หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 687
บทที่ 687
นัยน์ตาของพี่สะใภ้อาจูปรากฏแววเลื่อนลอยชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
สุ้มเสียงนั้นอ่อนโยนยิ่งขึ้นราวกับกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงฝนหยดลงมาจากชายคา “เจ้าดูให้ดีๆ ว่าเห็นอะไรบ้าง”
“ข้า…ข้าพบคนผู้หนึ่ง…”
เฉียวเจาอมยิ้ม
สำหรับคนที่ถูกครอบงำจิตใจแล้ว พอคนที่ใช้วิชาสะกดจิตเอ่ยถามคำถามกว้างๆ สิ่งแรกที่จะคิดถึงก็คือเรื่องที่ผิดไปจากปกติมากที่สุดเมื่อเร็วๆ นี้
เฉียวเจาเชื่อว่าเรื่องที่น่าจะผิดปกติที่สุดในช่วงนี้ของพี่สะใภ้อาจูก็คือมีคนบงการนางมาขโมยของที่จวนสกุลหลี
“คนผู้นั้นเป็นใคร”
“เป็นใครหรือ ข้า…ข้าไม่รู้…”
เฉียวเจามุ่นคิ้วน้อยๆ แต่น้ำเสียงสงบนิ่งดุจเดิม “เจ้าเห็นรูปโฉมเขาไม่ชัดหรือ”
หนนี้พี่สะใภ้ของอาจูตอบได้คล่องแคล่วขึ้นมาก “ใช่ เขาสวมงอบไว้ ข้าเห็นหน้าเขาไม่ถนัด”
“เช่นนั้นเขาเป็นบุรุษหรือสตรี”
“บุรุษ”
“เขามีจุดเด่นอะไรหรือไม่”
“จุดเด่น? ข้า…ข้าจำไม่ได้แล้ว…”
เสียงพูดของเด็กสาวแผ่วนุ่มมากขึ้นหากแฝงรอยคะยั้นคะยออยู่ในที “ไม่สิ เจ้าจำได้ เจ้าลืมตากว้างๆ ดูให้ละเอียดอีกที คนผู้นั้น…”
พี่สะใภ้ของอาจูพลันเบิ่งตาโตๆ ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็โพล่งขึ้น “ข้าเห็นแล้ว ใต้คางคนผู้นั้นมีไฝอยู่ ใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองเลย!”
เฉียวเจายังตะล่อมถามอีกหลายคำถาม เห็นว่าได้จังหวะแล้ว นางเอ่ยถามเสียงเบา “คนผู้นั้นให้เจ้าทำอะไรหรือ”
“เขา…เขาให้ข้าไปที่เรือนพำนักของคุณหนูสามสกุลหลีเพื่อตามหาสร้อยประคำข้อมือเส้นหนึ่ง…”
“หลังจากหาสร้อยประคำเจอแล้ว เจ้าควรมอบให้เขาอย่างไรล่ะ”
“ไปทางฟากตะวันออกของเมืองซื้อเต้าหู้สองชั่งที่แผงขายเต้าหู้ตรงปากตรอกถงเฉียน เป็นเงินห้าเฉียนไม่ต้องทอน วันถัดมาเมื่อถึงยามซื่อ* ข้าจะไปที่ร้านบะหมี่สกุลจางมอบสร้อยประคำให้เขา…”
“เขาจะเอาสร้อยประคำไปทำอะไร” เฉียวเจารู้ดีว่าคนผู้นั้นไม่มีทางเอ่ยเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ของอาจู แต่ยังถามไว้เผื่อโอกาสหนึ่งในหมื่น
“ข้าไม่รู้ เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แค่บอกว่าหลังเจอสร้อยประคำแล้วจะให้เงินข้าก้อนใหญ่” เมื่อเอ่ยถึงเงิน สีหน้าของพี่สะใภ้อาจูฉายรอยหวาดระแวงอยู่บ้าง
เฉียวเจาทั้งฉิวทั้งขัน นางเน้นเสียงหนักขึ้นฉับพลัน “น่าเสียดายที่เจ้าหาสร้อยประคำไม่เจอสักที เช่นนั้นควรทำฉันใดดีเล่า”
ความรู้สึกขัดแย้งในใจปรากฏขึ้นในสีหน้าแววตาของพี่สะใภ้อาจู คล้ายบังเกิดความฉงนใจน้อยๆ ที่บอกว่ายังหาสร้อยลูกประคำไม่เจอ
