หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 694
บทที่ 694
“ยินดีด้วยเรื่องใดหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ยินคำว่า ‘ขอแสดงความยินดี’ ก็เริ่มปวดศีรษะตุบๆ
พักนี้จวนสกุลหลีของพวกนางมีเรื่องมงคลมากเกินพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้คนของวังอ๋องมาเติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพรอีก
“ฮูหยินผู้เฒ่า หลีอี๋เหนียงของพวกข้ามีครรภ์แล้วขอรับ” ผู้ดูแลวังอ๋องกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หญิงชรานิ่งขึงไปนานครู่ใหญ่ถึงเพิ่งคิดตามทันทีหลังว่า ‘หลีอี๋เหนียง’ ที่ผู้ดูแลวังอ๋องเอ่ยถึงคือหลีเจี่ยวหลานสาวคนโตของตน
‘หลีอี๋เหนียง’ คำสามคำนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกคับใจ
เมื่อคิดถึงว่าจวนตะวันตกแห่งสกุลหลีของพวกนางดีชั่วก็มีบัณฑิตหลวงคู่หนึ่งในเรือน นางครองตัวเป็นม่ายเลี้ยงดูบุตรชายสองคนจนเติบใหญ่ได้รับตำแหน่งบัณฑิตจิ้นซื่อ อีกทั้งบุตรชายคนโตยังเป็นถึงทั่นฮวาบัณฑิตเอกชั้นหนึ่ง จะพูดอย่างไรก็เป็นครอบครัวซื่อสัตย์สุจริต ผลสุดท้ายกลับมีคุณหนูผู้หนึ่งเป็นอนุ!
จริงอยู่ว่าได้เป็นอนุในวังอ๋องคือเรื่องเชิดหน้าชูตาในสายตาของหลายๆ ตระกูล ดีไม่ดียังอาจจะเป็นถึงพระชายาก็ได้ แต่ว่าสกุลหลีของนางไม่ต้องการ!
“ฮูหยินผู้เฒ่า หลีอี๋เหนียงของพวกข้ามีครรภ์แล้ว” พอเห็นหญิงชราทำหน้าตาไม่ปกติ ผู้ดูแลวังอ๋องเน้นเสียงหนักพูดซ้ำอีกครา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเหลือบเปลือกตาขึ้น “ข้ามิได้หูหนวก”
ผู้ดูแลวังอ๋องทำหน้าเก้อกระดาก ท่านผู้เฒ่าคงชราภาพมาก หัวสมองคงไม่ใคร่ฉับไวแล้วกระมัง
“เช่นนั้นรบกวนท่านผู้ดูแลทูลแสดงความยินดีต่อท่านอ๋องแทนข้าด้วย” นางกล่าวเสียงราบเรียบ
รุ่ยอ๋องไม่มีบุตรชาย หลานเจี่ยวตั้งครรภ์ในเวลานี้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เพราะผู้ที่จะให้กำเนิดโอรสเชื้อพระวงศ์ได้อย่างราบรื่นนั้นต้องมีบุญวาสนาปานใดเล่า…
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ่งคิดสีหน้านางก็ยิ่งสงบนิ่ง
ผู้ดูแลวังอ๋องงงงันไป แค่นี้เองหรือ ปฏิกิริยาของท่านผู้เฒ่าไม่ปกติเสียแล้ว! อืม อาจจะเริ่มหลงๆ ลืมๆ แล้วเลยนึกไม่ออกในชั่วขณะว่าหลีอี๋เหนียงเป็นใครกระมัง
“ฮูหยินผู้เฒ่า หลีอี๋เหนียงเป็นหลานสาวคนโตของท่าน...”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองดูผู้ดูแลวังอ๋องด้วยสายตาคล้ายเห็นคนปัญญาอ่อน “แล้วอย่างไรเล่า”
ถ้าไม่ใช่หลานสาวคนโตของนาง หรือว่าเป็นท่านย่าของนางกัน ไฉนคนอย่างนี้ถึงได้เป็นผู้ดูแลวังอ๋องนะ
หญิงชรายิ่งไม่เห็นวี่แววว่าวังอ๋องจะก้าวหน้ารุ่งเรืองได้ในอนาคต
ผู้ดูแลวังอ๋องหมดแรงจะถือสาหาความแล้ว เขาฝืนยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า คืออย่างนี้ขอรับ หลังหลีอี๋เหนียงมีครรภ์แล้วคิดถึงญาติพี่น้องเป็นพิเศษ ทว่าครรภ์ของนางยังอ่อนอยู่ไม่เหมาะจะออกนอกวัง ท่านอ๋องทรงมีรับสั่งให้ข้ามาเชิญคุณหนูสามไปพูดคุยเป็นเพื่อนหลีอี๋เหนียงขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งย่นหัวคิ้วเข้าหากัน “เชิญคุณหนูสามไปพูดคุยเป็นเพื่อนหลีอี๋เหนียงที่วังอ๋องหรือ”
