หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 7
บทที่ 7
เฉียวเจารู้ตัวว่าพลั้งปาก นางเห็นสายตาประหลาดใจของทุกคนก็กลอกตามองไปทางฉือชั่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง จะกลับเมืองหลวงเมื่อไรเจ้าคะ
พวกฉือชั่นเงียบขรึมไปชั่วครู่
ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กสาวนางหนึ่ง เจอะเจอเรื่องน่าสลดใจพรรค์นี้ ในใจคงไม่วายเฝ้าคิดแต่จะรีบกลับบ้านไปสินะ… จูเยี่ยนคิดคำนึง
ด้านหยางเอ้อร์กลับคิดว่า แม่นางน้อยพูดสอดขึ้นส่งเดช สือซีน่าจะโมโหมากขึ้นอีกกระมัง
ฉือชั่นโมโหมากจริงๆ
แม่นางน้อยนี่พูดไม่ขาดปากว่านับถือเลื่อมใสอาจารย์เฉียว ครั้นรู้ว่าสกุลเฉียวประสบกับความหายนะกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงคิดจะกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เห็นได้ว่าเป็นคนแล้งน้ำใจ ไม่แน่ว่าที่นางบอกว่านับถือเลื่อมใสอาจารย์เฉียวก็เพื่อหลอกลวงเขาเหมือนกัน
เฉียวเจาดึงสายตาคืน
เรื่องที่นางเผลอตัวเป็นอันว่ากลบเกลื่อนพอให้พ้นตัวไปได้แล้วกระมัง ส่วนคนอื่นจะรังเกียจเดียดฉันท์อย่างไร นางไม่มีแก่ใจรับมือโดยสิ้นเชิงแล้ว
ที่แท้พวกท่านผู้มาเยือนทั้งหลายมาจากเมืองหลวงนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ ผู้ใหญ่บ้านรินน้ำชาเติมให้ทั้งสี่คนด้วยตนเอง คลี่คลายบรรยากาศที่แฝงความกระอักกระอ่วนไว้จางๆ
เฉียวเจาจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิดของตน
นับเวลาดูแล้ว ข่าวการตายของนางยังไม่แพร่มาถึงที่นี่ เรือนของตระกูลสามีนางอยู่เมืองหลวง ครอบครัวของท่านตาก็อยู่เมืองหลวง พี่ใหญ่ไปจากที่นี่ สถานที่ที่เขาอาจจะไปมากที่สุดต้องเป็นที่นั่นอย่างไร้ข้อกังขา
แต่ครอบครัวนางพบเจอเคราะห์ภัยอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้ เพราะอะไรพี่ใหญ่ถึงไม่รั้งรออยู่ที่สวนซิ่งจื่อเพื่อไว้ทุกข์ แต่กลับรีบร้อนจากไปเล่า
เฉียวเจารู้สึกแปลกใจรางๆ ทว่าความปวดร้าวขมขื่นท่วมท้นหัวใจทำให้นางยากจะขบคิดให้ลึกลงไป เหลือเพียงความคิดประการเดียวคือ กลับไปเมืองหลวงต้องตามหาพี่ใหญ่ให้พบให้ได้!
คนรอบข้างพูดคุยอะไรกันอีกบ้างนั้น เฉียวเจาฟังไม่เข้าหูเลยสักนิด จนกระทั่งฉือชั่นลุกขึ้นกล่าวเสียงเรียบ
พวกข้ายังต้องรุดกลับไปที่เมืองจยาเฟิง คงไม่กินอาหารแล้ว
นางเดินตามคนทั้งสามไปข้างนอกด้วยสติที่เลื่อนลอย
ฉือชั่นจูงม้าพลางตวัดมองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ โอ้เอ้อะไรอยู่ เร็วๆ เข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ต่อก็แล้วกัน
อยู่ต่อ?
