หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 693
บทที่ 693
เปลือกตาของบุรุษผู้นั้นสั่นระริก
“บอกชื่อของเขาให้ข้ารู้” สุ้มเสียงของเฉียวเจาสงบนิ่งทั้งที่ใจเต้นระทึก
ในจังหวะสำคัญเฉกนี้ มันสุดปัญญาที่นางจะไม่ตื่นเต้นได้ คนผู้นี้จะบอกคำตอบอย่างไหนให้นางรู้นะ
คิ้วของบุรุษผู้นั้นกระตุกริกๆ ดวงหน้าเริ่มเหยเก เขากระอักโลหิตพรวดออกมาคำหนึ่ง
เลือดสีแดงฉานพุ่งกระเด็นไปบนพื้นพร้อมกับบางอย่างที่ขาดครึ่งท่อน
เฉียวเจาอยู่ในที่มืดตลอดเวลา สายตาจึงคุ้นเคยกับแสงสว่างอย่างนี้แต่แรก นางเห็นชัดถนัดตาว่านั่นคือลิ้นครึ่งท่อนอาบเลือด
“อึกๆๆ…” โลหิตไหลทะลักจากปากของบุรุษผู้นั้น ใบหน้าเขากลายเป็นสีแดงอมม่วงในเวลาสั้นๆ
เฉินกวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวไม่ปกติจากข้างในก็ถลันเข้ามาทันทีทันใด
ปิงลวี่ซึ่งถือเชิงเทียนไว้วิ่งตามเขาเข้ามาใกล้ๆ พอเห็นเหตุการณ์ในห้องชัดเจนจะแจ้งแล้วอดตกใจยกใหญ่ไม่ได้
“คุณหนู นี่เขาเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
เฉียวเจาเม้มปากแน่นไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
เฉินกวงกวาดสายตาไปบนพื้น กล่าวเสียงกระด้างว่า “เขากัดลิ้นตนเองแล้ว”
เขาพูดพลางเดินไปหาบุรุษที่ล้มกองกับพื้นอย่างเจ็บปวด เปล่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอชวนให้อึดอัดใจ
“เจ้าคนผู้นี้เบาปัญญาใช่หรือไม่ วิธีตายอย่างนี้ทรมานปานใดกันนะ” เฉินกวงถอนใจเฮือกหนึ่ง
“คุณหนู เขาหมดทางรอดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปิงลวี่ไม่ค่อยกล้ามองดูสภาพน่าสังเวชของบุรุษผู้นั้น
“ห้ามเลือดได้ทันการณ์บางทีอาจมีชีวิตรอดได้ แต่เขาปรารถนาที่จะตาย ถึงช่วยชีวิตไว้ก็ไม่มีความหมายมากเท่าไรนัก” เฉียวเจารู้ว่าคนที่กัดลิ้นฆ่าตัวตายโดยมากมักสิ้นชีพเพราะหายใจไม่ออก มาตรว่าวิธีตายแบบนี้จะไม่สบาย แต่เทียบกับหลังโดนลงทัณฑ์ทรมานแล้วต้องตายอย่างอนาถอีกทีนั้นก็ดีกว่ามากมายนัก
ทุกคนต่างภักดีต่อผู้เป็นนายของตน เดิมทีนักรบพลีชีพที่ถูกชุบเลี้ยงไว้ก็คือคนที่น่าสงสาร แล้วนางจะฝืนยื้อชีวิตเขาไว้ให้ทนทุกข์ทรมานอีกไปไยเล่า
ผ่านไปไม่นาน บุรุษผู้นั้นฟุบหมอบกับพื้นไม่ไหวติง โลหิตสีแดงค่อยๆ ไหลกระจายออกไปทั้งสี่ด้าน
เฉินกวงถอนใจเฮือก “คุณหนูสาม ตายไปอีกคนแล้ว หรือไม่ข้าส่งคนไปเฝ้าที่เรือนของพี่สะใภ้อาจูอีกเถอะขอรับ”
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว สำหรับคนพวกนั้น ครอบครัวของพี่สะใภ้อาจูหาได้มีความสลักสำคัญอันใดไม่ จะส่งใครไปฆ่าปิดปากก็ได้ แต่หากเกิดเรื่องขึ้นกับคนที่ส่งไป พวกเขาไม่มีทางทำอะไรเกินความจำเป็นอีก”
“ถ้าอย่างนั้นเบาะแสนี้ก็ขาดตอนแล้วหรือขอรับ” เฉินกวงรู้สึกไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง
เฉียวเจาเพ่งตามองบุรุษบนพื้นที่แน่นิ่งไปแล้วด้วยสีหน้าบูดบึ้งอยู่สักหน่อย ถึงถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “เฉินกวง เจ้าเอาตัวคนผู้นี้ออกไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ”
“อาจู ปิงลวี่ พวกเจ้าปัดกวาดเช็ดถูห้องหนังสือให้เรียบร้อย อย่าลืมชะล้างคราบเลือดให้สะอาดนะ”
“เจ้าค่ะ”