เฉียวเจารู้ว่าอยากให้ผู้ถูกสะกดจิตยอมรับเรื่องที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงยากลำบากกว่าเรื่องที่มิได้เกิดขึ้นจริงแล้วแต่งขึ้น จึงคาดเดาถึงปฏิกิริยาที่พี่สะใภ้ของอาจูแสดงออกมาในขณะนี้ได้ล่วงหน้า
นางไม่ลุกลี้ลุกลน ทอดน้ำเสียงเบาลงเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้าเป็นจังหวะน่าพิศวง “ถ้ายังหาสร้อยประคำไม่เจออีก คนผู้นี้คงจะโมโห เจ้าก็จะไม่ได้เงินแล้ว…”
“เงิน?” พี่สะใภ้ของอาจูตาเป็นประกาย “ใช่ ข้าต้องได้เงิน ข้าต้องรีบหาสร้อยประคำให้เจอก็จะได้เงินแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าหาต่อไปเถอะ จงจำไว้ว่าเจ้ายังหาไม่เจอเลยนะ…”
“ข้าต้องหาต่อ ต้องหาให้เจอ...” พี่สะใภ้ของอาจูลุกขึ้นยืน นางยื่นมือออกไปพลางเดินออกไปหลายก้าวด้วยสีหน้าเลื่อนลอย จู่ๆ ก็ชนเข้ากับมุมโต๊ะ
นางชะงักกึก แววตากลับมารับรู้สิ่งรอบข้างดังเดิมกะทันหัน
นางดึงสติกลับมาได้ทีละน้อย ยกมือขึ้นขยี้ตาแล้วมองซ้ายมองขวา เห็นเจ้าของเรือนยังนอนตะแคงหลับสนิทอยู่บนเตียงก็ระบายลมหายใจเบาๆ จากนั้นเก็บของที่รื้อค้นจนเกลื่อนกลาดเก็บเข้าที่ตามเดิมอย่างรีบเร่งแล้วย่องออกไปเงียบๆ
“คุณหนู นาง นาง…” ปิงลวี่ชี้หน้าประตูพูดตะกุกตะกัก
“พรุ่งนี้นางยังจะมาอีก”
“แต่ท่านถามได้เรื่องแล้ว เหตุใดไม่ลงโทษนางหนักๆ เล่าเจ้าคะ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ลงโทษอย่างไร นางไม่ได้ลงนามในสัญญาขายตัวเป็นทาสกับครอบครัวเรา พวกเราไม่มีสิทธิ์ขายนาง อย่างมากก็ส่งตัวไปให้ทางการ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องมีเสียงโจษจันออกไปว่าสกุลหลีปกครองเรือนไม่เข้มงวด ลงท้ายยังคงเป็นพวกเราที่เสียหายอยู่ดี”
“อย่างนั้น…อย่างนั้นจะแล้วกันไปเท่านี้หรือเจ้าคะ”
เฉียวเจายิ้มน้อยๆ มองหน้าประตูอย่างเยือกเย็น “ไม่แน่นอน มา ข้าจะบอกเจ้าว่าพรุ่งนี้ควรทำอย่างไร”
วันรุ่งขึ้นท้องฟ้าปลอดโปร่ง เฉียวเจาพาปิงลวี่กับอาจูสองสาวใช้ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ด้านหลัง
พี่สะใภ้ของอาจูแอบเข้ามาอย่างคุ้นที่คุ้นทางแล้วเริ่มรื้อค้นหาของ
นางมาถึงข้างเตียง จ้องมองแผ่นไม้ตรงหัวเตียงแล้วในใจพลันนึกฉงนอยู่หลายส่วน ตรงนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยค้นไปแล้ว แต่ก็เหมือนยังไม่เคย เหตุใดนางจำไม่ได้นะ
ช่างปะไร ค้นอีกทีเถอะ นางรู้สึกไม่วายว่าในนี้น่าจะมีของอยู่
พี่สะใภ้ของอาจูยื่นมือไปก็ได้ยินเสียงร้องตวาดดังขึ้นกะทันหัน “เจ้าทำอะไร!”
นางหมุนกายขวับ
ปิงลวี่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเดือดดาล ยื่นมือไปยึดข้อมือของนางไว้ “โชคดีที่คุณหนูสั่งให้ข้ากลับมาหยิบชุดชงชา คิดไม่ถึงว่าจะจับหัวขโมยได้ผู้หนึ่ง! ไป…ตามข้าไปพบคุณหนู!”