แพขนตาของเฉียวเจากระพือเบาๆ หากทำได้ นางอยากอยู่ต่อมากกว่าผู้ใด ก็ที่นี่เป็นเรือนของนาง!
อยากอยู่ต่อจริงๆ รึ ฉือชั่นเลิกคิ้วสูงอย่างหงุดหงิดมากขึ้นทุกที
เฉียวเจาสั่นศีรษะ สืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือไปหาเขา
ฉือชั่นจับข้อมือนาง ดึงตัวขึ้นหลังม้าทันทีโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
เสียงลมพัดอู้ละม้ายคมมีดบาดผิวหน้าเฉียวเจา พร้อมกันนั้นยังกรีดลงกลางใจนางด้วย
ที่แท้สายลมในฤดูใบไม้ผลิก็หนาวเหน็บปานนี้
เฉียวเจาคิดคำนึงเช่นนี้พลางเหลียวหน้าไปมองหมู่บ้านที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังนิ่งนานเป็นครั้งสุดท้าย
เพลานี้แสงอาทิตย์อัสดงฉายฉานเต็มท้องฟ้ากับสวนซิ่งจื่อที่ปิดกั้นความอัปลักษณ์และงดงามไว้บรรจบเป็นผืนเดียวกัน เหลือไว้เพียงความเงียบเชียบสุขสงบของหมู่บ้าน
ควันไฟจากการหุงอาหารลอยอวลอ้อยอิ่ง ราวกับทุกสิ่งยังคงเป็นดังวันวาน มีเพียงเด็กสาวที่ขี่ม้าจากไปไกลถึงล่วงรู้ว่าตนสูญเสียอะไรไปแล้วบ้าง
ยามนี้ฝุ่นควันที่ฟุ้งตลบขึ้นจากฝีเท้าม้าจางหายไปจนหมด เงาร่างสายหนึ่งโฉบผ่านมุมหนึ่งของสวนซิ่งจื่อแล้วจากที่นี่ไปเช่นเดียวกัน
กลุ่มของเฉียวเจาเข้าเมืองได้ทันก่อนประตูเมืองปิด จากนั้นเลือกเข้าพำนักในโรงเตี๊ยมชั้นดีแห่งหนึ่งในเมือง
หลังจากประตูเมืองเลื่อนปิดเข้าหากันอย่างเนิบนาบ คนผู้หนึ่งรุดมาถึงอย่างเร่งร้อน
ประตูเมืองปิดแล้ว อยากเข้าเมืองก็รีบมาแต่เช้าวันพรุ่งนี้ ทหารยามบอกอย่างรำคาญใจ
คนผู้นั้นล้วงป้ายคำสั่งป้ายหนึ่งจากอกเสื้อ ชูผ่านเบื้องหน้าสายตาทหารยามวูบหนึ่ง
ทหารยามทำหน้าเจื่อนทันใด กล่าวอย่างตะกุกตะกัก ที่แท้เป็น…เป็น…
มัวพล่ามอะไร ยังไม่รีบเปิดประตูอีก
ขอรับ ทหารยามลุกลนเปิดประตูเมือง รอจนคนผู้นั้นไปไกลแล้วถึงกล้ายกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก
หัวหน้า นั่นใครหรือขอรับ ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาขยับมาใกล้
ทหารยามมองซ้ายทีขวาที ก่อนจะลดสุ้มเสียงลงบอกชื่อชื่อหนึ่งที่ใครได้ยินก็ต้องขวัญหนีดีฝ่อ องครักษ์จินหลิน*
องครักษ์จินหลินผู้มีหน้าตาดาษดื่นคนนั้นลัดเลี้ยวไปมาตามถนนในเมืองเข้าสู่เรือนหลังหนึ่งด้วยความคุ้นเคยที่ทางอย่างยิ่ง
