หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 700
บทที่ 700
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนือ หิมะที่ทับถมกันยังไม่ละลาย ลมหนาวพัดหวีดหวิวกระทบผิวกาย พาให้หนาวเหน็บเสียดกระดูก
เซ่าหมิงยวนซ่อนตัวอยู่ในค่ายทหารข้าศึกมาสองวันสองคืนแล้ว
“ท่านแม่ทัพ ดื่มน้ำสักนิดเถอะขอรับ” องครักษ์ยื่นกระบอกน้ำส่งให้เขา
เซ่าหมิงยวนโบกมือไปมาเป็นเชิงปฏิเสธคำชวนขององครักษ์
องครักษ์ถือกระบอกน้ำอยู่ในมือพลางลอบทอดถอนใจ
สองวันมานี้ท่านแม่ทัพดื่มน้ำแค่ไม่กี่คำด้วยกลัวจะต้องถ่ายเบาบ่อยๆ จนพลาดโอกาสทองในการสังหารหัวหน้าของข้าศึก แต่ขืนเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถึงเป็นคนที่ตีขึ้นจากเหล็กก็ทานทนไม่ไหวกระมัง
เซ่าหมิงยวนหาได้สนใจความคิดขององครักษ์ไม่ เขาจ้องมองกระโจมที่พักของฝ่ายข้าศึกโดยไม่ละสายตา
หลายวันก่อนเขาได้รับข่าวว่าองค์ชายถ่าเจินของเป่ยฉีจะนำกำลังพลมาเสริมทัพ แล้วหัวหน้าที่นำพาชาวเป่ยฉีฝ่าด่านซานไห่กวนบุกตะลุยเข้ามาปล้นฆ่าวางเพลิงถึงชานเมืองหลวงก็คือผู้ใต้บังคับบัญชาที่องค์ชายถ่าเจินไว้วางใจมากที่สุด
เซ่าหมิงยวนเล็ดลอดมาถึงที่นี่ก็เพื่อจะหาโอกาสปลิดชีพองค์ชายถ่าเจิน
ชาวเป่ยฉีมาเหยียบย่างชานเมืองหลวงของต้าเหลียงเท่ากับเป็นการตบหน้าชาวต้าเหลียงฉาดใหญ่ หากเขาเอาชีวิตขององค์ชายถ่าเจินได้ ถึงจะทำให้ชาวเป่ยฉีรู้ว่าต้าเหลียงมิได้อ่อนปวกเปียกไร้ทางสู้อย่างที่พวกนั้นคิดไว้อย่างเด็ดขาด สงครามครั้งนี้จึงจะยุติลงได้เร็วขึ้น
การดักซุ่มเป็นเวลายาวนานทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเซ่าหมิงยวนแข็งตึงอยู่บ้าง แพขนตาดกหนาของเขามีหยดน้ำเกาะพราว
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นจะเช็ดออก จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางอกอย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง เขาอดกุมอกไว้ไม่ได้
หัวใจของชายหนุ่มเต้นถี่รัว หนังตากระตุกริก เขาพลันรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ลึกๆ
หรือว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
หนนี้ข้าศึกอยู่ในที่แจ้งเขาอยู่ที่ลับ ฝ่ายตนครองความได้เปรียบอยู่ ดังนั้นปัญหาไม่น่าจะเกิดขึ้นที่นี่
เช่นนั้นคือเกิดเรื่องขึ้นกับเจาเจาหรือ
เซ่าหมิงยวนผ่านการรบราฆ่าฟันมานับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่เห็นว่าความคิดที่ผุดขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้เหลวไหลไร้สาระ ทั้งยังเชื่อในลางสังหรณ์อย่างนี้มาก
แล้วสัญชาตญาณที่บ่มเพาะขึ้นจากการท้าดวลกับความเป็นความตายนับร้อยนับพันครั้งแบบนี้นี่เองถึงทำให้เขารอดพ้นอันตรายมาได้มากมาย
ทันทีที่คิดว่าเฉียวเจาอาจมีภัย จิตใจที่สงบนิ่งดุจผิวน้ำของชายหนุ่มก็ว้าวุ่นโดยพลัน
ต้องกลับเมืองหลวงโดยไว!
เสียงฝีเท้าม้าดังลอยมาระลอกหนึ่ง เซ่าหมิงยวนได้สติทันใด เขาเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่วัยราวสามสิบเศษห้อมล้อมด้วยทหารเป่ยฉีควบอาชาห้อตะบึงมา พอถึงประตูทางเข้าค่ายทหารถึงชะลอความเร็วลง
ผู้ใต้บังคับบัญชาในค่ายออกไปต้อนรับ
เซ่าหมิงยวนกำคันธนูแน่นๆ เพ่งตามองคนที่เคลื่อนมาใกล้ขึ้นทุกทีนิ่งๆ นัยน์ตาเขาเปล่งประกายดุจดวงดาว
องค์ชายถ่าเจินมาแล้ว!
