีอะไร เทียบกับลูกข้าได้หรือ คอยดูเถอะ ประเดี๋ยวสกุลหลีต้องชดใช้ให้พวกข้ามากกว่า”
“สุนัขเป็นอย่างไรรึ สุนัขก็เป็นแก้วตาดวงใจของข้านะ ไฉนเจ้าใจร้ายเพียงนี้ ถึงกับแช่งให้หู่จื่อของข้าอดตาย!”
สตรีที่อุ้มลูกแค่นเยาะเสียงหนึ่ง “เจ้าเก่งขนาดนี้ ไฉนไม่ให้สุนัขตัวนี้เรียกเจ้าว่าแม่เล่า”
“เจ้า!” สตรีที่อุ้มสุนัขโกรธจนลืมเรื่องคิดบัญชีกับสกุลหลี นางยกมือเท้าเอวกล่าวว่า “ต่อให้หู่จื่อของข้าเรียกแม่ไม่เป็น แต่ก็ฉลาดหัวไวกว่าบุตรชายปัญญาอ่อนของเจ้า”
ผู้เป็นมารดาคนไหนๆ ล้วนทนฟังคำนี้ไม่ได้ สตรีที่อุ้มลูกได้ยินแล้วบันดาลโทสะ ปรี่เข้าใส่สตรีที่อุ้มสุนัข “เจ้าบอกว่าบุตรชายใครปัญญาอ่อน! ใครบอกกัน”
จังหวะนี้เองสุนัขในอ้อมแขนสตรีนางนั้นจู่ๆ ก็กระโจนไปเอาอุ้งเท้าตะกุยสาบเสื้อของสตรีที่อุ้มลูกและกัดแขนนางทีหนึ่ง
สตรีที่อุ้มลูกส่งเสียงร้องโอดโอย “โอ๊ย! สุนัขของนางเฒ่าสกุลหวังจะฆ่าคนตายแล้ว ข้าขอแลกชีวิตกับเจ้า!”
เจ้าสุนัขคลายปากแล้วกระโดดลงพื้นอย่างปราดเปรียวว่องไว มันพ่นลมหายใจฮึดฮัดสองทีก่อนจะสะบัดหางวิ่งหนีไปเลย
พอกันที จะมาเรียกร้องอะไรกับสุนัขตัวหนึ่งอย่างมันนักหนา รู้หรือไม่ว่าเป็นสุนัขก็ยากลำบากมากแล้วนะ
พอเห็นสุนัขของตนวิ่งหายไปไม่เห็นเงาแล้ว สตรีแซ่หวังถลันเข้าไปหาสตรีที่พุ่งเข้ามาโดยไม่ยอมอ่อนข้อสักน้อยนิด “ข้าต่างหากขอแลกชีวิตกับเจ้า เจ้าเป็นต้นเหตุให้หู่จื่อของข้าหนีออกจากอ้อมอกข้าไปแล้ว!”
สตรีสองนางตบตีกันเป็นพัลวัน ชั่วครู่ต่อมาคนของทั้งสองครอบครัวก็ร่วมวงต่อสู้ ทั้งสองฝ่ายทะเลาะวิวาทกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน จากนั้นขยับออกห่างจากประตูใหญ่ของจวนสกุลหลีไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ผู้ดูแลจวนสกุลหลีอ้าปากค้างมองดูหน้าประตูที่ว่างโหรงเหรง เขาขยับๆ ปากให้เข้าที่แล้วพูดรำพึง “หรือว่าเรื่องจะคลี่คลายไปอย่างนี้แล้ว”
ผู้ดูแลกลับเข้าไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งด้วยจิตใจที่สับสนปนเป
หญิงชรากำลังสนทนากับเฉียวเจาอยู่ “หลานเจา สาวใช้ที่ชื่อปิงลวี่ผู้นั้นของเจ้าเป็นคนดีผู้หนึ่งนะ เป็นคนซื่อๆ ตรงไปตรงมา แต่เจ้าก็ควรกระหนาบๆ นางไว้บ้าง บัดนี้จวนสกุลหลีเราไม่เหมือนในกาลก่อน มีคนอิจฉาตาร้อนมากมาย อยู่นอกเรือนจะพูดจะทำอะไรต้องระมัดระวัง”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ดุเดือดเลือดพล่านที่นอกจวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถอนใจเฮือก “โดยเฉพาะสตรีปากยาวพวกนั้น พวกนางชมชอบซุบซิบนินทา ไยต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนอย่างพวกนางด้วยเล่า”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้ากลับไปแล้วจะอบรมนางให้ดี” เฉียวเจามีท่าทีว่านอนสอนง่าย “ทำให้ท่านย่าต้องวุ่นวายใจ ล้วนเป็นความผิดของข้าคนเดียวเจ้าค่ะ”
เพลานี้เองหลิวซื่อเดินเข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ สตรีสองคนก่อความวุ่นวายจะมีอะไร อย่างมากให้เงินไปก็จบเรื่องแล้ว”
ดูทีว่าสตรีสองคนนี้ต้องเคราะห์ร้ายแล้ว
“ออกไปถามสถานการณ์กับผู้ดูแลที่ด้านนอก” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยสั่งชิงอวิ๋น
นางรับคำสั่งเดินออกไปไม่นานนักก็พบกับผู้ดูแล ทั้งคู่จึงย้อนกลับมารายงานพร้อมกัน
“เป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรีบไต่ถาม
นางสูญเสียสามีไปตั้งแต่วัยสาว เคยประสบพบเจอพวกสตรีที่ร้องไห้โวยวายขู่ว่าจะแขวนคอตายพรรค์นี้มาก่อน คนจำพวกนี้รับมือได้ยากเย็นกว่าบรรดาฮูหยินที่เสแสร้งแกล้งทำเป็นอันมาก
ผู้ดูแลทำหน้าตาชอบกลๆ “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า สถานการณ์ในตอนนี้บอกได้ยากอยู่สักหน่อยขอรับ”
“นี่จะมีอะไรบอกได้ยาก พวกนางเรียกร้องอะไร”
“พวกนางยังไม่ได้เรียกร้องขออะไรก็ทะเลาะกันเองขึ้นมาแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งงุนงงมากขึ้น “หมายถึงใครทะเลาะกับใคร”
“ก็สตรีสองคนนั้นขอรับ พวกนางพูดจาไม่ถูกหูกัน สุนัขของสตรีคนหนึ่งก็กัดสตรีอีกคน จากนั้นทั้งคู่ก็ตบตีกันอุตลุดขอรับ”
“พวกนางยังวิวาทกันที่หน้าประตูใหญ่จวนเราหรือ”
สีหน้าของผู้ดูแลแปลกพิกลกว่าเดิม “ไม่ใช่ขอรับ พวกนางตบตีกันอย่างรุนแรงจนทั้งสองครอบครัวเข้ามาร่วมวงด้วย จากนั้นย้ายจากหน้าจวนเราไปทะเลาะกันตรงลานโล่งกว้างขอรับ”
“นี่มัน…” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งผู้คมในฝักถึงกับหมดวาจาจะพูดตอบ นางอึ้งไปนานครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ไปดูสถานการณ์อีกที คนพวกนั้นได้โอกาสตามราวีคนในตระกูลอย่างพวกเราอย่างหาได้ยาก ไม่มีทางแล้วกันไปเท่านี้ ดีไม่ดีวิวาทกันจบแล้วจะย้อนกลับมาหาเรื่องอีก”
ผู้ดูแลวิ่งออกไปสอบถามสถานการณ์ ไม่นานนักก็วิ่งกลับมาด้วยสีหน้าปั้นยาก “ฮูหยินผู้เฒ่า ตอนนี้จวนเราน่าจะไม่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแล้วขอรับ”
“เหตุใดถึงพูดเช่นนี้”
“เมื่อครู่เจ้าหน้าที่ของสำนักห้ากำลังพลระวังเมืองมาถึง แล้วจับกุมทั้งสองครอบครัวนั้นไปหมดด้วยข้อกล่าวหาว่าทะเลาะวิวาทก่อความวุ่นวายขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอึ้งงัน “…”
ด้านหลิวซื่อยกมือจับปิ่นดอกไม้ผ้าตรงจอนผมให้เข้าที่