ใต้ต้นไห่ถัง** กลางลานเรือน บุรุษชุดสีดำผู้หนึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะหินตามลำพัง เขากำลังรินสุราดื่มเอง มีบุรุษหลายคนยืนเงียบๆ อยู่ไม่ไกล
ทันทีที่องครักษ์จินหลินผู้นั้นก้าวเข้ามา บุรุษหลายคนนั่นก็หันไปมองด้วยสีหน้าระวังระไวทันที ครั้นเห็นว่าเป็นเขาถึงผ่อนคลายลง
คนผู้นั้นเดินมาถึงตรงหน้าบุรุษชุดสีดำในเวลาอันสั้น เขาแสดงคารวะก่อนเรียกขาน ใต้เท้า
บุรุษชุดสีดำวางจอกสุราลง มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถาม ทางสวนซิ่งจื่อมีความผิดปกติใดหรือไม่
เรียนใต้เท้า วันนี้มีบุรุษสามคนกับสตรีหนึ่งคนไปที่สวนซิ่งจื่อ สตรีนางนั้นปลอมตัวเป็นบุรุษ จากนั้นคนทั้งสี่ก็ไปหาผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านไป๋อวิ๋นขอรับ เขาพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะค่อยกล่าวต่อไป พวกเขามาจากเมืองหลวง ตอนนี้เข้าเมืองมาแล้วขอรับ
บุรุษชุดสีดำผงกศีรษะแล้วหันหน้ากวาดตามองทุกคนปราดหนึ่ง
บุรุษหลายคนนั่นทำสีหน้าขึงขังฉับพลัน
พวกเจ้าทั้งหมดไปสืบดูว่าคนเหล่านั้นมีความเป็นมาอย่างไร
ขอรับ
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้ายังไม่สว่างเต็มที่ พวกเฉียวเจาสี่คนก็ออกจากเมืองเงียบๆ เปลี่ยนจากขี่ม้าเป็นนั่งเรือบ่ายหน้าไปทางทิศเหนือ
ความเคลื่อนไหวของพวกนางถูกรายงานให้บุรุษชุดสีดำรับทราบในเวลาอันรวดเร็ว
ฉือชั่นโอรสขององค์หญิงใหญ่ฉางหรง จูเยี่ยนซื่อจื่อของไท่หนิงโหว หยางโฮ่วเฉิงซื่อจื่อของหลิวซิ่งโหว… บุรุษชุดสีดำเปล่งเสียงไล่ทวนชื่อแซ่คนสามคนแล้วหยุดชะงักไป สีหน้าที่เรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดกลับเผยแววฉงนอยู่หลายส่วน หลีซาน บุตรสาวของอาลักษณ์หลี
เขาตรึกตรองชั่วครู่ก่อนกล่าวพึมพำ เด็กสาวคนหนึ่งกับสามคนนั้นมารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
ผู้ใต้อาณัติของเขาล้วนยืนประสานมืออย่างเคร่งขรึม เห็นชัดว่าไม่กล้าขัดจังหวะความคิดของผู้บังคับบัญชา
บุรุษชุดสีดำพูดสั่งการ จากเมืองหลวงไปที่จยาเฟิงจะต้องผ่านเป่าหลิง ส่งข่าวถึงองครักษ์จินหลินที่ประจำการอยู่ที่นั่น ดูสิว่าพวกเขาทางนั้นมีข่าวสารใดหรือไม่