บุตรสาวคนโตออกเรือนแล้วชักชวนน้องสาวแท้ๆ ไปพำนักที่เรือนชั่วคราวมิใช่เรื่องแปลกอันใด แต่นางรู้ดีว่าระหว่างหลานสาวคนโตกับหลานสาวคนที่สามมีเรื่องหมางใจกันอยู่ อันว่าน้ำแข็งหนาสามฉื่อมิได้มาจากความหนาววันเดียว* ตั้งครรภ์มิใช่ความจำเสื่อมสักหน่อย หลานเจี่ยวจู่ๆ เกิดคิดถึงหลานเจาได้อย่างไรกัน
“ขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่าคงทราบว่าผู้ที่ตั้งครรภ์นั้นผิดจากคนทั่วไป ว่ากันว่ามักคิดฟุ้งซ่านได้ง่าย ท่านอ๋องของพวกข้ากลัวจะไม่เป็นผลดีต่อพระราชนัดดาในครรภ์ของอี๋เหนียง จึงทรงมีรับสั่งให้ข้ามาเชิญคุณหนูสามไปที่วังอ๋องโดยเฉพาะขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งใจกระตุกวูบหนึ่ง
ผู้ดูแลวังอ๋องผู้นี้ดูมีสีหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางสุภาพมีมารยาท แต่เอ่ยอ้างถึงท่านอ๋องไม่หยุด กระทั่งพระราชนัดดาก็เรียกออกจากปากแล้ว นี่คือจะใช้บารมีกดดันนางสินะ
หากเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับหลานเจี่ยว นี่คือเตรียมจะกล่าวโทษว่าหลานเจาไม่ได้ไปอยู่เป็นเพื่อนเป็นแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้ตามเฉียวเจามา นางยกมือขึ้นนวดๆ หว่างคิ้ว กล่าวทอดถอนใจว่า “ช่างผิดจังหวะจริงๆ ท่านผู้ดูแลคงรู้แล้วกระมัง วันที่กวนจวินโหวเดินทางไปออกรบ คุณหนูสามของจวนเรามิได้กล่าวคำอาลากับเขาด้วยซ้ำไป หลายวันมานี้เจ้าหลานคนนั้นเป็นห่วงความปลอดภัยของท่านโหวจนไม่ค่อยสบายอยู่ตลอด นางเป็นอย่างนี้คงไปวังอ๋องไม่ได้ เกิดแพร่อาการป่วยต่อให้หลีอี๋เหนียงละก็จะเป็นความผิดแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจำต้องออกโรงรับหน้าเรื่องนี้แทนหลานเจาเอง ต่อให้ล่วงเกินรุ่ยอ๋องก็เป็นนางที่ล่วงเกิน ยายเฒ่าวัยไม้ใกล้ฝั่งเจียนลงโลงเช่นนางยังต้องกลัวอะไรอีก
ผู้ดูแลวังอ๋องไม่คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะให้คำตอบนี้ ถึงฟังดูแล้วสมเหตุสมผลไร้ช่องโหว่ แต่นี่ออกจะบังเอิญเกินไป เห็นชัดว่าเป็นการปฏิเสธทางอ้อม
แต่เมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ดูแลวังอ๋องได้แต่กล่าวอำลากลับไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งระบายลมหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยสั่งชิงอวิ๋น “ไปเรียกคุณหนูสามมาที่นี่”
นางต้องพูดกำชับหลานเจาไว้ให้ดีๆ อย่างน้อยต้องแกล้งป่วยสักสองสามวัน จะส่อพิรุธไม่ได้
ผ่านไปราวสองเค่อ เฉียวเจามาถึงแล้ว “ข้าขอคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นสภาพของหลานสาวแล้วสะดุ้งตกใจ “หลานเจา นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
เฉียวเจาไม่ค่อยได้นอนมาตลอดคืน ตอนแรกได้พบกับเซ่าหมิงยวน ตอนหลังต้องสะกดจิตนักรบพลีชีพอีก ทั้งยังได้เห็นภาพนองเลือดขนาดนั้น อารมณ์ที่แปรปรวนขึ้นลงขนานใหญ่ทำให้นางอ่อนล้าไปทั้งกายทั้งใจมากกว่าปกติ ยามนี้ใต้ตานางดำคล้ำ ใบหน้าอิดโรย ดูท่าทางคล้ายป่วยอยู่จริงๆ
นางย่อมบอกกับท่านย่าไม่ได้ว่าตนอดนอนมาทั้งคืน จึงอ้างเหตุผลหนึ่งตามปากพาไป “สองวันนี้ไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ สงสัยว่าจะโดนความเย็นตอนกลางคืน”
“ในเมื่อป่วยอยู่ เหตุใดไม่บอกคนในเรือน”
