หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 69
เซ่าหมิงยวนยืนตระหง่านดุจต้นสน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวสักนิด
ชิ่งมามาร้องตะโกนอย่างตระหนกตกใจ คุณชายเฉียว! ไม่ได้นะเจ้าคะ…
ตอนที่กระบี่ยาวพุ่งไปถึงหน้าอกของเซ่าหมิงยวน เฉียวโม่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยพร้อมเลื่อนมือขึ้น
ปลายคมกระบี่จมหายเข้าไปในหัวไหล่ของเซ่าหมิงยวน พอเฉียวโม่ดึงกระบี่ออก โลหิตแดงฉานไหลทะลักออกมาอาบย้อมเสื้อคลุมสีขาวของเขาเป็นสีแดงทันที
ดวงตาสงบลุ่มลึกของเฉียวโม่ฉาบด้วยรอยขึ้งโกรธ น้ำเสียงเย็นเยียบ เหตุใดจึงไม่หลบ
เซ่าหมิงยวนไม่ปริปาก
หรือมั่นใจว่าข้าไม่มีทางสังหารเจ้า
เฉียวโม่กำกระบี่ยาวในมือแน่น ขณะที่เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบอยู่ จู่ๆ เขาก็โยนกระบี่เปื้อนเลือดทิ้งลงพื้น กล่าวด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว เซ่าหมิงยวน! ตอนเจ้ายิงธนูดอกนั้นออกไป คงมั่นใจสินะว่าจะได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นผู้เที่ยงตรงทรงคุณธรรมไม่เห็นแก่ส่วนตนจากคนทั้งหล้า แม้กระทั่งญาติพี่น้องของภรรยาเจ้าก็ต้องอภัยเจ้าอย่างไม่มีทางเลือกใช่หรือไม่
ถ้อยวาจาอันแหลมคมฉาดฉานของเฉียวโม่โถมเข้าใส่เซ่าหมิงยวน
ความเจ็บตรงหัวไหล่ทำให้ใบหน้าของเขาซีดเผือดลง แต่กลับไม่มีแสดงท่าทีใดออกมาให้เห็นแม้สักเศษเสี้ยว
เมื่อได้ยินคำกล่าวไล่เลียงเช่นนี้ เขาถึงปริปากตอบในที่สุด มิใช่
มิใช่อะไร
ข้าไม่ได้คิดว่าคนทั่วหล้าจะมองข้าอย่างไร และไม่ได้คิดว่าญาติพี่น้องของภรรยาจะยกโทษให้ข้าหรือไม่ เซ่าหมิงยวนหลุบตาลง เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงวังเวงใจ ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น
เขาไม่พูดแก้ต่างไปมากกว่านี้ เฉียวโม่มองเขา เขาก็มองตอบ ดวงตาสีดำสนิทสงบนิ่งไร้ที่สิ้นสุด
บุรุษทั้งสองประสานสายตากันนิ่งนาน
เฉียวโม่คลายความโกรธเกรี้ยวลง เจ้าไปเสีย
โลงศพของเฉียวซื่อจะตั้งไว้ในจวนสี่สิบเก้าวัน* พี่เฉียวโม่จะไปดูหน้านางเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ขอรับ
เฉียวโม่ส่ายหน้า ไม่จำเป็น เห็นทีว่าน้องเจาก็ไม่ปรารถนาให้ข้าเห็นนางในสภาพหลังจากไปแล้ว ข้าจะไปวันที่แห่ศพนางไปฝัง
พี่เฉียวโม่ ข้าขออำลา เซ่าหมิงยวนประสานมือคารวะแล้วหมุนกายเดินออกไป
เซ่าหมิงยวน เฉียวโม่ส่งเสียงเรียกจากข้างหลัง
เซ่าหมิงยวนหยุดฝีเท้าแล้วหมุนกายไปถามอย่างสุภาพอ่อนน้อม พี่เฉียวโม่ยังมีเรื่องใดอีกหรือขอรับ