คันธนูโก่งออก ลูกธนูพาดรออยู่บนสาย
ยามองค์ชายถ่าเจินปรากฏกายขึ้นในระยะห่างที่คนอื่นไม่มีทางยิงธนูสังหารได้ เซ่าหมิงยวนกลับปล่อยสายธนูในมือ ลูกธนูพุ่งฉิวออกไปดุจดาวตกปักเข้ากลางหน้าผากของเขาพอดิบพอดี
อาชาพ่วงพีใต้ร่างองค์ชายถ่าเจินกู่ร้องยาวๆ เสียงหนึ่งแล้วเริ่มสะบัดตัวดีดขาอย่างคลุ้มคลั่ง
องค์ชายถ่าเจินร้องโหยหวนเสียงดังลั่นก่อนจะพลัดตกจากหลังม้า
ชาวเป่ยฉีโกลาหลไปหมด
เซ่าหมิงยวนหันไปผงกศีรษะนิดหนึ่งกับองครักษ์ เขาล้วงพลุไฟสัญญาณจากอกเสื้อโยนขึ้นไปบนอากาศ
ประกายไฟหลากสีสว่างจ้าแตกกระจายออกกลางเวหา ไม่นานนักก็มีเสียงเป่าเขาสัตว์ทุ้มต่ำยาวเหยียดเป็นคำสั่งบุกโจมตีดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มกึกก้อง ตามมาด้วยเสียงต่อสู้ปะทะกัน
ผืนธงอักษรคำว่า ‘เหลียง’ ปลิวสะบัดพึ่บพั่บกลางลมหนาว ทหารต้าเหลียงนับไม่ถ้วนไหลบ่ามาจากทุกทิศทาง
องค์ชายถ่าเจินถูกสังหารกะทันหันทำให้ชาวเป่ยฉีสับสนอลหม่านในชั่วพริบตา อีกทั้งการจู่โจมอย่างรวดเร็วของทัพต้าเหลียงยิ่งไม่ให้เวลาพวกเขาได้ตั้งตัวติดแม้สักนิด รอเมื่อพวกเขาได้สติอีกครา ฝ่ายเดียวกันก็โดนเข่นฆ่าตกจากม้าไปมากมาย ยากจะกู้สถานการณ์คืนได้แล้ว
ต้าเหลียงพลิกกลับมาเป็นฝ่ายคว้าชัยในการรบได้อย่างสวยงาม ทว่าเหล่าทหารซึ่งเดิมสมควรหน้าชื่นตาบานในยามนี้กลับพากันร้อนใจดุจไฟลน
ทหารหลายคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเซ่าหมิงยวน “ท่านแม่ทัพ ท่านโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนด้วย นำทัพกลับเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ เป็นความผิดร้ายแรงนะขอรับ”
เซ่าหมิงยวนในชุดเกราะเงินนั่งอยู่บนม้า กล่าวเสียงกระด้าง “ใครบอกว่าข้าจะนำทัพกลับเมืองหลวง พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ที่นี่ ข้าจะกลับไปคนเดียว!”
“ท่านแม่ทัพ ท่านจะทำเช่นนี้ไปไย ข่าวที่พวกเราได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดครั้งใหญ่ย่อมใช้ม้าเร็วแปดร้อยลี้ส่งไปที่เมืองหลวง ท่านเพียงรอคอยอีกไม่กี่วัน ถึงตอนนั้นฮ่องเต้ย่อมมีพระราชโองการสั่งให้ท่านเคลื่อนทัพกลับเองเป็นธรรมดา”
“ข้ารอไม่ไหวแล้ว”
พอเห็นทหารยังจะพูดอีก แม่ทัพหนุ่มยกมือขึ้น “พอแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องทัดทานอีก ข้าตัดสินใจแล้วไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เซ่าจือ จูงม้ามาให้ข้าอีกตัว!”
เซ่าจือจูงม้าศึกสีปลั่งตัวหนึ่งมาทันที มันยืนเคียงข้างม้าขาวใต้ตัวเซ่าหมิงยวน
“ย่าห์!” เซ่าหมิงยวนกระทุ้งท้องม้าทีหนึ่ง อาชาสีขาวพาเขาออกวิ่งทะยานไปข้างหน้าเสมือนธนูหลุดออกจากแล่ง ส่วนเจ้าม้าศึกสีปลั่งควบเท้าตามมาติดๆ
ทหารทั้งหลายยืดตัวขึ้นมองส่งท่านแม่ทัพผู้นำพาพวกตนพิชิตศึกใหญ่ขี่ม้าจากไปไกลแล้ว
องครักษ์จินหลินกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้าไปในห้องเค้นปากคำ คนนำหน้าคือเจียงหย่วนเฉาผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินคนใหม่นะเอง
เจียงหย่วนเฉาคาดดาบซิ่วชุนไว้ตรงเอว บนกายสวมเสื้อคลุมปักลายมัจฉาบิน อาภรณ์สีแดงทั้งชุดแลดูลานตาเป็นพิเศษในห้องมืด
เมื่อเห็นสภาพในห้อง เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกคลุมร่างเฉียวเจาอย่างฉับไว กล่าวเสียงดุดันว่า “ฆ่ามัน!”
