หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 692
บทที่ 692
เซ่าหมิงยวนกระโดดออกไปนอกหน้าต่างแล้วกลืนหายไปในผืนรัตติกาลอย่างรวดเร็ว
เฉียวเจาเดินมายืนตรงข้างหน้าต่างแลมองด้านนอกอย่างเงียบงัน
แผ่นดินและอาณาประชาราษฎร์สำคัญกว่าความรักของชายหญิง ในฐานะภรรยาของทหารนักรบ นางเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว
นางเพียงหวังว่าบุรุษผู้นี้จะปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จราบรื่นอย่างปลอดภัย และกลับมาแต่งงานกับนางในเร็ววัน
เฉินกวงเห็นท่าทางนี้ของนางก็มิได้รบกวนอย่างรู้กาลเทศะ
ผ่านไปนานพักใหญ่ เฉียวเจาหมุนกายมาเงียบๆ และสาวเท้าไปตรงหน้าบุรุษที่หมดสติอยู่
“เฉินกวง ทำให้ฟื้นขึ้นเถอะ”
“ขอรับ”
ชั่วครู่ต่อมาบุรุษคนนั้นค่อยๆ ฟื้นสติขึ้น พอมองเห็นเฉินกวง สายตาพลันนิ่งขึงไป เขาตั้งท่าจะผุดลุกขึ้น กลับพบว่าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งสรรพางค์กาย
“ไม่ต้องเสียแรงเปล่า ตอนนี้เจ้าจะฆ่าตัวตายก็ยังทำไม่ได้ จงสารภาพมาแต่โดยดีว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเป็นผู้ใด ข้าจะให้เจ้าได้ตายสบายๆ ขึ้นอีกนิด!” เฉินกวงหมุนมีดสั้นเล่นในมือเล่นพลางยิ้มพราย
บุรุษผู้นั้นหลุบเปลือกตาลงไม่กล่าววาจา
“ไม่พูดหรือ” เฉินกวงย่อตัวลง เอามีดสั้นที่เปล่งประกายเย็นเยียบจ่อหน้าเขา
บุรุษผู้นั้นไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
“คุณหนูสาม ท่านหลบออกไปก่อนเถอะ ข้าจะสอบปากคำเขาให้ดีๆ!”
“เจ้าสอบปากคำได้เต็มที่เลย ถ้าทนดูไม่ไหว ข้าจะหลบออกไปเอง”
“ตกลงขอรับ” เฉินกวงควงมีดสั้นพลางจ้องมองคนผู้นั้นตาเขม็ง “ปากแข็งใช่หรือไม่”
เขาออกแรงตวัดมือทีเดียว มีดสั้นกรีดโดนมุมปากของคนผู้นั้นเป็นแผลหนึ่งทันที
โลหิตสีแดงฉานไหลออกจากมุมปากคนผู้นั้นสาดกระเซ็นไปทั่ว แต่เขาไม่เปล่งเสียงร้องสักแอะ
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก “เฉินกวง ประเดี๋ยวเจ้าอย่าลืมถูพื้นด้วยนะ”
นี่เป็นห้องส่วนตัวของนาง มิใช่ห้องลงทัณฑ์ กลับต้องมาเปรอะเปื้อนโลหิตในเวลาชั่วประเดี๋ยวเสียแล้วหรือนี่
เฉินกวงยิ้มอย่างกระดากใจ เขาหันไปบอกกับปิงลวี่ที่ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้องหนังสือ “ปิงลวี่ มีเกลือเม็ดหรือไม่”
“เกลือเม็ด? มีสิ!” ปิงลวี่วิ่งออกไปอย่างเร็วรี่ ไม่นานนักก็ถือชามไม้ใบหนึ่งด้วยสองมือเข้ามา “เอาไป”
เฉินกวงหยิบเกลือเม็ดกำหนึ่ง อีกมือหนึ่งจับหน้าคนผู้นั้นไว้นิ่งๆ พร้อมกับขยำเกลือให้เป็นผงแล้วสาดใส่บาดแผลของอีกฝ่าย
“โอ๊ยๆๆ…” บุรุษผู้นั้นแผดเสียงโหยหวนออกจากลำคอราวกับสัตว์ป่า เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นไม่หยุด
ปิงลวี่ยกมือปิดหน้าไม่กล้ามองต่อ
