หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 698
บทที่ 698
หลีฮุยกล่าวจบแล้วมองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งด้วยสีหน้าห่วงใย
รูม่านตาของหญิงชราหดแคบลง ใบหน้าของนางเฉยชา ดูคล้ายได้ยินไม่ชัดว่าหลานชายพูดอะไร
หลีเยียนที่ประคองนางไว้พลันถอยกรูดๆ ไปชนกับโต๊ะตัวยาวที่ตั้งภาพตัวอักษรไว้จนบังเกิดเสียงดังสนั่น
เพลานี้เองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน แพขนตาของนางสั่นระริกขณะเอ่ยถาม “ฮุยเอ๋อร์ เจ้าว่าอะไรนะ”
หลีฮุยทนดูสีหน้าของท่านย่าไม่ได้อีกสืบไป เขาก้มหน้าลงกล่าว “ท่านย่า ท่านอารองจากไปแล้ว…”
“จากไปแล้ว? จากไปได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรักษาความเยือกเย็นไว้สุดกำลัง แต่เสียงของนางกลับสั่นเทาอยู่บ้าง
หลีเยียนปิดปากส่งเสียงร้องไห้ออกมา
ท่านพ่อของข้าตายแล้ว?
ท่านพ่อที่เคยจับมือข้าสอนเขียนหนังสือผู้นั้นตายแล้ว
ท่านพ่อที่ทำหน้าบึ้งดุสั่งสอนข้าเวลาที่ไม่ตั้งใจเล่าเรียนผู้นั้นตายแล้ว
คนที่ข้าเคยแอบเห็นเขาวาดคิ้วให้ท่านแม่โดยไม่ตั้งใจ และทำให้ข้าอธิษฐานอยู่ในใจขอให้ได้สามีอย่างท่านพ่อในวันข้างหน้าผู้นั้นตายแล้ว
ท่านพ่อ…ท่านพ่อที่ข้าคิดถึงคะนึงหามานานห้าปีแต่กลับพาอนุโฉมงามกลับมาผู้นั้นตายแล้ว
เสี้ยวขณะนี้ หัวใจของหลีเยียนเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมหม่นไหม้ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้ไว้
นางทั้งรักทั้งชังคนผู้นั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบิดาของนาง นับแต่นี้นางกับน้องสาวก็กลายเป็นเด็กกำพร้าแล้ว
“ฮุยเอ๋อร์ เจ้าพูดสิ บอกท่านย่ามาว่าท่านอารองของเจ้าจากไปได้อย่างไร”
หลีฮุยส่ายหน้า “ข้าก็ไม่แจ่มแจ้งขอรับ ข้าตามท่านพ่อไปที่ที่ว่าการถามหาท่านอารอง ยามเฝ้าประตูบอกว่าไม่เห็นว่าท่านอารองเลิกงานออกจากที่นั่น พวกข้าเลยเข้าไปหาด้วยกัน ผลปรากฏว่าพบท่านอารองฟุบอยู่กับโต๊ะแน่นิ่งไป เฉินกวงเดินเข้าไปดูถึงพบว่าตัวท่านอารองแข็งทื่อไปแล้ว…”
“แล้วตอนนี้ล่ะ ท่านพ่อของเจ้ากับเฉินกวงอยู่ไหน” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยถาม
นางจะล้มลงไม่ได้ สมัยวัยสาวตอนได้รับข่าวร้ายว่าสามีลาจากโลกนี้ไป นางยังไม่ล้มลง ยามนี้ยิ่งล้มลงไม่ได้!