เสียงอาวุธมีคมกระทบกันดังขึ้น เจียงหย่วนเฉาก้มตัวไปอุ้มนางแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ออกไป
ด้านนอกแสงดาวพร่างพรายดุจยามกลางวัน เฉียวเจาในวงแขนเจียงหย่วนเฉาถูกห่อไว้ในเสื้อคลุมมองเห็นอะไรๆ ได้ไม่ชัดถนัดตา หลังจากผ่านความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ร่างกายของนางด้านชา แม้กระทั่งความคิดในหัวก็เชื่องช้าไปด้วย นางขยับศีรษะอย่างอ่อนแรงพลางพึมพำเรียก “เซ่าหมิงยวน…”
เจียงหย่วนเฉาชะงักเท้าเม้มปากแน่น เขาเดินก้าวยาวๆ ไปยังรถม้าที่จอดอยู่ริมถนนแต่แรก อุ้มเฉียวเจาก้มตัวลอดเข้าไปในตัวรถม้า
ระยะทางสั้นๆ ไม่กี่ก้าว เด็กสาวในอ้อมอกเขาก็อาศัยพลังใจอันเข้มแข็งทรหดดึงสติกลับมาได้แล้ว
“ใต้…ใต้เท้าเจียง…ท่านวางข้าลง…”
เจียงหย่วนเฉาไม่ฟังเสียงนาง ทำหน้าตึงกล่าวว่า “รถม้าโคลงเคลง ท่านบาดเจ็บอยู่ ทนไม่ไหวหรอก”
“ข้า…” เฉียวเจาขยับริมฝีปาก แต่ไม่มีเรี่ยวแรงพูดต่ออีก
เขามองนางอย่างพินิจก่อนจะยื่นมือไปตรงเอวนาง
สายตาของเฉียวเจานิ่งขึงไปทันควัน
เจียงหย่วนเฉาถอนใจเฮือก “ท่านวางใจได้ ข้าเจียงหย่วนเฉายังไม่ต่ำทรามถึงขั้นนั้น”
ในมือเขามีถุงผ้าปักลายเป็ดตาเขียวเพิ่มขึ้นมาใบหนึ่ง เป็นของใช้เฉพาะตัวคุณหนูเฉียวนั่นเอง
เขาไม่ต้องถามเฉียวเจาก็เปิดถุงผ้าปักหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา พอดึงจุกปิดขวดออก กลิ่นยาจางๆ ลอยมาทันใด
“เป็นขวดนี้ไม่ผิดกระมัง ท่านไม่ต้องพูด ถ้าใช่ก็พยักหน้า”
เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ ใต้แสงตะเกียงข้างผนังรถม้าที่ส่องให้ความสว่าง ใบหน้าของนางซีดขาวราวหิมะ
“ข้าจะทายาที่มือท่านก่อน ไม่อย่างนั้นจะทนไม่ไหว” เจียงหย่วนเฉากลัวเฉียวเจาจะขัดขืนจนกระทบกระเทือนบาดแผลเป็นเหตุให้เจ็บปวดมากขึ้น เขาจึงเอ่ยบอกเสียงนุ่ม
เปลือกตาของเด็กสาวกระดุกกระดิก แต่นางไม่เปล่งเสียงใดๆ
เขาจับมือเล็กๆ ขึ้น เห็นนิ้วมือขาวผ่องของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตกับเล็บมือหลายเล็บที่ล้วนกลายเป็นสีแดงอมม่วงแล้ว แววโกรธเกรี้ยวจุดวาบขึ้นในดวงตาแล้วเลือนหายไป เหลือไว้แต่ความสงสารอย่างเต็มเปี่ยม
เขาเห็นการใช้ทัณฑ์ทรมานแบบนี้บ่อยๆ จนเคยชิน แต่ครั้นนึกถึงว่าเมื่อครู่นี้เฉียวเจาโดนกระทำเฉกนี้ในห้องมืดเล็กๆ ห้องนั้น มือที่ถือขวดกระเบื้องไว้ก็สั่นเทาน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านวางใจได้ ข้าจะเอาตัวคนที่ทำร้ายท่านสองคนนั้นมาสับเป็นหมื่นๆ ชิ้น ไม่ให้พวกเขาตายอย่างสบายเด็ดขาด”
ความรู้สึกเย็นสบายแผ่ซ่านมาจากปลายนิ้ว เฉียวเจางอนิ้วมือเข้าหากันนิดหนึ่งแล้วพูดเสียงเบา “ขอบคุณมาก”
“ข้ามาช้าไปเอง”
เฉียวเจาไม่กล่าววาจาต่อ นางฟังเสียงล้อรถม้าดังครืดคราดๆ อยู่นานครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “ท่านส่งข้ากลับเรือนใช่หรือไม่”
เจียงหย่วนเฉามุ่นคิ้วน้อยๆ “ท่านอยู่ในสภาพนี้จะกลับเรือนได้อย่างไร”
เฉียวเจาพยายามลืมตาขึ้นมองเขา
“ข้าพาท่านไปใส่ยาผลัดอาภรณ์ก่อนแล้วค่อยส่งท่านกลับไปอีกที”