“ท่านย่าวางใจได้ ข้าไม่เป็นอะไรมาก พักผ่อนเล็กน้อยก็หายแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยกมือลูบเรือนผมของหลานสาว “ช่างบังเอิญจริงๆ”
นางเล่าเรื่องที่ผู้ดูแลวังอ๋องมาที่จวนให้เฉียวเจาฟังแล้วเอ่ยกำชับ “ช่วงนี้เจ้าอย่าออกไปข้างนอกเลย อยู่ในเรือนอย่างสบายใจเถอะ เวลานี้ข้างนอกโจษจันกันไปทั่วว่าเจ้าเป็นเจ้าแม่กวนอินประทานบุตรกลับชาติมาเกิด มีคนจับจ้องอยู่ตั้งมากเท่าไรก็ไม่รู้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแค่นเสียงเยาะ “ท่านหมอชราของโรงหมอเต๋อจี้ผู้นั้นไม่สำรวมปากเสียเลย เอาเรื่องที่เจ้าตรวจชีพจรของอาสะใภ้รองได้ว่าตั้งครรภ์อยู่ไปโพนทะนาจนใครๆ รู้กันทั่ว ถึงได้ก่อปัญหาวุ่นวายมากมายอย่างนี้ แต่ก็ถือว่าพวกเขาได้รับผลกรรมแล้ว เพราะหลังจากหมอหลวงยืนยันว่าอาสะใภ้รองของเจ้ามีครรภ์ โรงหมอเต๋อจี้ก็เงียบเหงาซบเซา คนส่วนใหญ่ล้วนไปหาหมอที่โรงหมอจี้เซิงกันหมด”
“อาจมิใช่ความผิดของท่านหมอผู้นั้นก็ได้นะเจ้าคะ…” เฉียวเจาพึมพำเบาๆ
“หลานเจา เจ้าว่าอะไรนะ”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ท่านย่า ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
วังรุ่ยอ๋อง
รุ่ยอ๋องฟังคำรายงานของผู้ดูแลจบแล้วมุ่นคิ้วนิดหนึ่ง “เอาเถิด ในเมื่อคุณหนูสามไม่สบาย เช่นนั้นก็ช่างเถอะ”
ผู้ดูแลถอยออกไปอย่างรู้จังหวะ
“เจี่ยวเหนียง อีกสักพักรอให้คุณหนูสามหายดีแล้ว ข้าค่อยส่งคนไปเชิญนางมาอีกที”
หลีเจี่ยวผลิยิ้ม นางลูบหน้าท้องพลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องอย่าทรงวุ่นวายไปเลยเพคะ อีกสักพักค่อยไปเชิญอีกทีก็คงเชิญมาไม่ได้อยู่ดีเพคะ”
“นี่เจ้าหมายถึงอะไร”
หลีเจี่ยวหลุบตาลงไม่กล่าววาจา ขอบตาของนางแดงระเรื่อขึ้นทีละน้อย
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเสียใจ ระวังกระทบกระเทือนเด็กในครรภ์” รุ่ยอ๋องเห็นนางเป็นอย่างนี้ก็ร้อนใจอยู่บ้าง พาให้ไม่พึงใจต่อสกุลหลีมากขึ้น
วังอ๋องไม่มีเรื่องมงคลอย่างนี้มาเนิ่นนานแล้ว บุตรผู้นี้มิได้เป็นเพียงเครื่องพิสูจน์ว่าเขาจะเป็นบิดาคนได้หรือไม่เท่านั้น ยังเกี่ยวพันไปถึงว่าระหว่างเขากับน้องหก ใครต่างหากเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดในพระทัยของเสด็จพ่อ
องค์ชายที่ให้กำเนิดบุตรไม่ได้ผู้หนึ่งไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะแย่งชิงตำแหน่งนั้น
“เดี๋ยวข้าจะจ้างคณะอุปรากรชื่อดังที่สุดในเมืองหลวงเข้ามาในวัง ยามเจ้าเบื่อหน่ายจะได้ชมอุปรากร เช่นนี้ดีหรือไม่” สุ้มเสียงของรุ่ยอ๋องเต็มไปด้วยความเอ็นดูตามใจ
หลีเจี่ยวซบอกเขา นางกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านอ๋อง ข้าไม่อยากชมอุปรากรเพคะ ขอแค่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมหม่อมฉันกับลูกในท้องก็พอแล้วเพคะ”
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากนี้ข้าจะมาหาเจ้าทุกวัน”
หลีเจี่ยวเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
รุ่ยอ๋องตบหลังนางเบาๆ “เจ้าก็อย่ากลุ้มใจด้วยเรื่องสกุลเดิมอีกเลยนะ”
“ท่านอ๋องทรงนึกว่าหม่อมฉันเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยกับน้องสาวหรือเพคะ หม่อมฉันอยากเชิญน้องเจามาที่นี่ ก็เพราะ…เพราะนางตรวจว่าเด็กในครรภ์เป็นชายหรือหญิงได้เพคะ”