เฉียวโม่ทอดสายตามองไปที่หัวไหล่เปื้อนเลือดของเขา ทำแผลสักหน่อยเถอะ
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าอย่างคล้อยตามทันที ได้ขอรับ
บาดแผลเล็กเท่านี้เขามิใส่ใจ แต่ช่วงนี้ตนกำลังเป็นเป้าสายตาของใครๆ หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าถูกพี่ชายภรรยาแทงบาดเจ็บ เกรงจะนำความเดือดร้อนมาให้อีกฝ่าย
เซ่าหมิงยวนเดินตามเฉียวโม่เข้าสู่โถงเรือน
ชิ่งมามาหวาดหวั่นสุดใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก จึงตะลีตะลานไปรายงานให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียทราบเรื่อง
เฉียวโม่เสียโฉมจนใบหน้าอัปลักษณ์น่ากลัว ในเรือนทิงเฟิงจึงมีเด็กรับใช้อยู่แค่คนเดียว
เซ่าหมิงยวนไม่ต้องหลบเลี่ยงตามมารยาท เมื่อเด็กรับใช้จะเข้ามาช่วย เขาบอกปัดอย่างละมุนละม่อมแล้วฉีกชายเสื้อคลุมสีขาวมาพันบาดแผลด้วยมือข้างเดียว จากนั้นค่อยเปลี่ยนไปใส่เสื้อสีขาวสะอาดที่เด็กรับใช้นำมาให้ จากนั้นเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เฉียวโม่มองดูชายหนุ่มที่งามสง่าสูงส่งในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ถอนใจแผ่วๆ เฮือกหนึ่งแล้วไต่ถามเขา เซ่าหมิงยวน เจ้ารู้ชื่อก่อนออกเรือนของน้องสาวข้าหรือไม่
เซ่าหมิงยวนเม้มริมฝีปากบางเข้าหากัน
ตอนออกศึกอยู่ที่แดนเหนือเขาถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงด่วนเพื่อแต่งงานกับสตรีสกุลเฉียว ในวันพิธีมงคลก็ต้องรีบเร่งเดินทางกลับขึ้นเหนืออีกเพราะพวกต๋าจื่อบุกรุกเข้ามาถึงอาณาเขตต้าเหลียงอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วเขาจะรู้ชื่อก่อนออกเรือนของเฉียวซื่อได้อย่างไร
เขาก็เคยเขียนสารกลับมาที่เรือนแล้วเอ่ยถามอย่างอ้อมๆ แต่สารที่ส่งไปฉบับแล้วฉบับเล่าเหมือนก้อนหินจมลงทะเล เฉียวซื่อไม่เคยเขียนสารตอบกลับแม้แต่ครึ่งคำ
เจ้าจงจำเอาไว้ นางมีชื่อคำเดียวว่า ‘เจา’ แปลว่าแจ่มแจ้ง ดังในคำกล่าวว่า นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง
เฉียวเจา…
เซ่าหมิงยวนพูดทวนชื่อนี้ในใจแล้วผงกศีรษะกับเฉียวโม่ ข้าจำได้แล้วขอรับ
จำได้ก็ดี เขายิ้มจางๆ ด้วยจิตใจที่โศกเศร้าเสียใจเหลือจะกล่าว
เฉียวโม่ยอมรับว่าเซ่าหมิงยวนเป็นบุรุษที่ดีเลิศผู้หนึ่ง หากมิใช่สวรรค์กลั่นแกล้งคน เขากับน้องเจาจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่สุดท้ายวันหน้าบุรุษผู้นี้ก็ต้องตบแต่งภรรยาคนใหม่ อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสตรีอื่นจนแก่เฒ่าผมหงอกขาว