มาตรว่าเฉียวเจามิได้เบนสายตาออก แต่ภายในใจนางก็ไม่คุ้นชินกับภาพนี้เช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายเป็นปฏิปักษ์กันเพราะอยู่กันคนละฝ่าย ทว่ามองเห็นคนมีเลือดมีเนื้อโดนทารุณทรมาน สตรีธรรมดาๆ ผู้หนึ่งอย่างนางย่อมไม่มีทางรู้สึกสำราญบานใจไปได้
“เจ้า…เจ้าสังหารข้าให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเถอะ” บุรุษผู้นั้นกล่าวเสียงลอดไรฟัน
“สังหารเจ้า? มีเรื่องสบายๆ อย่างนี้ที่ไหนกัน” เฉินกวงเช็ดมีดสั้น แค่นยิ้มกล่าวว่า “ช่างเถอะ จะให้เลือดของเจ้าแปดเปื้อนที่อยู่ของคุณหนูสามไม่ได้”
เขาหิ้วตัวอีกฝ่ายขึ้นด้วยมือเดียว หันศีรษะไปถามปิงลวี่ “ในเรือนครัวเล็กมีหม้อใบใหญ่ๆ หรือไม่”
“ใหญ่แค่ไหน”
“ใส่คนผู้นี้ได้ก็พอ”
ปิงลวี่สั่นศีรษะ “ในเรือนของคุณหนูมีเตาไฟเล็กๆ เตาเดียวใช้ต้มน้ำกับนึ่งขนมเท่านั้น จะมีหม้อใบใหญ่ขนาดนี้ที่ไหนกันล่ะ”
เฉินกวงทำหน้าเสียดาย “ดูทีว่าคงต้องไปเรือนครัวใหญ่แล้ว”
ปิงลวี่ปรายตามองเจ้าคนดวงตกที่เฉินกวงหิ้วไว้ในมือ นางยกมือปิดปากด้วยความตกใจ “เฉินกวง เจ้าจะต้มเขาหรือ นี่จะได้อย่างไร วันหลังพวกข้าจะกินข้าวเช่นไรเล่า”
เฉินกวงลูบๆ จมูก เพราะอะไรเด็กสาวผู้นี้ถึงให้ความสนใจในจุดแปลกๆ เฉกนี้ ตอนนี้เขากำลังจะต้มคนเป็นๆ ผู้หนึ่ง นี่เป็นเวลามาสนใจปัญหาเรื่องกินข้าวหรือ
“เปลี่ยนหม้อใหม่ได้” เฉินกวงเอ่ยอย่างอ่อนใจ
“ถูกของเจ้า” ปิงลวี่ลูบอกอย่างหวาดผวาแล้วคิดตามทันกะทันหัน “เฉินกวง เจ้าจะต้มเนื้อคนหรือ แหวะ…เจ้าน่าขยะแขยงยิ่งนัก”
ในเวลานี้เองเสียงพูดเยือกเย็นของเฉียวเจาดังลอยมา “หม้อในห้องครัวก็ใส่คนตัวโตอย่างนี้ไม่ลงหรอก”
เฉินกวงชะงักไปนิดหนึ่งแล้วหัวเราะ “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าสับแขนขาของเขาออกก่อนได้ จากนั้นโยนศีรษะกับลำตัวลงไปก็หมดเรื่อง ค่อยๆ ต้มด้วยไฟอ่อนๆ เอาเป็นว่าให้เขาตายทันทีทันใดไม่ได้ก็แล้วกัน”
“เฉินกวง…” ปิงลวี่อาเจียนลมเสร็จแล้วชี้ไปที่บุรุษผู้นั้น “ไฉนเขาไม่ขยับตัวแล้วล่ะ”
เฉินกวงก้มหน้ามองแล้วผลักเขาทีหนึ่ง “แกล้งตายรึ”
บุรุษผู้นั้นคอห้อยพับลงไม่ส่งเสียงใดๆ
เฉินกวงยื่นมือไปอังใต้จมูกเขาแล้วเบิ่งตาด้วยความประหลาดใจ “ไม่กระมัง ข้าพูดขู่แค่สองคำ เขาก็ตายแล้วหรือ เจ้านักรบพลีชีพผู้นี้ไม่เอาไหนเกินไปแล้ว หรือว่าได้มาเปล่าๆ ตอนซื้อยาพิษ”
เฉียวเจาเดินเข้ามา “วางเขาลงบนพื้นก่อน”
เฉินกวงรีบวางตัวบุรุษผู้นั้นนอนราบกับพื้น เขายิ่งมองยิ่งมีน้ำโห เอ่ยเสียงฮึดฮัดว่า “มีนักรบพลีชีพเหยาะแหยะพรรค์นี้ที่ไหนกัน นี่มิใช่นักต้มตุ๋นละหรือ”
เฉียวเจายื่นมือไปแหวกเปลือกตาของเขาออกดู ยังล้วงเข็มเงินออกมาฝังที่จุดเหรินจงถึงเอ่ยเสียงเรียบ “คนยังไม่ตาย แค่หมดสติไป”
“ที่แท้ตกใจจนเป็นลม” เฉินกวงระบายลมหายใจเฮือก
นักรบพลีชีพคราวก่อนฆ่าตัวตายไป หากนักรบพลีชีพคราวนี้ตกใจตายไปอีก เขาก็เสียแรงเปล่าแล้ว