“โอ๊ย พี่สาว ท่านก็สงสารที่ในเรือนข้ามีทั้งคนเฒ่าคนแก่ทั้งลูกเล็กเด็กแดง เห็นแก่หน้าอาจูละเว้นข้าสักครั้งเถอะนะ ข้าโดนความโลภบังตา เพิ่งทำครั้งนี้เป็นครั้งแรกเท่านั้น…”
พี่สะใภ้ของอาจูพูดอ้อนวอนไปกลางคัน จู่ๆ ก็คว้าแจกันดอกไม้ใกล้มือขว้างใส่ปิงลวี่
ปิงลวี่เอียงคอหลบแล้วเงื้อมือตบหน้านางฉาดหนึ่ง
สาวใช้น้อยเรี่ยวแรงดี ทั้งเคยฝึกยุทธ์กับเฉินกวง พี่สะใภ้อาจูโดนนางตบทีเดียวก็หน้ามืดตาลาย ยืนทรงตัวไม่อยู่แล้ว
ปิงลวี่กลับไม่รามือ ใช้ทั้งมือซ้ายมือขวาระดมทุบไปที่ข้างลำตัวอีกฝ่ายสุดแรงสิบกว่าทีพลางนึกในใจ ฉวยจังหวะก่อนพวกคุณหนูจะมา นางต้องเร่งมือหน่อย ขอระบายความแค้นที่สุมอกมาหลายวันนี้ให้ได้! น่าเสียดายคุณหนูไม่ให้นางตีที่ใบหน้า ทำให้นางแสดงฝีมือได้ไม่เต็มที่
“เรียกใครว่าพี่สาว ข้ายังเป็นเด็กสาวอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งนะ ข้าดูแก่ชราขนาดนั้นเลยหรือ”
พี่สะใภ้ของอาจูหลบไม่พ้น นางพูดขอความเมตตา “คุณหนู…คุณหนูปิงลวี่ รีบหยุดมือเถอะ…”
“เจ้ายังจะพูดส่งเดชอีก! ข้าเป็นสาวใช้ผู้หนึ่งเรียกว่าคุณหนูได้หรือ เกิดคุณหนูข้าได้ยินเข้า ข้ายังจะอยู่ที่นี่ได้หรือไม่ พวกไม่ประสงค์ดีอย่างเจ้าต้องตีให้ตาย!”
“ปิงลวี่ หยุดได้แล้ว” สุ้มเสียงเรียบเรื่อยดังมาจากหน้าประตู
ปิงลวี่หยุดมืออย่างเสียดาย
เฉียวเจาพาอาจูเดินเข้ามาแล้วมองพี่สะใภ้ของนางอย่างเฉยเมย
พี่สะใภ้ของอาจูนั่งกองอยู่กับพื้นถอนใจเฮือกอย่างโล่งอก คุณหนูสามมาได้สักที ขืนยังไม่มา นางต้องโดนแม่เด็กน้อยตัวดีผู้นี้ตีตายไปแล้ว!
“ว่ามา หาอะไรอยู่”
“เปล่าเจ้าค่ะ ไม่ได้หาอะไร ข้ามาหาอาจู แต่อาจูไม่อยู่ ข้าเห็นของประดับทำจากหยกตั้งอยู่บนโต๊ะ ก็…ก็เลยบังเกิดความโลภขึ้น…” พี่สะใภ้ของอาจู พร่ำขอความเมตตาไม่หยุด “คุณหนูสามปล่อยข้าไปเถอะนะ วันหลังข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
พอเห็นสีหน้าของเฉียวเจาไม่บ่งบอกความรู้สึกใด นางหันไปมองอาจู “น้องเล็ก เจ้าช่วยขอความเมตตาให้พี่สะใภ้ด้วยนะ เจ้าคงมองดูท่านแม่ พี่ใหญ่แล้วก็หลานชายอีกสองคนล้วนต้องอดตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้กระมัง”
“พอที!” เฉียวเจานั่งลงแล้วพยักหน้าบุ้ยใบ้กับปิงลวี่
นางหันหลังเข้าไปในห้อง ผ่านไปชั่วครู่ก็ถือหีบขนาดเล็กใบหนึ่งด้วยสองมือออกมา
“เปิดมันออก” เฉียวเจาบอกกับพี่สะใภ้ของอาจู
นางอิดๆ เอื้อนๆ
“รีบเปิดสิ!” ปิงลวี่ตะคอกเสียงห้วน
ได้ยินเสียงของปิงลวี่ พี่สะใภ้ของอาจูก็รู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ รีบยื่นมือเปิดหีบออก
แท่งเงินในนั้นเปล่งประกายวาววับเจิดจ้าแทบทำให้ตาบอด นางหันไปมองเฉียวเจาอย่างตะลึงพรึงเพริด