เมื่อเฉียวโม่คิดไปเช่นนี้ จะอย่างไรก็น่าคับแค้นใจอยู่ดี
เฉียวโม่หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมองเซ่าหมิงยวนด้วยสายตาแน่วนิ่ง เซ่าหมิงยวน น้องสาวข้าเป็นสตรีที่ดี เจ้าจะลืมนางไม่ได้
เซ่าหมิงยวนรู้สึกเจ็บแปลบในอกราวกับถูกค้อนเล็กๆ ทุบคราหนึ่งกะทันหัน เขาพูดอย่างจริงจังหนักแน่น ไม่กล้าลืมเลือนชั่วชีวิต
เขาย่อมต้องรู้ว่านางเป็นสตรีที่ดี
วันนั้นนางอยู่บนกำแพงเมือง ทั้งที่ตกอยู่กลางวงสุนัขป่าและเสือร้าย กลับปราศจากท่าทีลนลานอย่างหวาดกลัวเสียขวัญจนน่าเวทนา เป็นดั่งทหารที่กล้าหาญที่สุดใต้อาณัติเขา
เขาลงมือคร่าชีวิตสตรีที่ดีเยี่ยงนี้ คร่าชีวิตภรรยาของตนเอง และคร่าโอกาสที่ตนอาจจะได้มีชีวิตที่อบอุ่นสมถะไปแล้ว
เซ่าหมิงยวนรู้สึกขมปร่าในลำคออย่างรุนแรง สุ้มเสียงเขาแหบต่ำมากขึ้น ชีวิตนี้ข้าจะมีเฉียวเจาเป็นภรรยาผู้เดียว พี่เฉียวโม่โปรดวางใจได้
เขาประสานมือคารวะอีกคำรบหนึ่งแล้วหมุนกายก้าวปราดๆ จากไป
เฉียวโม่อ้าปากออก เขาไม่ได้หมายความเช่นนี้เลย
เซ่าหมิงยวนคิดจะบอกอะไร
ชีวิตนี้จะมีเฉียวเจาเป็นภรรยาผู้เดียวหมายถึงอะไร หรือว่าเขายินยอมครองตัวเพื่อน้องเจา ไม่ตบแต่งภรรยาใหม่ตลอดไป
เฉียวโม่เพียงรู้สึกว่าการคาดเดานี้แปลกพิสดารเกินไป ทว่าท่าทางและวาจาของคนที่กลับไปนั้นทำให้เขาเชื่อถืออยู่หลายส่วน
เฉียวโม่ยืนอยู่บนบันได ปล่อยให้ลมอ่อนโชยพัดดวงหน้าที่เสียโฉมไปแล้ว เป็นนานถึงพูดพึมพำกับตนเอง จะทำเช่นนี้ไปไยเล่า
เขาหมุนกายตั้งท่าจะเข้าเรือน มีเสียงดรุณีน้อยดังขึ้นเบื้องหลัง พี่ใหญ่…
เฉียวโม่หลุดจากภวังค์ แลมองเด็กหญิงที่วิ่งเข้ามาหาพร้อมเผยรอยยิ้มอ่อนโยน หว่านวาน ไฉนมาในเวลานี้
เด็กหญิงวัยราวแปดเก้าขวบ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักยังไม่สลัดคราบวัยเยาว์ นางคือเฉียวหว่านน้องสาวคนเล็กของเฉียวโม่นั่นเอง
พี่ใหญ่ ข้าได้ยินว่าเซ่าหมิงยวนมาหาท่าน ใช่หรือไม่เจ้าคะ
เจ้าสมควรเรียกเขาว่าพี่เขย
พี่เขยอะไรกัน เขาไม่ใช่พี่เขยของข้าเสียหน่อย เขาอยู่ที่ใดเจ้าคะ เฉียวหว่านเหลียวซ้ายแลขวา
เพิ่งกลับไป
ข้าจะไปหาเขา เฉียวหว่านกล่าวทิ้งท้ายคำหนึ่ง ยกชายกระโปรงวิ่งทะยานออกไปอย่างฉับไวด้วยกลัวพี่ชายจะขัดขวาง
เฉียวโม่ก้าวขาจะไล่ตามไป แต่นึกถึงท่าทางสะพรึงกลัวแทบตายของบ่าวไพร่ในจวนเสนาบดียามเห็นหน้าตนเองแล้ว จึงเดินกลับเข้าเรือนไปหยิบหมวกคลุมศีรษะ
เฉียวหว่านวิ่งอย่างเร็วรี่ พอมองเห็นเงาร่างบุรุษสูงชะลูดแปลกหน้าผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ นางร้องตะโกนขึ้นทันใด หยุดนะ!
เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้าหันหลังมา
เด็กหญิงที่วิ่งมาหาตัวสูงเท่าเอวชายหนุ่มพอดี นางแหงนคอขึ้นเอ่ยถาม ท่านคือเซ่าหมิงยวน?
เขาโน้มกายลงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เป็นข้าเอง
คนเลว! ท่านสังหารพี่สาวข้า ข้าจะล้างแค้นแทนนาง เฉียวหว่านเบิกตากว้าง เหวี่ยงกำปั้นใส่คนตัวโตเบื้องหน้า
บังเอิญว่ากำปั้นนี้ต่อยโดนหัวไหล่ที่มีบาดแผลของเซ่าหมิงยวนพอดิบพอดี เลือดสีแดงฉานไหลซึมอาภรณ์ทันใด
รอยเลือดบนเสื้อสีขาวเดิมก็สะดุดตาอยู่แล้ว มันแผ่กระจายเป็นวงในพริบตาคล้ายดอกไม้สีโลหิตดวงหนึ่ง
เฉียวหว่านลดกำปั้นลงอย่างงุนงง กำปั้นของนางต่อยท่านแม่ทัพใหญ่ผู้มิเคยพ่ายศึกตามคำเล่าขานจนเลือดไหลแล้วหรือ
เฉียวหว่านก้มหน้าลงมองมือตนเอง
หลังมือมีคราบเลือดสีแดงสดติดอยู่เล็กน้อย ดรุณีน้อยหน้ามืดตาลายวูบหนึ่ง ตัวโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ เพราะนางกลัวเลือด
เฉียวหว่านวิงเวียนเป็นลมล้มลงกับพื้น แต่มีฝ่ามือใหญ่ทรงพลังคู่หนึ่งรับตัวไว้ได้ก่อน
เซ่าหมิงยวนเงยหน้าขึ้นสั่งสาวใช้ที่ยืนทื่ออยู่ริมทางเดิน แบกคุณหนูเฉียวขึ้นหลัง
สาวใช้นางนั้นเป็นคนที่เหมาซื่อส่งมาสืบข่าว จึงล่วงรู้ศักดิ์ฐานะของบุรุษตรงหน้า นางย่อมไม่กล้าไม่ทำตาม รีบแบกเฉียวหว่านขึ้นหลังทันที
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น บุ้ยใบ้บอกให้นางเดินตามเขาไปก็เจอกับเฉียวโม่กลางทาง
พี่เฉียวโม่ น้องสาวท่านหมดสติไปด้วยเหตุใดก็ไม่รู้ขอรับ
เฉียวโม่แลเห็นรอยเลือดบนหัวไหล่อีกฝ่ายก็แจ่มแจ้งแก่ใจ
ท่านไม่ต้องเป็นห่วง นางแค่กลัวเลือด
เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไป หากรู้แต่แรกเขาจะได้หลบก็สิ้นเรื่อง
บาดแผลของท่านจะ…
ไม่ต้องวุ่นวายขอรับ เลือดออกนิดเดียว แค่บังๆ ไว้ก็ได้แล้ว เซ่าหมิงยวนหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดผืนหนึ่งวางที่หัวไหล่แล้วกล่าวลากับเฉียวโม่
เขาเดินไปทางห้องที่ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียใช้รับรองแขก ระหว่างทางกลับได้พบกับหญิงชราพร้อมด้วยชิ่งมามาที่กำลังรุดมาอย่างเร่งร้อน
* ตามความเชื่อของชาวจีน วิญญาณของผู้ตายจะวนเวียนอยู่ในโลก 49 วันแรกก่อนไปจากโลกมนุษย์ งานศพจึงเสมือนเป็นช่วงเวลาที่คนตายเตรียมตัวไปสู่โลกหน้า