เฉียวเจาเพ่งมองบุรุษผู้นั้นชั่วครู่แล้วเอ่ยปากขึ้น “เอาอย่างนี้เถอะ ปิงลวี่อยู่ในนี้ ส่วนเฉินกวงออกไปก่อน ข้าจะลองวิธีอื่นดู”
เฉินกวงปฏิเสธทันที “คุณหนูสาม นี่จะได้อย่างไรกัน ถ้าเกิดเขาทำร้ายท่านจะทำประการใด”
“ขณะนี้เขาไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ แล้วจะทำร้ายข้าได้อย่างไร อีกอย่างยังมีปิงลวี่คอยช่วยอยู่นะ”
พอเห็นเฉินกวงยังลังเลใจ เฉียวเจาเอ่ยถามขึ้นว่า “ใช้วิธีการพวกนั้นของเจ้าแล้วเกิดทำให้เขาตกใจตายไปจริงๆ จะทำฉันใด”
เฉินกวงนิ่งอึ้งตอบคำถามนี้ไม่ออก “ก็ได้ขอรับ ข้าจะเฝ้าอยู่ข้างนอก พอเกิดเรื่องขึ้นท่านเรียกข้าได้ทันที”
ดึกสงัด แสงเทียนในห้องหนังสือมอดดับแล้ว เหลือเพียงแสงเดือนสาดเข้ามาทางหน้าต่างเฉียงๆ อาบไล้ทั่วพื้นห้องละม้ายฉาบด้วยน้ำค้างแข็งสีเงินให้ความสว่างเรื่อๆ ภายในห้องที่มืดมิด
เสียงน้ำหยดดังมาจากแห่งหนใดก็สุดรู้
บุรุษผู้นั้นลืมตาขึ้นช้าๆ
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงพูดของสตรีดังขึ้น น้ำเสียงที่นุ่มเบาราวกับแฝงความเย็นเยือกไว้จางๆ ท่ามกลางแสงจันทร์
เขาเหลียวมองรอบตัวทว่าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น มีแค่เสียงหยดน้ำที่ดังชัดเจนขึ้นทุกที
“เสียงอะไร” เขาเอ่ยไต่ถาม “นี่ข้าอยู่ที่ไหน”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
“ข้า…” เขาค่อยๆ นึกขึ้นได้แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจ “นี่ข้าตายแล้วหรือ”
ในห้องเงียบเชียบ ไม่มีใครตอบคำถามของเขา
“ข้า…ข้าตายแล้วจริงๆ หรือ” เขายกมือลูบหน้า มีคราบเลือดบนมือปื้นหนึ่ง “ใช่แล้ว นี่ข้าตายแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่รู้สึกเจ็บได้อย่างไรเล่า”
เฉียวเจาซึ่งซ่อนกายอยู่ในความมืดยกมุมปากโค้งขึ้น นางใช้เข็มเงินผนึกความรู้สึกเจ็บปวดทั่วร่างเขาไว้ชั่วคราว เขาย่อมไม่รู้สึกเจ็บแน่นอน
“ด้านนอกฝนตกแล้วหรือ”
เสียงพูดของสตรีดังขึ้นอีกคำรบหนึ่ง “ปรภพจะมีฝนตกได้เช่นไร นั่นเป็นเสียงเลือดของเจ้าไหลหยด เพราะว่าเจ้าตายแล้ว ดังนั้นถึงได้ยินอย่างชัดเจนแบบนี้”
“ที่นี่ก็คือปรภพหรือ”
“ใช่แล้ว เจ้าสามารถเดินไปรอบๆ จะได้ดูว่าปรภพเป็นอย่างไร ถูกต้อง อย่างนี้แหละ เดินไปข้างหน้าช้าๆ จากนั้นเจ้าพบกับคนผู้หนึ่ง…”
“ข้าพบกับคนผู้หนึ่ง?”
“เจ้ามองดูดีๆ เจ้าน่าจะรู้จัก เขาคือคนที่ไปที่ร้านบะหมี่สกุลจางก่อนหน้าเจ้า”
“ข้าจำได้แล้ว เขาคือเสี่ยวลิ่ว!”
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าคือใคร”
“ข้า? ข้าคือเสี่ยวจิ่ว”
“เสี่ยวจิ่ว เจ้ากับเสี่ยวลิ่วมาจากที่ใด”
“พวกข้า…” ดวงตาของบุรุษผู้นั้นฉายความรู้สึกขัดแย้งในใจอย่างชัดเจน
“หลิ่งหนานใช่หรือไม่”
“ใช่ พวกข้ามาจากหลิ่งหนาน”
“พวกเจ้าทำงานให้พรรคพวกของซู่อ๋องหรือ”
“ใช่…”
“เช่นนั้น ตอนนี้เจ้านายคนที่พวกเจ้าทำงานรับใช้อยู่คือใคร”
“เจ้านายคือ…”
“บอกชื่อของเขาให้ข้ารู้”