ใต้เท้า แล้วทางสวนซิ่งจื่อเล่าขอรับ
ผู้ใต้อาณัติหน้าตาดาษดื่นผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น
จับตาดูต่อไป เหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวหนนี้ไม่ใคร่ปกติ
ขณะเขากล่าววาจาอยู่ มีผู้ใต้อาณัติอีกคนเข้ามา ใต้เท้า สารจากเมืองหลวงขอรับ
บุรุษชุดสีดำรับสารมาเปิดออก กวาดตาอ่านผ่านๆ แล้วนิ่งงันไป
ใต้เท้า? เหล่าผู้ใต้อาณัติอ้าปากเรียกอย่างห้ามไม่อยู่
บุรุษชุดสีดำกำสารไว้แน่น กล่าวเสียงเอื่อยๆ เก็บสัมภาระให้ข้า ท่านผู้บัญชาการใหญ่สั่งให้ข้าเข้าเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
เหล่าผู้ใต้อาณัติตกใจยกใหญ่ แต่บุรุษชุดสีดำมิได้ไขความกระจ่าง เขาเอามือไพล่หลังแล้วย่ำเท้าออกนอกเรือน แหงนมองต้นไห่ถังที่เพิ่งผลิดอกตูมพร้อมกับเหยียดมุมปากออก
มาที่จยาเฟิงนานถึงเพียงนี้ เขาสมควรกลับไปเสียที เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจียงอู่กระทำความผิดอะไร ท่านผู้บัญชาการใหญ่ถึงต้องสับเปลี่ยนให้เขากลับไป
บุรุษชุดสีดำเก็บข้อสงสัยนี้ไว้ในใจอย่างรวดเร็ว เขาคิดถึงว่ากำลังจะได้ร่วมเดินทางกับคนทั้งสี่ที่น่าสนใจอยู่สักหน่อยนั่นแล้วอดคลายยิ้มไม่ได้
ระหว่างที่พวกเฉียวเจานั่งเรือกลับ บรรยากาศไม่ใคร่ดีสักเท่าไร
จูเยี่ยนกำเม็ดหมากไว้ คนที่สุภาพนุ่มนวลมาแต่ไหนแต่ไรอย่างเขายังเจียนจะควบคุมสติไม่อยู่รอมร่อ เขากล่าวอย่างอ่อนใจ สือซี เจ้าอารมณ์ไม่ดีก็ระบายออกมาสิ เอาแต่เดินหมากรุกเช่นนี้ไม่เป็นการทรมานคนอื่นหรืออย่างไร
ฉือชั่นเหลือบตาขึ้น กล่าวเสียงเย็น นี่ข้ากำลังระบายอารมณ์อยู่
จูเยี่ยนรู้สึกจุกที่คอแทบหายใจไม่ออก
หรือว่าข้าก็คือคนที่ถูกทรมาทรกรรมคนนั้น!
เขาอดส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากหยางโฮ่วเฉิงไม่ได้
อีกฝ่ายยักไหล่ผายมือเป็นเชิงบอกว่าสุดปัญญาจะช่วยได้ และทำปากบุ้ยใบ้ไปทางเฉียวเจา
จูเยี่ยนตาเป็นประกาย จากนั้นก็ส่ายหน้า
ช่างเถิด ข้าทนรับกรรมเองก็สิ้นเรื่อง ไยต้องดึงแม่นางน้อยเข้ามาอีกคน
ฉือชั่นจับตามองการโต้ตอบทางสายตาของคนทั้งคู่อยู่ เห็นจูเยี่ยนปฏิเสธคำแนะนำของหยางโฮ่วเฉิง เขาตวัดสายตามองไปทางเฉียวเจาซึ่งนั่งอยู่ในมุมหนึ่งพลางพูดเรียบๆ
หลีซาน มาเดินหมากเป็นเพื่อนข้า!