“ท่านพ่อรอเหล่าใต้เท้าของกรมอาญากับที่ว่าการซุ่นเทียนมาตรวจสอบสาเหตุการตายของท่านอารอง ส่วนเฉินกวงไล่สืบหาเบาะแสของเด็กรับใช้สองคนที่ออกมาจากเรือนพร้อมกับท่านอารอง ข้าก็เลยรีบรุดกลับมาแจ้งข่าวขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังจบแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงเปล่งเสียงเรียก “หรงมามา”
“ฮูหยินผู้เฒ่า…”
“เจ้าพาคนไป…ไปเอาโลงศพไม้หนานมู่ที่ข้าซื้อมาเก็บไว้เมื่อสองปีก่อนออกมาเช็ดถูเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็จัดเตรียมสิ่งต่างๆ เช่นอาภรณ์กับผ้าห่มและซุ้มตั้งศพเถอะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่า…” ใบหน้าของหรงมามาฉายแววสงสาร มีน้ำตาไหลพรากๆ ไม่ขาดสาย
ความทุกข์ที่สุดใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดเกินไปกว่าเป็นม่ายในวัยหนุ่มสาว และผู้สูญเสียบุตรในวัยชรา ชะตาชีวิตของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งช่างอาภัพเหลือเกิน
“ไปเถอะ ข้ายังไม่ตายหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยกมือโบกไปมา เผยเค้าความชราภาพให้เห็นจนสิ้น
หรงมามาไม่กล้าพูดต่ออีก นางออกไปทำตามคำสั่ง
“ฮุยเอ๋อร์ ให้ผู้ดูแลไปที่ที่ว่าการเป็นเพื่อนเจ้า ถ้าหากมีข่าวอะไรรีบส่งข่าวกลับมาทันที โดยเฉพาะข่าวที่เกี่ยวกับน้องเจาของเจ้า”
“ทราบแล้วขอรับ ข้าขอตัวก่อน” หลีฮุยคุกเข่าลงโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทีหนึ่ง เขากล่าวเสียงเครือ “ท่านย่าโปรดถนอมสุขภาพด้วยขอรับ”
สำหรับท่านอารองผู้นั้น เขาหาได้มีความผูกพันต่ออีกฝ่ายสักเท่าไร แต่เขาเข้าใจถึงความเจ็บปวดโศกเศร้าในขณะนี้ของท่านย่าได้
อย่าว่าแต่ท่านย่า แม้แต่ท่านพ่อที่มักก่นด่าท่านอารองคำสองคำอยู่เป็นนิจก็ยังเสียใจมากอยู่ในตอนนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับน้องเจาอีกคน...
หลีฮุยไม่กล้าคิดต่อ เขาออกไปพร้อมกับผู้ดูแลอย่างเร่งร้อน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนั่งเหม่ออยู่ในโถงเรือน นางบอกให้คนอื่นๆ ออกไปจนหมดยกเว้นหลีเยียน
ภายในห้องเงียบเชียบมาก หลีเยียนไม่กล้าร้องไห้อีก นางเฝ้าอยู่ข้างกายท่านย่าอย่างสงบ
หลังนิ่งเงียบไปนานสองนาน หญิงชราส่งเสียงถอนหายใจยาวๆ ทำลายความเงียบลง “หลานเยียน ท่านย่าจำได้ว่าเจ้ากับพี่เจาของเจ้าอายุเท่ากันกระมัง”
“เจ้าค่ะ ข้ากับพี่เจาเกิดปีเดียวกัน”
“ล้วนวัยสิบสี่ในปีนี้แล้วสินะ ไม่เด็กแล้ว ตอนท่านย่าอายุเท่าพวกเจ้าก็แต่งงานกับท่านปู่แล้ว”
หลีเยียนหลุบเปลือกตาลง
“อายุสิบสี่ปี สมควรรู้ความได้แล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งใช้ฝ่ามือที่หยาบกร้านกุมมือของหลีเยียนไว้ นางถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ท่านพ่อของเจ้าน่ะ หลังกลับจากหลิ่งหนานคราวนี้ ข้าก็รู้ว่าช้าเร็วเขาต้องก่อเรื่องขึ้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะรนหาที่ตายเร็วขนาดนี้”
“ท่านย่า ท่านจะบอกว่าท่านพ่อข้าโดนคนฆ่าตายใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองไปนอกประตูไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
บุตรชายคนรองกลับมาหนนี้ผิดปกติไปอย่างเห็นได้ชัด ปิงเหนียงผู้นั้นทั้งสังหารคนทั้งวางพิษกู่ จะเป็นม้าผอมสามัญธรรมดาได้อย่างไรกัน นางเดาไม่ออกว่าเขาเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งอะไรกันแน่ แต่นางมั่นใจได้ว่าเป็นเคราะห์มิใช่โชค นางถึงขั้นเคยคิดว่าจวนสกุลหลีจะถูกบุตรชายคนรองเล่นงานจนบ้านแตกสาแหรกขาดหรือไม่ จริงๆ แล้วบุตรชายคนรองต้องพบกับจุดจบอย่างนี้เป็นตัวเขาเองที่เดินเข้าไปหามันทีละก้าว จะโทษผู้อื่นไม่ได้!