เฉียวเจาออกจากห้องหนังสืออย่างเงียบขรึม นางล้างมือแล้วกลับไปถึงเรือนพำนักนั่งอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย
วิชาสะกดจิตล้มเหลวหรือนี่…
นับแต่ได้ศึกษาศาสตร์วิชาลึกลับแขนงนี้กับท่านปู่หลี่ นางรู้ถึงความยากของมัน แต่จากการใช้วิชานี้มาติดๆ กันหลายครั้งล้วนประสบความสำเร็จ นางเลยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดจะล้มเหลวแล้ว
ทว่าเมื่อตรองดูดีๆ หนนี้จะล้มเหลวก็ไม่น่าแปลก การสะกดจิตจะสำเร็จหรือไม่ มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังใจของผู้ถูกสะกดจิตอย่างใกล้ชิด พลังใจของนักรบพลีชีพผู้หนึ่งกับหญิงชาวบ้านธรรมดาๆ จะเอามาเทียบกันไม่ได้แน่นอน
เฉียวเจาหยิบหมอนมากอดแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
ช่างเถอะ ฟ้าถล่มลงมายังมีคนตัวโตสูงใหญ่ค้ำยันไว้ นางเตี้ยขนาดนี้มิสู้เข้านอนโดยไวเถอะ ยิ่งกำลังอยู่ในช่วงร่างกายยืดสูงพอดี
ตลอดราตรีไร้วาจา
หมู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลัดกลุ้มใจอยู่บ้าง
หลังนางปฏิเสธเทียบเชิญหลานสาวคนที่สามไปเป็นแขกเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว เพิ่งเงียบหายไปได้ไม่กี่วันก็มีสองสามตระกูลทนไม่ไหว ยกข้ออ้างขอเยี่ยมคารวะนางมาเยือนที่จวนเสียเลย
ยามนี้นางกำลังรับรองหวังฮูหยินภรรยาของเสนาบดีศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นคนที่หญิงชราไม่ชอบหน้าอยู่มาก
เสนาบดีศาลยุติธรรมกับหลีกวงเยี่ยนนายท่านผู้เฒ่าของจวนตะวันออกไม่ค่อยลงรอยกัน แล้วการเขม่นกันของพวกบุรุษในราชสำนักที่แผ่ลามมาถึงเรือนหลังนี้ทำให้หวังฮูหยินผู้นี้วางปึ่งกับจวนสกุลหลีมาแต่ไหนแต่ไร ใครจะคิดว่ากลับมีวันหนึ่งที่นางมาเป็นแขกที่จวนพร้อมรอยยิ้มระบายเต็มหน้า
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจแต่ยังลอบสาแก่ใจอยู่จางๆ อย่างไร้เหตุผล
อืม…ต้องบอกว่าเพราะหลานเจาเป็นเด็กรักดี พอได้เห็นคนที่ไม่เกรงใจให้เกียรติสกุลหลีมานานหลายปีต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มในตอนนี้แล้วชวนให้เบิกบานสำราญใจดีแท้
“ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสามของจวนท่านยังปักเสื้อคลุมเจ้าสาวอยู่ในห้องกระมัง พวกเด็กสาวอายุน้อยเท่านี้จะเอาแต่เก็บตัวในเรือนไม่ได้ ควรออกนอกเรือนไปไหนมาไหนบ่อยๆ จะดีกว่านะเจ้าคะ ตอนนี้ไม่เหมือนกับสมัยพวกเรายังเยาว์วัย ปกติจะออกไปเดินตลาดสักครั้งก็ยังโดนคุมแจ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคลี่ยิ้มดื่มน้ำคำหนึ่ง “หลานเจาของพวกข้าเป็นเด็กอ่อนหวานเรียบร้อยไม่ชอบออกไปข้างนอก ท่านย่าอย่างข้าจะบังคับนางก็ไม่ได้กระมัง”
หวังซื่อลอบกลอกตาขึ้น อ่อนหวานเรียบร้อย? ไม่ชอบออกไปข้างนอก? นับถือยายเฒ่าผู้นี้จริงๆ ที่พูดคำเท็จพรรค์นี้ออกจากปากได้ ทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่า ในบรรดาสตรีสูงศักดิ์เกลื่อนเมือง คนที่มีเรื่องมากที่สุดต้องยกให้คุณหนูสามสกุลหลี หนึ่งปีมานี้แทบมิได้หยุดหย่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแย้มยิ้มอย่างไว้ท่า หึ ไม่ชอบฟังแล้วมีอันใด ในเมื่อมีเรื่องขอร้องผู้อื่นถึงไม่ชอบใจก็ต้องทนไว้ ใครให้เรือนเจ้าไม่มีหลานสาวเก่งกาจอย่างนี้เองเล่า!