เฉียวเจาได้ยินแล้วเรียวคิ้วกระตุกริก นางลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าฉือชั่นอย่างสงบ
จูเยี่ยนมองนางด้วยแววตาขอลุแก่โทษ ก่อนลุกขึ้นสละที่นั่งให้นาง
เฉียวเจานั่งลงเริ่มเดินหมากต่อจากที่คนทั้งสองเดินค้างไว้
จูเยี่ยนพิงราวรั้วกระซิบบ่นกับหยางโฮ่วเฉิง สือซีสะกดความโกรธไว้เอง ไยต้องพาลใส่คนอื่นด้วย
หยางโฮ่วเฉิงมองเฉียวเจาที่นั่งหันหลังให้เขาแวบหนึ่ง
สาวน้อยนั่งในอิริยาบถสง่างามดั่งดอกเหมยเบ่งบานอย่างเงียบเชียบเยือกเย็นดอกหนึ่ง
เขาหัวเราะแผ่วๆ พลางพูดสัพยอก จื่อเจ๋อ นี่เจ้ารู้จักเป็นห่วงเป็นใยสตรีแล้วหรือ
อย่าพูดจาเหลวไหล นั่นยังเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นเลยนะ…
พูดเช่นนี้ รอนางปักปิ่นแล้วก็ทำได้สินะ
หยางโฮ่วเฉิง! จูเยี่ยนทำหน้าตึง
หยางโฮ่วเฉิงเห็นสหายรักขุ่นใจจริงๆ ถึงหยุดล้อเล่น เขาพูดเสียงเบาว่า เจ้ายังไม่รู้นิสัยแย่ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของสือซีนั่นอีกหรือ ถ้าไม่ได้ระบายโทสะออกมา พวกเราอย่าหมายว่าจะได้อยู่อย่างสงบตลอดทาง
นี่ข้ามิได้เดินหมากเป็นเพื่อนเขาอยู่ตลอดรึ จูเยี่ยนถอนใจเฮือก
ใครใช้ให้เขาเป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินทางมาจยาเฟิงคราวนี้เล่า มีเรื่องเคราะห์ร้ายอะไรเขาก็ต้องแบกรับไว้ก่อน คงได้แต่ยอมรับชะตากรรมแล้ว
นั่นจะมีประโยชน์อันใด เจ้าดูไม่ออกหรือว่าสือซีกำลังชังน้ำหน้าแม่นางน้อยผู้นั้นอยู่ ก็ใครใช้ให้นางพูดอย่างมั่นใจเกินไปเองเล่า บอกว่าพานางไปเยือนสกุลเฉียวด้วยถึงจะได้สมหวังดั่งประสงค์ ผลสุดท้าย…
พวกเขาสนทนากันอยู่ พลันได้ยินเสียงของกระทบกันดังใสกังวานลอยมา ก็หันไปมองเป็นตาเดียวกัน
ฉือชั่นโยนเม็ดหมากลงโถแล้วกล่าวเสียงปึ่งชา ไม่เดินแล้ว
เฉียวเจากำเม็ดหมากในมือ มองเขาปราดหนึ่งอย่างสุขุมใจเย็น
คนผู้นี้ใจไม่นิ่งพอ มิน่าตอนนั้นท่านปู่ไม่ยอมสอนเขา…
เมื่อคิดถึงท่านปู่ นางก็นึกไปถึงเหตุไฟไหม้นั่นแล้วร้าวรานใจ สีหน้าชืดชาดุจหุ่นกระบอก
ฉือชั่นเห็นแล้วคับข้องใจมากขึ้น เขาพูดอย่างยิ้มเยาะว่า หลีซาน ไหนเจ้าพูดว่าไม่พาเจ้าไปด้วย ข้ายากจะสมหวังดั่งประสงค์มิใช่หรือ เช่นนั้นพาเจ้าไปด้วยแล้วผลลัพธ์เป็นเยี่ยงไรเล่า
คำกล่าวนี้ประหนึ่งมีดคมกริบเล่มหนึ่งปักลงกลางอกเฉียวเจาอย่างหนักหน่วง
นางทนความเจ็บปวดไว้ ไต่ถามฉือชั่นเสียงค่อย ไม่ทราบว่าพี่ฉือไปเรือนสกุลเฉียวประสงค์สิ่งใดหรือ
* จินหลิน หมายถึงเกล็ดแพร
** ไห่ถัง หรือ Chinese Flowering Apple เป็นพืชตระกูลแอปเปิ้ล ดอกมีทั้งสีขาว สีชมพูอ่อน และสีแดง