“คนที่ทำร้ายเราได้อย่างแท้จริงคือตัวเราเองเสมอ เยียนเอ๋อร์ จำคำท่านย่าไว้ ยืนตัวตรง ผีสางเทวดาไม่มากล้ำกราย”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านย่า ทางท่านแม่ข้า…”
“รอดูไปก่อนเถอะ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนึกไปถึงหลิวซื่อแล้วสีหน้าของนางดูอ่อนล้ามากขึ้น
หลิวซื่อเพิ่งตั้งครรภ์ก็สูญเสียสามี ไม่รู้จะทนรับความสะเทือนใจอย่างนี้ไหวหรือไม่ นางกลับรู้สึกเป็นโชคดีที่หลายเดือนมานี้เจ้ารองกับภรรยาเย็นชาห่างเหินกัน ไม่ว่าอย่างไรจะให้เกิดเรื่องขึ้นกับคนในเรือนอีกไม่ได้
เมื่อผ้าสีดำถูกดึงออก เฉียวเจามองเห็นที่ที่ตนเองอยู่ได้ชัดเจนในที่สุด
มันเป็นเรือนที่เจาะช่องหน้าต่างอยู่ใกล้ๆ เพดานหลังหนึ่ง ในนี้นอกจากเตียงขาเตี้ยเตียงหนึ่งกับฉากกั้นตัวหนึ่งแล้วก็ไม่มีของอื่นใด กระทั่งแสงสว่างก็ส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างสูง
“คุณหนูหลีฉลาดปราดเปรื่องสุดจะเปรียบ ดูทีคงคาดเดาจุดประสงค์ที่พวกเขาเชิญเจ้ามาได้แล้วกระมัง”
“ขออภัย ข้าเดาไม่ออก”
“ฮ่าๆ คุณหนูหลีคงไม่ได้นึกว่าพวกข้าล้วนเป็นเหมือนกวนจวินโหวคู่หมั้นของเจ้าหรือคนในครอบครัวเจ้าหรอกนะ”
เฉียวเจามองคนที่กล่าววาจาอย่างสงบนิ่ง
คนผู้นี้มีหน้าตาดาษดื่น หากจับโยนไปไว้กลางฝูงชน เกรงว่าคงจำหน้าไม่ได้ในชั่วพริบตา ขณะที่เขามองนางอยู่นี้ แววตาของเขาปราศจากรอยกระเพื่อมไหวของอารมณ์ใดๆ
เฉียวเจารู้ว่านี่น่าจะเป็นนักรบพลีชีพซึ่งไม่มีวันบังเกิดความรู้สึกใจอ่อนสงสารต่ออิสตรี
“คุณหนูหลี ข้าขอเตือนเจ้า อย่าตั้งความหวังว่าจะโชคดี พวกข้าถามอะไรเจ้า เจ้าก็ตอบตามความจริง ยังจะได้เจ็บตัวน้อยลง”
“พวกท่านอยากรู้อะไร”
“สร้อยลูกประคำเส้นนั้น เจ้าซ่อนไว้ที่ไหน”
“สร้อยลูกประคำ?”
“อย่าทำไขสือ” คนถามเงื้อฝ่ามือตบหน้าเฉียวเจาฉาดหนึ่ง
ร่างกายร่างนี้ของเฉียวเจาเดิมก็บอบบางอ่อนแออยู่แล้ว พอโดนตบหน้าทีหนึ่ง แก้มก็บวมเป่งทันที ผมมวยแกละคู่ที่มุ่นไว้อย่างเรียบร้อยหลุดรุ่ยลงมาระข้างใบหู
“คุณหนูหลี พวกข้าไม่ได้พูดขู่เจ้าจริงๆ”
เฉียวเจายกมือขึ้นจับปอยผมเหน็บเข้าหลังหู ดวงตาดำขลับของนางมองคนผู้นั้นอย่างเยือกเย็น “ข้ารู้”
“เช่นนั้นมอบสร้อยลูกประคำให้พวกข้า พวกข้าก็จะปล่อยเจ้ากลับไป”
เด็กสาวไม่กล่าววาจา นางก้มหน้าลงเผยให้เห็นลำคอกลมกลึงเรียวยาวคล้ายกำลังใช้ความคิดอยู่
คนผู้นั้นเงื้อมือขึ้นอีกแต่สหายด้านข้างห้ามไว้
“ท่านอารองของข้าล่ะ” เด็กสาวนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วช้อนตาขึ้นมองคนทั้งสอง
พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเฉียวเจาจะถามเรื่องนี้ ต่างอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “เป็นท่านอารองของข้ามอบตัวข้าไว้ในกำมือพวกเจ้ากระมัง”
ทั้งสองจ้องมองเฉียวเจาอย่างไม่ละสายตา ผ่านไปเป็นนาน หนึ่งในนั้นถึงกล่าวยิ้มๆ “คุณหนูหลีฉลาดหลักแหลมจริงๆ หนนี้ไม่พูดจาสุภาพมีมารยาทแล้ว”
“ในเมื่อพวกเจ้าเห็นว่าข้าไม่โง่เขลา แล้วข้าจะบอกพวกเจ้าว่าเอาสร้อยลูกประคำเก็บไว้ที่ใดอย่างนั้นหรือ” เฉียวเจาแค่นยิ้มย้อนถาม
หนึ่งในนั้นยิ้มแล้ว “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าคุณหนูหลีทนการซักถามของพวกข้าได้ไหวหรือไม่”