พอเห็นหญิงชรายังทำไขสือ หวังซื่อจึงพูดเปิดอกเสียเลย “ฮูหยินผู้เฒ่า ขอบอกตามตรงโดยไม่ปิดบัง ข้ามาในคราวนี้ก็เพื่อขอให้คุณหนูสามของจวนท่านช่วยตรวจให้ลูกสะใภ้คนเล็กของข้าสักหน่อย นางแต่งเข้าเรือนมาหลายปีแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์เรื่อยมา วันๆ กินน้ำตาต่างข้าวเห็นแล้วชวนให้หดหู่ใจจริงๆ วันนี้ข้าต้องขอทำหน้าหนาอ้อนวอนท่านแล้ว โปรดให้คุณหนูสามช่วยข้าสักครั้งเถอะนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอึ้งงันไปชั่วขณะ คาดไม่ถึงว่าหวังซื่อจะยอมลดศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้
หวังซื่อถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่หางตา “เมื่อก่อนพวกเราสองตระกูลอาจไปมาหาสู่กันน้อยไปบ้าง นี่ล้วนเป็นความผิดของข้าที่ไม่สมควรเอาเรื่องวุ่นวายของพวกบุรุษมาถึงเรือนหลัง แต่ถึงกระนั้นก็ตามที ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นทั้งมารดาและท่านย่า น่าจะกระจ่างแจ้งดีว่าสตรีไร้บุตรเป็นเรื่องน่าเศร้าปานใด ขอให้ท่านเห็นแก่ที่พวกเราเป็นมารดาคนเฉกเดียวกันช่วยเหลือกันด้วยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถ้อยคำนี้ของหวังซื่อทำให้ใจนางเริ่มโอนเอนแล้ว ทว่านางไม่อาจตัดสินใจรับปากเรื่องนี้แทนหลานเจาได้
ทอดสายตาไปทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่ต้องเอ่ยถึงแค่ตระกูลใหญ่ๆ มีเหย้าเรือนไหนบ้างที่ไม่มีลูกสะใภ้ที่มีบุตรยากสักคนสองคนแบบเดียวกันนี้ ถ้ารับปากเรื่องนี้แทนหลานเจาจริงๆ เช่นนั้นจะเป็นปัญหายุ่งยากครั้งใหญ่แล้ว
“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้ายอมคุกเข่าขอร้องท่านก็ยังได้” หวังซื่อผุดลุกขึ้นแสดงคารวะต่อหญิงชราอย่างเต็มพิธีการ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรีบเบี่ยงกายหลบ “หวังฮูหยิน อย่าทำแบบนี้เลย”
หวังซื่อหลับตาลง “หากท่านไม่ตอบตกลง ข้าก็จะไม่ลุกขึ้นเจ้าค่ะ”
ช่างเถอะ ในเมื่อพูดอย่างเปิดเผยแล้ว ศักดิ์ศรีก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรวันนี้นางต้องเชิญคุณหนูสามสกุลหลีกลับไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ขาดทุนย่อยยับ
หญิงชราเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้กลับบังเกิดความเอือมระอาแทน
จะคุกเข่าคำนับไปเรื่อยๆ ไม่ยอมลุกขึ้น? จะขู่ข้า? ช่างไม่รู้จักสืบข่าวดูเสียบ้างว่าคนอย่างนางเติ้งจินฮวาเคยกลัวใครข่มขู่ตั้งแต่เมื่อไร!
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกำลังจะอ้าปากพูด ชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน “ฮูหยินผู้เฒ่า ทางวังอ๋องส่งคนมาเจ้าค่ะ”
“วังอ๋อง?” แววตาของหญิงชราไหววูบหนึ่ง นางเอ่ยกับหวังซื่อยิ้มๆ “หวังฮูหยิน ข้าขอตัวสักครู่”
หวังซื่อลอบนึกในใจว่าตนโชคไม่ดี นางได้แต่ทำตาปริบๆ มองดูอีกฝ่ายออกจากโถงรับรองแขกสตรีไป
คนที่วังรุ่ยอ๋องส่งมาเป็นผู้ดูแลอาวุโสผู้หนึ่ง พอเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ลุกขึ้นคำนับทันที “ขอแสดงความยินดีกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยขอรับ”